ย้อนกลับไป
ในค่ำคืนนั้นที่งานเปิดตัวโรงแรมของเครือขุนเขาเป็นไปด้วยความหรูหรา แขกมากหน้าหลายตาเข้าร่วมงาน ทั้งนักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงดนตรี และแสงแฟลชจากกล้องมากมาย ขุนเขาในชุดเรียบหรูแบบคนมีฐานะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเขื่อนเองก็ไม่ได้แนะนำออกไมโครโฟนอย่างเป็นทางการ ทว่าทุกคนกลับรู้สึกได้ว่า คนคนนี้พิเศษกับเขื่อน มาก และนั่น… คือสิ่งที่สายตาหนึ่งจับจ้องอย่างสนใจ จากชั้นสองของโถงจัดงาน มีชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเข้ม ยืนพิงราวบันไดมองลงมาด้านล่าง ดวงตาคมเฉียบเต็มไปด้วยแววรังสีที่คล้ายกับงูเห่าเมื่อจับเหยื่อไว้ในสายตา “หึ…หน้าคุ้นแปลก ๆ นะ…” “หน้าตาแบบนี้…เหมือนใครบางคนที่กูเคยเห็น…” เขาหยิบมือถือขึ้นมา แอบถ่ายภาพของขุนเขาอย่างแนบเนียน ก่อนจะส่งไปยังเครือข่ายของตนให้สืบข้อมูลทันที ชายคนนั้น หรือที่ผู้คนในวงการใต้ดินรู้จักในนาม “อาคิระ”ชายสัญชาติญี่ปุ่น หนึ่งในศัตรูเก่าแก่ที่มีคดีขัดผลประโยชน์กับขุนแผนมานานหลายปี เปิดแฟ้มข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากสายข่าว ภาพใบหน้าของขุนเขาปรากฏชัดเจน พร้อมชื่อเดิม สถานที่เคยอยู่ และ… “…ลูกของไอชาติชาย?” เขาพึมพำกับตัวเอง “แล้วนี่…เป็นน้องชายของขุนแผนงั้นเรอะ?” “ตลกสิ้นดี อยู่ใต้จมูกมาตลอดแต่ไม่เคยมีใครบอก…” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีด้วยแววตาแข็งกร้าว — ดวงตาคู่นั้นแฝงรอยคิดคำนวณทันทีว่า ถ้าใช้ “น้องชาย” ของขุนแผนเป็นตัวประกันได้ล่ะก็… มันคงเป็นหมากตัวสำคัญ ชายร่างหนายกโทรศัพท์ขึ้นมากดออกก่อนจะสั่งการลูกน้องเบี้ยล่าง “จัดทีมจับตาเด็กคนนั้นไว้” “อย่าลงมือตอนนี้ แค่เฝ้าระวังพฤติกรรม” “รอให้ถึงจังหวะที่ขุนแผนมันอ่อนแรง… เราค่อยลงมือทีเดียว” เสียงโทรศัพท์วางลงพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ขุนแผน… มึงเคยพรากน้องกูไป วันนี้กูจะพรากน้องมึงบ้าง… แล้วมาดูซิ ใครจะร้องไห้ก่อนกัน” ตอนนี้เป็นเดือนที่ 9 แล้ว… ท้องของขุนเขาโตขึ้นจนแทบไม่สามารถเห็นปลายเท้าของตัวเอง แม้จะรู้สึกหนักและปวดหลังเป็นบางวัน แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางจากใบหน้า รอยยิ้มที่เกิดจากความสุขของการรอคอย—ลูกชายของเขาและเขื่อน เขื่อนขอลางานเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์เพื่อมาอยู่กับขุนเขา เขาพูดติดตลกว่า “พี่ไม่เคยอยากลางานเลยนะ จนกระทั่งมีคนสองคนที่พี่อยากดูแลให้ดีที่สุดในโลก…” แต่ถึงจะลางาน เขื่อนก็ยังต้องเดินทางไปกลับเกาะเพื่อดูแลสัมปทานรังนกที่กำลังจะส่งออกล็อตใหญ่ เขาออกแต่เช้าและจะกลับช่วงเย็นทุกวัน แต่ช่วงนี้เขาต้องค้างคืน3-4คืนเพื่อคุมคนงานและเร่งตรวจงานด้วยตัวของเขาเอง แต่ใจเขานั้นไม่เคยละออกจากขุนเขาแม้เพียงวินาทีเดียว วันนี้ขุนเขากลับมาอยู่บ้านหลังใหญ่ที่ขุนแผนจัดไว้ให้พักผ่อนในช่วงใกล้คลอด ขุนแผนเพิ่งบินไปดูงานที่ต่างประเทศ ขุนเขาจึงมีเพียงแม่บ้านสองคนที่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ขุนเขาใช้ชีวิตอย่างปกติ—ตื่นนอนตอนสาย, เดินเล่นในสวนช่วงเช้า, นั่งพักดูทีวีในห้องนั่งเล่น พร้อมกล่องอาหารกลางวันที่เขื่อนกำชับให้แม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกๆมื้อ บางวันก็มีอาการตะคริวกินช่วงกลางดึก หรือลุกขึ้นแล้วปวดขา ปวดเอวจนต้องพยุงตัวอย่างช้า ๆ แต่ขุนเขาก็ยังพยายามเดินไปไหนเองได้เพื่อไม่ให้คนอื่นลำบาก บางทีเขาก็พูดกับท้องนูน ๆ ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “ลูกครับ อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเจอพ่อแล้วนะ…” “พ่อเขื่อนบอกว่าจะมาจับมือแม่ตอนคลอดเลยนะ ลูกต้องใจเย็น ๆ รอพ่อกลับมาก่อนนะครับ” นึกถึงไปในตอนนั้นที่เราทั้งคู่ไปดูเพศลูกด้วยกัน ขุนเขารู้แล้วว่าเด็กในท้องเป็นเพศชาย เขาแอบยิ้มตอนที่ได้ยินข่าวจากคุณหมอในรอบอัลตราซาวด์ “คุณพ่อหน้าเปื้อนยิ้มเลยนะครับ” เขื่อนดีใจจนยิ้มกว้าง แต่ก็บ่นแผ่วเบา ๆ “เสียดายนิดนึง แอบหวังว่าจะได้ลูกสาวหน้าตาเหมือนเขา…” “แต่ไม่เป็นไร ลูกชายก็รักที่สุดอยู่ดี จะเพศไหนลูกก็คือลมหายใจของพี่” จากนั้นเขื่อนก็ก้มลงจูบท้องของขุนเขาเบา ๆ ก่อนจะกระซิบกับลูกว่า “ตัวเล็กครับ…พ่อรักลูกนะ…” สายฝนที่โปรยลงมาเกือบทุกวันในช่วงนี้ ทำให้ขุนเขาต้องใส่เสื้อกันหนาวหนานุ่มอยู่เสมอ เขื่อนเองก็ส่งข้อความมาทุกชั่วโมง ถามว่าเป็นยังไงบ้าง อาการวันนี้ดีไหม ได้ทานอาหารไหม ทุกเช้าก่อนขึ้นเรือ เขื่อนจะวิดีโอคอลหาขุนเขา ทุกค่ำก่อนนอน เขาจะพูดประโยคเดิมเสมอว่า “อีกนิดเดียวเราจะได้เจอลูกของเราแล้วนะครับ… ขอบคุณที่อดทนจนถึงวันนี้…” เหลือเวลาอีกเพียงสองสัปดาห์… ขุนเขารู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล แต่สิ่งที่ทำให้เขาอุ่นใจเสมอคือสายตาของเขื่อนในทุกครั้งที่มองกัน — สายตาที่มั่นคงและเต็มไปด้วยความรัก เขื่อนสัญญากับเขาว่า “ไม่ว่าทะเลจะคลื่นแรง หรือพายุจะมา พี่ก็จะกลับมาให้ทันแน่นอน” “พี่อยากเป็นคนแรกที่ได้จับมือลูก และจับมือน้อง…พร้อมกัน” แดดอ่อนยามสายส่องลอดผ่านชายคาท่าเรือเอกชนกลางเกาะที่สัมปทานรังนกกำลังเข้าสู่รอบคัดคุณภาพก่อนส่งออก รถบรรทุกลังสินค้ายังจอดรอขนถ่ายในมุมหนึ่ง ขณะที่ “เขื่อน” ยืนอยู่ในชุดเชิ้ตพับแขน สวมเสื้อกั๊กสะท้อนแสงแบบกึ่งลำลอง รอรถที่ลูกน้องขับมาให้ยังที่ ๆ ตนยืนอยู่ เบื้องหน้าเขา “เหม” มือขวาผู้ภักดีคนใหม่ของเขื่อน ยืนก้มหน้ายอมรับคำสั่งนิ่งๆ ไม่ปริปากขัดใดๆ “ล็อตที่สามที่ลงเมื่อเช้า ฉันเห็นคุณภาพยังไม่ถึงมาตรฐานเหมือนที่ตั้งไว้” เสียงเขื่อนเรียบนิ่งแต่หนักแน่น “ไม่ต้องเสียดายน้ำมันหรือค่าแรง ถ้าเจอรังไหนที่เละ หรือปนเปื้อน ฝังกลบไปเลย อย่าปล่อยออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว” “ครับนาย” เหมรับคำเสียงทุ้ม พลางจดบันทึกสั้นๆลงในสมุดบันทึกพกพาของตน เขื่อนจ้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเร่งรีบและวางแผนล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว “ฉันจะอยู่บนบกสัก 4-5 วัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้ามีปัญหาให้ติดต่อฉันผ่านเฉพาะเบอร์ที่ฉันให้ไว้กับแกเท่านั้น ห้ามโทรเข้าเครื่องหลักของฉันถ้าไม่จำเป็น” “เข้าใจครับนาย” เขื่อนถอนหายใจเบาๆ ดวงตาเรียบเฉียบแต่ลึกลงไปกลับซ่อนความกังวล “แล้วไอ้ตัวไหนขโมยหรือทำให้งานล่าช้าโดยใช่เหตุมึงเตือนมัน ถ้าสามครั้งยังทำอยู่ไล่ออกอย่างเดียว” เหมเหลือบตามองเจ้านาย ก่อนจะก้มหน้ารับคำอีกครั้งโดยไม่มีคำถามใดๆ “ผมจะดูแลที่นี่ให้เรียบร้อยครับ ไม่มีอะไรหลุดรอดแน่นอน” เสียงเครื่องยนต์ของรถ SUV สีดำขลับที่แล่นเข้ามาจอดเทียบด้านหลังดังขึ้นกลางการสนทนา เขื่อนพยักหน้าให้เหมเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ “ฝากทุกอย่างด้วยเหม ไว้ปลายปีฉันจะให้โบนัส” “ครับนาย เดินทางปลอดภัยครับ” เขื่อนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ยกมือเป็นสัญญาณรับรู้ แล้วปิดประตูลง เสียงเครื่องยนต์คำรามเบาๆ ก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ มุ่งหน้ากลับสู่แผ่นดินใหญ่ เพื่อไปอยู่ข้างคนที่เขารัก—ให้ทันเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต เสียงลมหอบหายใจแรงๆ ดังอยู่ภายในรถยนต์หรูที่กำลังมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลกลางกรุงเทพฯ เขื่อนจับพวงมาลัยแน่น ใจเต้นแรงด้วยความกังวลและดีใจผสมปนเปกัน หลังจากที่แม่บ้านโทรมาบอกว่า “คุณขุนเขามีอาการปวดท้องคลอดก่อนกำหนดค่ะ” ขุนเขามีอาการคลอดก่อนกำหนดประมาณ1สัปดาห์ ตนไม่แปลกใจเพราะวันก่อนๆขุนเขาปวดท้องหน่วงแต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไรเลยไม่ได้บอกกับเขื่อนให้รับรู้ เขื่อนรีบขับรถออกจากตัวจังหวัดทันที ทั้งที่ยังไม่ได้พักเต็มที่หลังกลับจากดูงานสัมปทานรังนก ทว่าเพียงไม่กี่นาทีหลังจากออกจากเขตชานเมือง เสียงบางอย่างใต้ท้องรถก็ดังขึ้น “แกร๊ก… แกร๊ก…” ตามด้วยเสียงเบรกที่เหยียบแล้วไม่ตอบสนอง เขื่อนเบิกตากว้าง รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายแรง “บ้าเอ้ย… เบรกไม่อยู่!” เขื่อนเหยียบเบรกสุดแรงแต่รถกลับพุ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาสั่น ขณะพยายามประคองรถไม่ให้ชนกับคันอื่น จนสุดท้ายรถเสียหลักพุ่งเข้าข้างทาง เพราะรถด้านข้างดันมาและทำให้รถชนเข้ากับแนวรั้วเหล็กและเสาไฟฟ้าอย่างแรง เสียงกระจกแตกกระจายและร่างเขื่อนกระเด็นฟาดเข้ากับพวงมาลัยก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง … ในเวลาเดียวกัน ขุนเขานั่งอยู่บนเตียงในห้องคลอด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาเพราะความเจ็บปวดและความหวาดหวั่น เขายึดมือพยาบาลแน่น เหลียวมองหาคนที่สัญญาว่าจะมาให้ทัน “เขื่อน… อยู่ไหน…” เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาในห้วงลมหายใจที่ติดขัด “คุณแม่ต้องเบ่งแล้วนะคะ!” เสียงพยาบาลปลุกขุนเขากลับมา เขาพยักหน้าและกัดฟัน ฮึดสู้ต่อ ทั้งที่หัวใจยังสั่นไหวไม่หยุดโรงพยาบาล – ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ข้างห้อง ICU, เวลา 10:15 น. เสียงสายลมเบาๆ พัดผ่านม่านสีขาวสะอาด ขุนเขานั่งอยู่บนโซฟานุ่มริมหน้าต่าง แสงแดดยามสายตกต้องบนใบหน้าที่ซีดเซียวแต่ยังคงความอ่อนโยน ร่างเล็กที่พึ่งผ่านการคลอดไม่กี่วัน อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนแนบอก เด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวอมชมพูจ้องตาแม่ไม่กระพริบ ริมฝีปากเล็กๆ ขยับเบาเหมือนจะพยายามพูดอะไรสักอย่าง “หนูดูพ่อสิลูก ขี้เซามาก ไม่ยอมตื่นมาเล่นกับเราเลย…” เสียงอ่อนโยนของขุนเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะหยุดพูดไปเมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเปล่งออกมาเป็นเสียงอ้อแอ้ “แอ๊ะ… แอ๊ะ…” ขุนเขาหัวเราะเบาๆ ทั้งน้ำตาคลอหน่วย เอียงหน้ามาแตะหน้าผากลูกอย่างแผ่วเบา “ไว้พ่อฟื้น แม่จะพาหนูมาใหม่นะครับ ไม่ร้องนะคนเก่ง…” เขายกมือขึ้นลูบผมนิ่มๆ ของลูก แล้วเงยหน้ามองเตียงคนไข้เบื้องหน้า… เขื่อน นอนนิ่งอยู่บนเตียง เครื่องช่วยหายใจยังคงทำงานช้าๆ สม่ำเสมอ สายรัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยังพันเต็มร่างกาย สีหน้าของเขาดูสงบ แต่ก็ยังไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ขุนเขากัดปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ “ด…เดี๋ยวพ่อก็ฟื้น… พ่อจะต้องฟื้น…” เสียงสั่นเค
เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังแหวกอากาศมาแต่ไกลแสงไฟวูบวาบตัดกับท้องฟ้ายามบ่ายแก่ที่เริ่มขมุกขมัว ผู้คนมุงดูอยู่ริมถนนสายหลักที่ทอดผ่านเขตชานเมือง ตรงบริเวณโค้งลงเขาซึ่งขึ้นชื่อว่าอันตรายมากที่สุดแห่งหนึ่งรถ SUV สีดำขลับ พังยับเยินจนเกือบจำเค้าเดิมไม่ได้ ฝากระโปรงยุบย่นกระแทกเข้าไปถึงที่นั่งคนขับ กระจกหน้าแตกละเอียดกระจายเต็มพื้นถนน ล้อหน้าข้างหนึ่งหลุดกลิ้งออกไปไกลจากจุดเกิดเหตุ กลิ่นน้ำมันและเขม่าควันโชยตลบอบอวลเสียงหวอของเจ้าหน้าที่กู้ภัยประสานกับเสียงวิทยุสื่อสารตลอดเวลา“เราพบผู้บาดเจ็บติดอยู่ในรถคนเดียวครับ เป็นชาย… อายุประมาณสามสิบต้นๆ หมดสติ มีเลือดออกจากศีรษะและอกด้านซ้ายอย่างรุนแรง!”เจ้าหน้าที่รีบใช้เครื่องตัดถ่างแงะประตูด้านคนขับที่บิดเบี้ยวอย่างหนัก เสียงเหล็กเสียดสีกันแหลมคมสะท้านเข้าไปถึงหัวใจภาพของเขื่อน—ร่างกายแน่นิ่งคาอยู่กับพวงมาลัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดและเศษกระจกเสื้อเชิ้ตสีขาวมีเลือดเปรอะเปื้อน ส่วนอกด้านซ้ายบุบยุบจนน่ากลัว กระจกแตกทิ่มเข้าเนื้อและแขนจนเห็นเนื้อแดงฉาน“ได้ตัวแล้วครับ! เตรียมเปลนิ่มเร็ว!”เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ดังแทรก“ชีพจรยังมี แต่อ่อ
ย้อนกลับไปในค่ำคืนนั้นที่งานเปิดตัวโรงแรมของเครือขุนเขาเป็นไปด้วยความหรูหรา แขกมากหน้าหลายตาเข้าร่วมงาน ทั้งนักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงดนตรี และแสงแฟลชจากกล้องมากมายขุนเขาในชุดเรียบหรูแบบคนมีฐานะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเขื่อนเองก็ไม่ได้แนะนำออกไมโครโฟนอย่างเป็นทางการทว่าทุกคนกลับรู้สึกได้ว่า คนคนนี้พิเศษกับเขื่อน มากและนั่น… คือสิ่งที่สายตาหนึ่งจับจ้องอย่างสนใจจากชั้นสองของโถงจัดงาน มีชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเข้ม ยืนพิงราวบันไดมองลงมาด้านล่าง ดวงตาคมเฉียบเต็มไปด้วยแววรังสีที่คล้ายกับงูเห่าเมื่อจับเหยื่อไว้ในสายตา“หึ…หน้าคุ้นแปลก ๆ นะ…”“หน้าตาแบบนี้…เหมือนใครบางคนที่กูเคยเห็น…”เขาหยิบมือถือขึ้นมา แอบถ่ายภาพของขุนเขาอย่างแนบเนียน ก่อนจะส่งไปยังเครือข่ายของตนให้สืบข้อมูลทันทีชายคนนั้น หรือที่ผู้คนในวงการใต้ดินรู้จักในนาม “อาคิระ”ชายสัญชาติญี่ปุ่น หนึ่งในศัตรูเก่าแก่ที่มีคดีขัดผลประโยชน์กับขุนแผนมานานหลายปี เปิดแฟ้มข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากสายข่าวภาพใบหน้าของขุนเขาปรากฏชัดเจน พร้อมชื่อเดิม สถานที่เคยอยู่ และ…“…ลูกของไอชา
ยามค่ำคืนในเพ้นต์เฮ้าส์เงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นจากโคมตั้งพื้นทาบทาลงบนโซฟาและพื้นไม้ ขุนเขานั่งพิงอกเขื่อนอยู่บนเตียงกว้าง กลิ่นสบู่จาง ๆ จากร่างกายสะอาดของกันและกันยังลอยอ้อยอิ่งในอากาศ พวกเขานอนคุยกันเรื่อยเปื่อย หัวเราะบ้าง ล้อเล่นกันบ้าง ก่อนที่ความเงียบจะค่อย ๆ ปกคลุมลงทีละน้อย เสียงของเขื่อนดังขึ้นเบา ๆ ราวกลัวจะรบกวนช่วงเวลาสงบตรงหน้า “ขุนเขา… ถ้าวันหนึ่งเราลืมกันไป… ขุนเขาจะยังจำความรู้สึกนี้ได้ไหมครับ” ขุนเขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขื่อน ยิ้มอ่อน ๆ ที่มุมปาก ราวกับว่าคำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว “จำได้สิครับ… มันดีมากเลยนะในตอนนี้” เสียงของขุนเขานุ่มนวลแต่หนักแน่น แฝงความมั่นคงอย่างไม่ต้องอธิบาย พูดจบ ขุนเขาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ ใช้สองแขนโอบกอดเขื่อนเอาไว้แน่นอย่างที่ใจต้องการ หน้าแนบอกอีกฝ่าย ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะมั่นคง เขื่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนในอ้อมแขน ก่อนจะโน้มตัวลงจูบเบา ๆ บนหน้าผาก สัมผัสนั้นอ่อนโยนนัก เหมือนสัญญา เขื่อนกระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ถ้าไม่เป็นการรบกวน… ถ้าพี่อยากจะขอดูแลขุนเขานับต่อจากนี้… ขุนเขาจะว่าอะไรไหมครับ” ขุนเขาส่
เช้าวันต่อมา แสงแดดอุ่นยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องอย่างนุ่มนวล ขุนเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะหันไปมองข้างกาย ที่ตรงนั้น… เขื่อนยังนอนอยู่บนฟูกที่ปูไว้ข้างเตียง ใบหน้าหล่อดูสงบและผ่อนคลายเหมือนเด็กชายในยามหลับ ขุนเขามองนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลังจากลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ขุนเขาก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น และพบว่าเขื่อนตื่นแล้ว แถมยังเตรียมอาหารเช้าไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย “ตื่นแล้วเหรอครับ” ขุนเขาทักเสียงเบา “ครับ วันนี้หน้าคุณดูสดใสดีนะ” เขื่อนยิ้มพลางยื่นขนมปังปิ้งให้ “รับรองว่าไม่ไหม้แน่ครับ เพราะผมตั้งใจเฝ้าเตาอย่างดี” ขุนเขาหัวเราะเบาๆ รับขนมปังมาถือไว้ “ขอบคุณนะครับ” หลังจากนั่งกินข้าวกันอยู่สักพัก ในจังหวะที่บรรยากาศเงียบสงบ เขื่อนก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณขุนเขาครับ…” “ครับ?” “ไปเที่ยวทะเลกับผมไหมครับ?” ขุนเขาชะงักนิดหน่อย มองเขื่อนนิ่งด้วยแววตาแปลกใจ “ผมหมายถึง…แค่สองวันหนึ่งคืนก็ได้ครับ ผมเห็นคุณอยู่แต่ในบ้านกับโรงพยาบาล คงเบื่อแย่ อยากให้คุณได้ออกไปเจอลม เจอคลื่น เจอท้องฟ้า…ก่อนที่คุณจะรู้สึกว่ามันไม่สะดวก” ขุนเขานิ่งคิด แต
หลังจากที่ทั้งคู่ เขื่อนและขุนเขาไปมาหาสู่กันก็เข้าสัปดาห์ที่3ที่ในชีวิตของขุนเขามีเขื่อนอยู่ด้วย เขาเคยแกล้งถามว่ามาหาตนทุกวันอย่างนี้แล้วงานล่ะใครจะทำ เขื่อนก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่ามีคนดูอยู่ ขุนเขาเลยไม่ตื้อไม่อะไร และเดือนนี้ก็เข้าสู่ช่วงปลายเดือนที่6ของการตั้งครรภ์แล้ว ขุนเขาเริ่มจะทำอะไรไม่สะดวก ไม่ค่อยออกไปไหนเพราะกลัวจะลำบากและรบกวนขุนแผน ภายในบ้านยามบ่าย แดดลอดผ่านผ้าม่านบางเบา ขุนเขานั่งพิงหมอนใบใหญ่บนโซฟา มือหนึ่งลูบท้องกลมเบาๆ อีกข้างถือโทรศัพท์เลื่อนดูรูปอาหารที่อยากกิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อเสียงกริ่งประตูดัง “มาอีกแล้วเหรอครับ” เสียงพูดเหมือนจะบ่น แต่รอยยิ้มกลับแต้มขึ้นบนใบหน้าทันทีที่เห็นว่าเป็นเขื่อน “ก็คิดถึงนี่ครับ” เขื่อนพูดหยอกล้อและยกถุงขนมและของโปรดของขุนเขาเข้ามา พร้อมกับน้ำผลไม้เย็นจัดในมือ “วันนี้ไม่ต้องมาก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไร” ขุนเขาวางโทรศัพท์ลง “ไม่มาไม่ได้ครับ เดี๋ยวลูกงอน” เขื่อนพูดขำๆ แล้วค่อยๆ นั่งลงข้างๆ อย่างไม่เร่งรัด “จะลูกใครก็ยังไม่รู้เลยนะครับ” ขุนเขาว่าทั้งที่ไม่ได้โกรธ สีหน้ายังมีรอยยิ้มเจือจางอยู่ “ผมไม่ซีเรียสครับ ไม