โรงพยาบาล – ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ข้างห้อง ICU, เวลา 10:15 น. เสียงสายลมเบาๆ พัดผ่านม่านสีขาวสะอาด ขุนเขานั่งอยู่บนโซฟานุ่มริมหน้าต่าง แสงแดดยามสายตกต้องบนใบหน้าที่ซีดเซียวแต่ยังคงความอ่อนโยน ร่างเล็กที่พึ่งผ่านการคลอดไม่กี่วัน อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนแนบอก เด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวอมชมพูจ้องตาแม่ไม่กระพริบ ริมฝีปากเล็กๆ ขยับเบาเหมือนจะพยายามพูดอะไรสักอย่าง “หนูดูพ่อสิลูก ขี้เซามาก ไม่ยอมตื่นมาเล่นกับเราเลย…” เสียงอ่อนโยนของขุนเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะหยุดพูดไปเมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเปล่งออกมาเป็นเสียงอ้อแอ้ “แอ๊ะ… แอ๊ะ…” ขุนเขาหัวเราะเบาๆ ทั้งน้ำตาคลอหน่วย เอียงหน้ามาแตะหน้าผากลูกอย่างแผ่วเบา “ไว้พ่อฟื้น แม่จะพาหนูมาใหม่นะครับ ไม่ร้องนะคนเก่ง…” เขายกมือขึ้นลูบผมนิ่มๆ ของลูก แล้วเงยหน้ามองเตียงคนไข้เบื้องหน้า… เขื่อน นอนนิ่งอยู่บนเตียง เครื่องช่วยหายใจยังคงทำงานช้าๆ สม่ำเสมอ สายรัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยังพันเต็มร่างกาย สีหน้าของเขาดูสงบ แต่ก็ยังไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ขุนเขากัดปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ “ด…เดี๋ยวพ่อก็ฟื้น… พ่อจะต้องฟื้น…” เสียงสั่นเค
เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังแหวกอากาศมาแต่ไกลแสงไฟวูบวาบตัดกับท้องฟ้ายามบ่ายแก่ที่เริ่มขมุกขมัว ผู้คนมุงดูอยู่ริมถนนสายหลักที่ทอดผ่านเขตชานเมือง ตรงบริเวณโค้งลงเขาซึ่งขึ้นชื่อว่าอันตรายมากที่สุดแห่งหนึ่งรถ SUV สีดำขลับ พังยับเยินจนเกือบจำเค้าเดิมไม่ได้ ฝากระโปรงยุบย่นกระแทกเข้าไปถึงที่นั่งคนขับ กระจกหน้าแตกละเอียดกระจายเต็มพื้นถนน ล้อหน้าข้างหนึ่งหลุดกลิ้งออกไปไกลจากจุดเกิดเหตุ กลิ่นน้ำมันและเขม่าควันโชยตลบอบอวลเสียงหวอของเจ้าหน้าที่กู้ภัยประสานกับเสียงวิทยุสื่อสารตลอดเวลา“เราพบผู้บาดเจ็บติดอยู่ในรถคนเดียวครับ เป็นชาย… อายุประมาณสามสิบต้นๆ หมดสติ มีเลือดออกจากศีรษะและอกด้านซ้ายอย่างรุนแรง!”เจ้าหน้าที่รีบใช้เครื่องตัดถ่างแงะประตูด้านคนขับที่บิดเบี้ยวอย่างหนัก เสียงเหล็กเสียดสีกันแหลมคมสะท้านเข้าไปถึงหัวใจภาพของเขื่อน—ร่างกายแน่นิ่งคาอยู่กับพวงมาลัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดและเศษกระจกเสื้อเชิ้ตสีขาวมีเลือดเปรอะเปื้อน ส่วนอกด้านซ้ายบุบยุบจนน่ากลัว กระจกแตกทิ่มเข้าเนื้อและแขนจนเห็นเนื้อแดงฉาน“ได้ตัวแล้วครับ! เตรียมเปลนิ่มเร็ว!”เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ดังแทรก“ชีพจรยังมี แต่อ่อ
ย้อนกลับไปในค่ำคืนนั้นที่งานเปิดตัวโรงแรมของเครือขุนเขาเป็นไปด้วยความหรูหรา แขกมากหน้าหลายตาเข้าร่วมงาน ทั้งนักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงดนตรี และแสงแฟลชจากกล้องมากมายขุนเขาในชุดเรียบหรูแบบคนมีฐานะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเขื่อนเองก็ไม่ได้แนะนำออกไมโครโฟนอย่างเป็นทางการทว่าทุกคนกลับรู้สึกได้ว่า คนคนนี้พิเศษกับเขื่อน มากและนั่น… คือสิ่งที่สายตาหนึ่งจับจ้องอย่างสนใจจากชั้นสองของโถงจัดงาน มีชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเข้ม ยืนพิงราวบันไดมองลงมาด้านล่าง ดวงตาคมเฉียบเต็มไปด้วยแววรังสีที่คล้ายกับงูเห่าเมื่อจับเหยื่อไว้ในสายตา“หึ…หน้าคุ้นแปลก ๆ นะ…”“หน้าตาแบบนี้…เหมือนใครบางคนที่กูเคยเห็น…”เขาหยิบมือถือขึ้นมา แอบถ่ายภาพของขุนเขาอย่างแนบเนียน ก่อนจะส่งไปยังเครือข่ายของตนให้สืบข้อมูลทันทีชายคนนั้น หรือที่ผู้คนในวงการใต้ดินรู้จักในนาม “อาคิระ”ชายสัญชาติญี่ปุ่น หนึ่งในศัตรูเก่าแก่ที่มีคดีขัดผลประโยชน์กับขุนแผนมานานหลายปี เปิดแฟ้มข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากสายข่าวภาพใบหน้าของขุนเขาปรากฏชัดเจน พร้อมชื่อเดิม สถานที่เคยอยู่ และ…“…ลูกของไอชา
ยามค่ำคืนในเพ้นต์เฮ้าส์เงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นจากโคมตั้งพื้นทาบทาลงบนโซฟาและพื้นไม้ ขุนเขานั่งพิงอกเขื่อนอยู่บนเตียงกว้าง กลิ่นสบู่จาง ๆ จากร่างกายสะอาดของกันและกันยังลอยอ้อยอิ่งในอากาศ พวกเขานอนคุยกันเรื่อยเปื่อย หัวเราะบ้าง ล้อเล่นกันบ้าง ก่อนที่ความเงียบจะค่อย ๆ ปกคลุมลงทีละน้อย เสียงของเขื่อนดังขึ้นเบา ๆ ราวกลัวจะรบกวนช่วงเวลาสงบตรงหน้า “ขุนเขา… ถ้าวันหนึ่งเราลืมกันไป… ขุนเขาจะยังจำความรู้สึกนี้ได้ไหมครับ” ขุนเขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขื่อน ยิ้มอ่อน ๆ ที่มุมปาก ราวกับว่าคำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว “จำได้สิครับ… มันดีมากเลยนะในตอนนี้” เสียงของขุนเขานุ่มนวลแต่หนักแน่น แฝงความมั่นคงอย่างไม่ต้องอธิบาย พูดจบ ขุนเขาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ ใช้สองแขนโอบกอดเขื่อนเอาไว้แน่นอย่างที่ใจต้องการ หน้าแนบอกอีกฝ่าย ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะมั่นคง เขื่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนในอ้อมแขน ก่อนจะโน้มตัวลงจูบเบา ๆ บนหน้าผาก สัมผัสนั้นอ่อนโยนนัก เหมือนสัญญา เขื่อนกระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ถ้าไม่เป็นการรบกวน… ถ้าพี่อยากจะขอดูแลขุนเขานับต่อจากนี้… ขุนเขาจะว่าอะไรไหมครับ” ขุนเขาส่
เช้าวันต่อมา แสงแดดอุ่นยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องอย่างนุ่มนวล ขุนเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะหันไปมองข้างกาย ที่ตรงนั้น… เขื่อนยังนอนอยู่บนฟูกที่ปูไว้ข้างเตียง ใบหน้าหล่อดูสงบและผ่อนคลายเหมือนเด็กชายในยามหลับ ขุนเขามองนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลังจากลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ขุนเขาก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น และพบว่าเขื่อนตื่นแล้ว แถมยังเตรียมอาหารเช้าไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย “ตื่นแล้วเหรอครับ” ขุนเขาทักเสียงเบา “ครับ วันนี้หน้าคุณดูสดใสดีนะ” เขื่อนยิ้มพลางยื่นขนมปังปิ้งให้ “รับรองว่าไม่ไหม้แน่ครับ เพราะผมตั้งใจเฝ้าเตาอย่างดี” ขุนเขาหัวเราะเบาๆ รับขนมปังมาถือไว้ “ขอบคุณนะครับ” หลังจากนั่งกินข้าวกันอยู่สักพัก ในจังหวะที่บรรยากาศเงียบสงบ เขื่อนก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณขุนเขาครับ…” “ครับ?” “ไปเที่ยวทะเลกับผมไหมครับ?” ขุนเขาชะงักนิดหน่อย มองเขื่อนนิ่งด้วยแววตาแปลกใจ “ผมหมายถึง…แค่สองวันหนึ่งคืนก็ได้ครับ ผมเห็นคุณอยู่แต่ในบ้านกับโรงพยาบาล คงเบื่อแย่ อยากให้คุณได้ออกไปเจอลม เจอคลื่น เจอท้องฟ้า…ก่อนที่คุณจะรู้สึกว่ามันไม่สะดวก” ขุนเขานิ่งคิด แต
หลังจากที่ทั้งคู่ เขื่อนและขุนเขาไปมาหาสู่กันก็เข้าสัปดาห์ที่3ที่ในชีวิตของขุนเขามีเขื่อนอยู่ด้วย เขาเคยแกล้งถามว่ามาหาตนทุกวันอย่างนี้แล้วงานล่ะใครจะทำ เขื่อนก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่ามีคนดูอยู่ ขุนเขาเลยไม่ตื้อไม่อะไร และเดือนนี้ก็เข้าสู่ช่วงปลายเดือนที่6ของการตั้งครรภ์แล้ว ขุนเขาเริ่มจะทำอะไรไม่สะดวก ไม่ค่อยออกไปไหนเพราะกลัวจะลำบากและรบกวนขุนแผน ภายในบ้านยามบ่าย แดดลอดผ่านผ้าม่านบางเบา ขุนเขานั่งพิงหมอนใบใหญ่บนโซฟา มือหนึ่งลูบท้องกลมเบาๆ อีกข้างถือโทรศัพท์เลื่อนดูรูปอาหารที่อยากกิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อเสียงกริ่งประตูดัง “มาอีกแล้วเหรอครับ” เสียงพูดเหมือนจะบ่น แต่รอยยิ้มกลับแต้มขึ้นบนใบหน้าทันทีที่เห็นว่าเป็นเขื่อน “ก็คิดถึงนี่ครับ” เขื่อนพูดหยอกล้อและยกถุงขนมและของโปรดของขุนเขาเข้ามา พร้อมกับน้ำผลไม้เย็นจัดในมือ “วันนี้ไม่ต้องมาก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไร” ขุนเขาวางโทรศัพท์ลง “ไม่มาไม่ได้ครับ เดี๋ยวลูกงอน” เขื่อนพูดขำๆ แล้วค่อยๆ นั่งลงข้างๆ อย่างไม่เร่งรัด “จะลูกใครก็ยังไม่รู้เลยนะครับ” ขุนเขาว่าทั้งที่ไม่ได้โกรธ สีหน้ายังมีรอยยิ้มเจือจางอยู่ “ผมไม่ซีเรียสครับ ไม