เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนัก
เทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...
อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ
เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกรา
ท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใด
ห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบ
นางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ใดตอบกลับมา จึงเปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ
“ข้าขออนุญาตทีเถอะ... เทพอู่เฉิน ประทานโทษ” พูดแล้วนางมองไปรอบ ๆ ห้องกว้างขวางมีโต๊ะมุกตั้งอยู่ตรงกลาง ดูสะดวกสบายและกว้างขวางกว่าห้องใต้ดินของนางซึ่งมีเพียงเตียงนอน โต๊ะตัวเล็ก ๆ สำหรับให้นางขีดเขียนอะไรบ้าง กระทั่งเตียงไม้ของท่านยังมีแผ่นไม้สลักงานประณีตเป็นลวดลายอสรพิษกั้นด้านข้างเตียงในฝั่งขวา ให้ความเป็นส่วนตัว ในฝั่งซ้ายของเตียงก็ชนชิดติดกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง
นางมองไม่เห็นเจ้าของห้องเพราะผ้าคลุมเตียงสีดำที่บดบังเตียงนั้น นางก้าวเข้าไปเรียกท่านก็ไม่เห็นจะตอบนาง จึงเลื่อนมือขยับผ้ายกขึ้น
“เทพอู่เฉิน?” นางเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ก่อนจะเก็บอาการไว้ในสีหน้าเรียบเฉย เมื่อสภาพร่างกายของเทพหลงเหนียนผู้ยิ่งใหญ่ตามคำกล่าวอ้างของมนุษย์ บัดนี้ดูแทบไม่ได้
งูตัวใหญ่ยักษ์ร่างสูงเสียดฟ้ากลายเป็นงูตัวเล็กนิดเดียว! เหมือนงูเขียวหลังกระท่อมซอมซ่อของนาง เห็นว่านางจะตีตายไปหลายตัวแล้วนำซากศพมาประกอบอาหาร
“เจ้าถูกปีศาจรบกวนหรือยังไง จะมาหลบซ่อนตัวกับข้า เกรงว่าจะไม่เหมาะ”
นางส่ายหน้าไปมา “หามิได้เลยเทพอู่เฉิน สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักอาศัยของท่านเพียงผู้เดียว ข้ามิบังอาจ ข้าขออภัยที่ถือวิสาสะเข้ามา”
เทพอู่เฉินเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ขณะขดตัวเป็นวงกลมบนผ้าห่มผืนอุ่น
อาเป้ยรับรู้ได้ว่าท่านคงเสียหน้าพอประมาณ เมื่อนางก้มหน้าลงมองคราบที่เกาะติดอยู่บนร่าง จะหลุดก็มิหลุด แถมร่างสีดำทะมึนกลายเป็นสีใสมองทะลุผ่านเห็นองค์ประกอบข้างใน
ใสบางมากจนนางรู้สึกตกใจ เหตุใดท่านถึงกลายเป็นปีศาจอ่อนแอเพียงนี้
นางมิกล้าพูดออกไป ยกมือขึ้นสะบัดผ่านใบหน้าของนางครั้งหนึ่ง เพื่อทำความสะอาดห้องให้กลับมาเรียบร้อย เสกผ้าห่มผืนใหญ่ผืนหนึ่งเป็นผ้าห่มหนังสัตว์สีขาว
“เทพอู่เฉิน... ข้าขออนุญาตเสียมารยาท แต่ข้าเกรงว่าเรือนท่านจะไม่เหลือแม้ดอกไม้สักกลีบหนึ่งให้ชื่นชม เทพแห่งสายน้ำก็มีแต่จะเสียพลังเวท เสียแรงเปล่าหากยังดันทุรังต่อสู้กันไปไม่จบสิ้น ครั้งนี้ข้าขอร้อง... ช่วยทำตามแผนการของข้าทีเถิด”
เทพอู่เฉินอ่อนน้อมถ่อมตนกว่าที่นางคิด ในยามอ่อนแอท่านไม่หยิ่งทระนงตนแม้แต่น้อย ยังยอมทำตามแผนการของนาง
นางเดินเลี่ยงออกมานั่งบนสะพานไม้ คอยหลบหลีกการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายโดยไม่ตอบโต้ เอี้ยวตัวไปทางซ้ายทีขวาที กระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วนั่งลงอย่างเดิม เด็ดลูกท้อมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะมีคนสนใจนางก็เล่นเอาเหนื่อย
อสูรพยัคฆ์ในร่างงามสง่าล้อมด้วยเปลวอัคคีหันมามองนาง จึงได้ทีพูด
“พวกท่านจะสู้กันเพื่ออะไร? ข้าไม่เข้าใจ พวกท่านไม่เหน็ดเหนื่อยกันเลยหรือยังไง”
“ส่งหยกพันปีมาให้ข้า เทพอู่เฉินจำศีลอยู่ ข้ารู้ดี ออกมา...”
“เทพอู่เฉินขอตัวลาไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ฝากข้ามาบอกพวกท่านด้วยว่าจะไปจำศีลในอ้อมอกท่านแม่ เพราะว่าท่านรำคาญหู เสียงพวกท่านเอะอะโวยวายอยู่ตลอด”
“เจ้าโกหกข้า! เทพอู่เฉินจะต้องอยู่เฝ้าสมบัติล้ำค่าเยี่ยงหยกพันปี...”
“ท่านไม่เชื่อข้าก็ลองไปค้นหาในเรือนท่านดูซี ท่านอู่เฉินอนุญาตให้พวกท่านเข้าไปชมเรือนได้ในฐานะแขก เทพอู่เฉินได้แจ้งกับข้าว่าท่านต้อนรับเทพได้ ย่อมต้อนรับปีศาจได้เช่นกัน...”
ฟังไม่เข้าท่าเลยสักนิด! คราวนี้ปีศาจทุกตนมองนางเป็นตาเดียว พวกเขาแลดูเกรี้ยวกราด เคียดแค้นชิงชัง ทว่ากลับคาดหวังในสิ่งที่นางพูด
“เป็นไปได้อย่างไร? เจ้านำความใดมาพูด เทพอู่เฉินฝักใฝ่ฝ่ายเทพมากี่พันปี”
“เทพอู่เฉินเองก็เป็นครึ่งปีศาจ พวกท่านไม่ยอมเปิดใจฟังต่างหากเล่า เอาเถอะ พวกท่านไม่เชื่อข้า เชิญประลองฝีมือกันต่อตามอัธยาศัย... แต่ท่านปีศาจว่ามาหาเทพอู่เฉินมิใช่หรือ สู้ไปถามท่านให้รู้เรื่องรู้ราวว่าหยกพันปีอยู่ที่ใด หรือจะไปตามหาท่านแม่ของเทพอู่เฉิน ลองถามนางดูว่าบุตรชายอยู่ที่ใด”
อาเป้ยยั่วโทสะทั้งเทพและปีศาจได้ถูกจุด นางเฟยอี๋ไม่ใช่ปีศาจใจดี หากมีผู้ใดไปถามหาบุตรชายเพื่อทำร้ายแล้วละก็ นางพร้อมจะกลืนปีศาจตนนั้นลงท้องด้วย
เทพแห่งสายน้ำผู้สูงศักดิ์เห็นจะทนฝีปากนางไม่ไหวจึงก้าวเข้าไปใกล้ ๆ นาง ต่อว่านางอย่างโจ่งแจ้ง
“แม่นางอย่ายุ่มย่ามเรื่องของเทพจะดีกว่า และเจ้าเป็นสตรี การใดไม่ควร ก็เงียบเสีย”
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้าปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่าทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมน
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียวในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย