คำที่ไม่อยู่ในสมุด – เมื่อเด็กเริ่มเขียนประโยคใหม่แทนคำสวดเก่า
"สมุดสวด" — เคยเป็นของศักดิ์สิทธิ์
ในหมู่บ้านอิซุโนะ เด็กคนหนึ่งชื่ออาโออิ นั่งอยู่กลางลานดิน
“แม่บอกว่าการจำชื่อคนไม่ใช่บาป”
“ถ้าหนูพูดชื่อเขา หนูจะไม่ลืมเขา”
“หนูคิดถึงเขาทุกคืน…”
เธอพับกระดาษนั้น วางไว้ใต้หิน
เด็กอีกกลุ่มในหมู่บ้านใกล้กัน เริ่มตั้ง "วงเขียนชื่อ"
“พ่อเคยบอกว่าการอยู่เงียบไม่ใช่ความดีเสมอไป”
“หนูเคยร้องไห้เพราะห้ามพูดชื่อพี่ชาย”
“ตอนนี้หนูพูดได้แล้ว — พี่ชื่อมิโอะ”
คำเหล่านี้กระจายเหมือนหมึกบนผืนผ้า
ซาโยะถือหนึ่งในกระดาษเหล่านั้นไว้ในมือ
“ข้าไม่รู้ว่าพระองค์ไหนคือพระจริง
แต่ข้ารู้ว่าชื่อของแม่จริง…”
นางหันไปถามฮากุโร่ว่า
“นี่เรียกว่าศรัทธาไหม?”
เขาตอบเพียงเบา ๆ
“ข้าคิดว่า… นี่เรียกว่า กล้ารักโดยไม่ต้องอนุญาต”
ข่าวนี้ไปถึงหูศาสนจักร
ตระกูลฮิโนเอะเปิด “หอเขียนคำ” แห่งแรก
มีคำหนึ่งที่ติดไว้กลางหอ:
“ถ้าเจ้าคิดถึงใคร และเขายังไม่มีชื่อในสมุดใด
เขียนเถอะ — แม้ไม่มีใครอนุญาต
เพราะการคิดถึง… ไม่เคยต้องให้ผ่านพิธี”
และแล้ว สมุดเล่มใหม่เริ่มปรากฏ
บรรทัดแรกเขียนไว้ว่า:
“ข้าไม่รู้ภาษาศักดิ์สิทธิ์
แต่ข้าจำได้ว่าเขายิ้มยังไงในตอนที่ยังมีชีวิต”
ในยามค่ำ ฮากุโร่ยืนกลางแสงตะเกียง
“ศาสนาจักรกลัวคำพูดเหล่านี้…
เพราะมันไม่มีคำว่า ‘ให้อภัย’
แต่มันมีคำว่า ‘ยังรักอยู่’
และนั่น… ควบคุมไม่ได้”
แผ่นดินเริ่มไม่มีบท
และในท้ายที่สุด
กำแพงวัดที่เริ่มสะท้อนเสียงกลับ – เมื่อบทสวดกลายเป็นการตั้งคำถามภายในวัดเอย์จินหนึ่งในวัดที่ขึ้นชื่อว่า “มั่นคงต่อศาสนจักร”พระหนุ่มชื่อ มิโดริน เริ่มสวดผิดเพียงหนึ่งคำในพิธีศักดิ์สิทธิ์เดือนที่แล้ว เขาอ่านว่า“ขอจงปลดปล่อยผู้จากไป ด้วยการเรียกชื่อแท้ของเขา…”แทนที่จะกล่าวว่า“ขอจงลบชื่อของผู้พลาด เพื่อไม่ให้ศรัทธาสั่นคลอน”ผิดเพียงคำเดียวแต่มันดังก้องในหูของเด็กสามคนที่กำลังฟังอยู่และเงียบเกินไปสำหรับหูของพระอาวุโสที่ไม่เคยคิดจะตั้งคำถามหลังพิธีมิโดรินถูกเรียกเข้าห้องสอบสวนแต่เมื่อถูกถามว่า“เจ้าต้องการเปลี่ยนบทสวดหรือ?”เขาตอบเพียงว่า“เปล่า ข้าเพียงอยากรู้ว่า…ใครเขียนบทสวดนี้?”คำถามนั้น ไม่ใช่การต่อต้านแต่สำหรับศาสนจักร… มันคือระเบิดเสียงกระซิบเริ่มก้องในวัดอีกหลายแห่งเด็กที่เคยท่องตามพระเริ่มถามว่า“ทำไมแม่ของข้าจึงไม่มีชื่อในคำสวด?”“ทำไมพี่ชายที่ตายสงครามจึงถูกเรียกว่า ‘ไร้ศรัทธา’?”พระบางรูปตอบไม่ได้พระบางรูปเริ่มหลบสายตาพระบางรูป… กลับเอาบทสวดฉบับเก่าออกมาอ่านลับ ๆ ใต้แสงเทียนวัดทาโฮะพระหญิงนามว่า เรย์ชินขึ้นเทศน์หน้าคนเกือบร้อยแต่แทนที่จะกล่าวตามตำรานางเอ
ศาสนจักรที่เริ่มแตกร้าว – เมื่อพระต้องเลือกระหว่างตำรา กับชื่อที่เคยรู้จักณ วัดฮงเซนซังศูนย์กลางอำนาจทางจิตวิญญาณของศาสนจักรแห่งรัฐมีพระกว่า 300 รูปประจำการบทสวดถูกบรรจงเขียนใหม่ทุกปีตามนโยบาย "การควบคุมคำ"แม้เพียงคำหนึ่งผิด… ก็นับว่าเป็นความผิดทางศาสนาแต่ในปีที่เสียงเงาเริ่มสะท้อนกลับมีบางบท… ที่พระไม่กล้าอ่านเพราะมีบางชื่อ… ที่แม้แต่พระก็ไม่กล้าลืมพระชราองค์หนึ่ง ชื่อ "อุนเกียว"เคยเป็นครูใหญ่ในวัดแห่งนี้กว่า 40 ปีท่องบทสวดจนจำได้แม้ในความฝันแต่เมื่อมีคำสั่งลบชื่อ “อาคาเนะ” ออกจากบันทึกพิธีมือของเขากลับสั่นเกินกว่าจะหยิบพู่กัน“ข้าเป็นคนให้ชื่อเด็กคนนั้น”“วันนี้ข้าจะเป็นคนลบมันออกงั้นหรือ?”ในค่ำคืนนั้นเขาไม่สวดบทที่ถูกสั่งให้สวดแต่สวดชื่อของศิษย์ผู้จากไป ด้วยเสียงเบาที่สุดให้ได้ยินเพียงตนเองทว่าเสียงนั้นกลับดังกว่ากลองยามเช้าในใจเขาพระรุ่นใหม่บางกลุ่ม เริ่มแอบเก็บ “สมุดชื่อ”ซ่อนไว้ใต้ฐานพระบางเล่มเขียนด้วยน้ำหมึกบางเล่มเขียนด้วยเลือดจากนิ้วตนไม่มีใครกล้าพูดในที่แจ้งแต่ในลานวัดยามไร้ผู้คนมีเสียงกระซิบชื่อเหล่านั้นเหมือนบทสวดลับในที่ประชุมระดับสูงของศาสนจักร
บทสนธิสัญญาเงา – เมื่อเงาเริ่มเป็นพันธมิตรคืนเดือนดับใต้สะพานไม้เก่าที่เชื่อมเขตชายแดนสามแคว้นเงาของคนสิบกว่าคนประชุมโดยไม่มีโคมไฟมีเพียงเสียงลมหายใจ และกระดาษในมือผู้แทนจากตระกูลยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ, โทคิโนะ และมินาเสะรวมตัวกันในสิ่งที่ไม่ได้เรียกว่ากองทัพไม่ได้เรียกว่าสภาแต่พวกเขาเรียกว่า“วงแห่งการจดจำ”ไม่มีตราประทับไม่มีชื่อเจ้าภาพมีเพียงสิ่งเดียวที่ร่วมกัน — รายชื่อผู้ถูกห้ามพูดถึงจากศาสนจักรซาโยะนั่งเงียบในเงาข้างกายฮากุโร่ซึ่งยังคงปิดหน้าเธอพูดขึ้นเพียงประโยคเดียวเสียงนั้นเยือกเย็นแต่ชัดเจน“เราจะไม่สู้ด้วยดาบเราจะสู้ด้วยสิทธิในการเรียกชื่อผู้ตายว่า ‘มนุษย์’”ชายจากตระกูลโทคิโนะถาม“หากศาสนจักรตอบโต้มาด้วยไฟลุก… เราจะมีอะไรป้องกัน?”ฮากุโร่ยื่นผืนผ้าขาวให้บนผืนผ้านั้น มีชื่อหลายร้อยชื่อปักด้วยด้ายดำเขาพูดว่า“เราจะไม่ป้องกันแต่จะสะท้อนให้ทุกคนเห็นว่าไฟนั้นเผาอะไรอยู่จริง ๆ”บทสนธิสัญญาเงาถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำตาลแดงจากเปลือกไม้ไม่มีลายเซ็นไม่มีวันเวลาแต่ทุกคนในวงรู้ว่าคืนนี้... พวกเขาไม่ได้มาคุยแต่กำลังลงมือร่วมสร้างเงาให้มีร่างหนึ่งในนั้นเสนอ“เราจ
ปราสาทโอซึกิยามะ – ห้องประชุมลับของเหล่าผู้นำ 12 ตระกูลใต้แสงเทียนที่สะท้อนแค่ครึ่งหน้าผู้นำจากตระกูลโทคิโนะ, ยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ และอีกเจ็ดสายเลือดล้อมวงอยู่ในห้องประชุมเงียบงันแผนที่แคว้นถูกคลี่บนพื้นรายชื่อ “ผู้สวดเงา” แผ่กระจายดั่งหมึกซึมบางรายชื่อถูกขีดฆ่าด้วยหมึกแดงบางชื่อ… ไม่มีแม้กระทั่งใบหน้าให้จดจำไดเมียวโทคิโนะ ผู้สูงวัยที่สุด มองผ่านแว่นกลมต่ำลงมากล่าวเสียงแผ่ว“สมัยข้า... เสียงที่ไม่มีบท คือเสียงกบฏ”“แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่กบฏต่อมนุษย์”เจ้าแคว้นคุเสะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องกลยุทธ์ พูดพลางลูบบาดแผลเก่าบนฝ่ามือ“หากเราอยู่เฉย เท่ากับปล่อยให้ศาสนจักรทำลายความทรงจำของประชาชนด้วยตรายาง”“แต่นี่ไม่ใช่ศึกที่มองเห็นศัตรู”“นี่คือศึกกับความเงียบ”ผู้นำตระกูลยามากาตะ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ทหารของข้าสิบคนถูกสั่งให้จับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ เพราะเธอเขียนชื่อแม่บนผ้า... แล้วมอบให้ลม”“ข้าถามตนเองว่า ข้ายังปกครองแผ่นดินอยู่ หรือข้าแค่รับใช้องค์กรที่กลัวชื่อมนุษย์”เกิดความเงียบอีกครู่หนึ่งก่อนที่หญิงผู้นำจากตระกูลชิราโนะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องวรรณกรรมและวิญญาณส
“กองทัพไม่มีแม่ทัพ” ผู้คนไม่มีหัวหน้า แต่ทุกชื่อที่เอ่ยออก… กลับเคลื่อนทัพได้จริงเสียงที่ไม่มีผู้นำ – เมื่อการจดจำไม่ต้องการธงกลางลานดินแห่งหมู่บ้านโฮรุมิเสียงสวดดังสลับเบาไม่มีเวทีไม่มีนักเทศน์มีเพียงวงคนเรียบง่าย ที่ยืนล้อมกันและสวด "ชื่อ"“อาคิระ…”“มาซาเอะ…”“ชิบุยะ…”“โคโตมิ…”ไม่ใช่บทสวดจากตำราศาสนาแต่เป็นชื่อคนธรรมดาที่เคยถูกสั่งห้ามเอ่ยที่หมู่บ้านฟูรานะชายชราเจ้าของร้านขายของเก่าตั้งกระดานไม้หน้าบ้านให้ทุกคน “ขีด” ชื่อที่อยากจดจำกระดานเต็มทุกวันชื่อที่เขียนด้วยมือไม้สั่นบางชื่อถูกลบแล้วเขียนซ้ำแต่ไม่มีใครถามว่าใครเริ่มเพราะไม่มีใครเริ่มไม่มีใครสั่งและไม่มีใครยอมให้มันหยุดศาสนจักรพยายามรับมือพวกเขาส่งพระรุ่นใหม่เสนอ “บัญชีชื่อที่อนุญาตให้สวด”รายชื่อที่ถูกกลั่นกรองผ่านพิธีผ่านตราประทับผ่านผู้นำที่อนุมัติแต่คนเงียบหญิงชราคนหนึ่งเงยหน้าจากผืนผ้า แล้วกล่าวว่า“ข้าสวด
เงาที่ไม่ต้องหนี – เมื่อผู้สวดเงาเริ่มเดินกลางเมืองในวันที่ฟ้าหม่นเหนือเมืองหลวงอิคุตะฝนโปรยบางเบาแต่ในสายตาของศาสนจักรเม็ดฝนกลับดูเหมือนเศษขี้เถ้าจากสมุดต้องห้ามเพราะผู้คนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดเรียบง่าย สีเทาดั่งเงาเดินเรียงแถวเข้าสู่ใจกลางเมืองมือเปล่า ไม่มีอาวุธไม่มีแม้เสียงตะโกนพวกเขาถูกเรียกว่า "ผู้สวดเงา"ครั้งหนึ่งเคยแอบสวดในป่าเขียนบนผนังที่ไม่มีใครเห็นแต่วันนี้ พวกเขาเดินในถนนใหญ่สวด "ชื่อ" ของผู้ที่เคยถูกห้ามพูด“ยูซากุ…”“โฮชิเอะ…”“อายูมิ…”“ซาโฮะ…”แต่ละชื่อคือคำสวดแต่ละก้าวคือการต่อต้านไม่ใช่ด้วยดาบ แต่ด้วยการไม่หนีอีกต่อไปเด็กหญิงคนหนึ่งเขียนชื่อพ่อที่ตายเพราะถูกประณามว่า “ลืมบท”ลงบนผ้าสีขาว แล้วผูกกับไม้ไผ่เดินถือเข้าไปในตลาดใหญ่กลางวันแสก ๆไม่มีใครกล้าห้ามแม้เจ้าหน้าที่ศาสนจักรจะยืนอยู่แต่ดวงตาหลายคู่มองมาที่ไม้ไผ่นั้น… แล้วลดสายตาลงอย่างเงียบงันพระหนุ่มแห่งกลุ่มโยรุโนะมิโกะหยุดเดินกลางสี่แยกสวดชื่อเพื่อนที่เคยถูกลากออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่มีคำอธิบายเขาพูดเพียงว่า“ศาสนาใดที่กลัวชื่อของผู้ตายคือศาสนาที่กลัวความจริงของผู้ยังมีชีวิต”คืนหนึ่งในศาลากล