บทที่ 3: ความจริงในความมืด
อากิระยืนนิ่งอยู่หน้าห้องหอที่มืดมิด หัวใจเต้นรัวด้วยความสับสน ปริศนาเรื่องเงาที่ต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและไร้เสียงยังคงติดอยู่ในหัวของเธออย่างเด่นชัด มันไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่ใช่ความฝัน เธอยังจำได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากเงาทั้งสอง และเสียงกระซิบที่สั่งให้เธอหลบไปให้พ้นจากอันตราย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมชายที่ได้ชื่อว่าเป็นปีศาจถึงยอมใช้พลังที่เหนือธรรมชาติเพื่อปกป้องเธอ และทำไมเขาถึงต้องซ่อนมันไว้ การกระทำนี้ขัดแย้งกับทุกสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขา อากิระเดินกลับเข้าไปในห้อง พยายามสงบสติอารมณ์ และตัดสินใจว่าเธอจะต้องค้นหาความจริงด้วยตัวเอง ในคืนนั้น คาเงะกลับมาที่ห้องของเธออีกครั้ง ชุดเกราะของเขาไม่มีรอยเลือดใด ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ออกไปต่อสู้กับใครเลย “เจ้าทำหน้าเหมือนเห็นผี” คาเงะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าปกป้องข้า” อากิระตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทำไม?” คาเงะไม่ตอบคำถามนั้น เขากลับเปลี่ยนเรื่อง “ข้าไม่เคยบอกว่าพ่อเจ้าเป็นคนเลว” เขาพูดเสียงต่ำ “ข้าแค่บอกว่าเขาไม่ใช่คนที่เจ้าคิด” คำพูดของเขาเหมือนคมมีดอีกเล่มที่กรีดลึกเข้าไปในใจของอากิระ เธอเริ่มรู้สึกไม่มั่นคงในความเชื่อที่ยึดถือมานานว่าพ่อของเธอคือวีรบุรุษ “แล้วเขาเป็นใคร?” เธอถามอย่างท้าทาย คาเงะเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง มองออกไปนอกปราสาทที่ปกคลุมด้วยหิมะ “เมื่อสิบปีก่อน พ่อของเจ้าคือเพื่อนของข้า” เขาพูดช้า ๆ แต่ละคำมีความหนักแน่น “เขาเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุด” อากิระเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เรื่องนี้ไม่เคยมีใครบอกเธอมาก่อน “เราเคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อสร้างสันติภาพในแคว้น” คาเงะเล่าต่อ “แต่ในสงครามครั้งสุดท้าย... พ่อของเจ้าสั่งให้ฆ่าข้า” “นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” อากิระสวนทันที “ข้าก็คิดแบบนั้น” คาเงะถอนหายใจ “จนกระทั่งข้าได้ยินคำสั่งนั้นด้วยหูของตัวเอง” อากิระยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง สมองของเธอพยายามประมวลผลเรื่องราวทั้งหมด พ่อของเธอเคยเป็นเพื่อนกับชายคนนี้ และสั่งให้ฆ่าเขา? เธอเริ่มสงสัยว่าความแค้นของเธออาจจะถูกสร้างขึ้นจากเรื่องโกหก “ข้าไม่ได้ฆ่าเขาในครั้งแรก” คาเงะหันมามองอากิระ “ข้าพยายามจะหนี แต่เขาไม่ยอมหยุด... เขาต้องการจะกำจัดข้าทิ้งเสีย” อากิระเดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ เปิดลิ้นชักที่เก็บสมบัติของพ่อเธอไว้ เธอกำลังมองหาหลักฐานที่สามารถยืนยันคำพูดของคาเงะได้ และสิ่งที่เธอเจอคือจดหมายลับที่เก่าและซีดจาง ในจดหมายนั้นมีเนื้อหาที่เผยให้เห็นว่า พ่อของเธอเคยมีแผนสมคบคิดกับแคว้นเหนือ และคาเงะก็เป็นเพียงเครื่องมือตัวหนึ่งในเกมการเมืองที่ซับซ้อน อากิระอ่านจดหมายด้วยความสั่นเทา เธอไม่เคยคิดว่าพ่อของเธอจะทำเช่นนี้ “พ่อของเจ้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับข้าเพื่อยุติสงคราม” คาเงะพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่เขาต้องการให้เจ้ามาเป็นสายลับ เพื่อสืบหาความลับของข้า” อากิระเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาแห่งความสับสนไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบที่เคยรู้จักกำลังพังทลายลงในพริบตา ความแค้นที่เคยเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของเธอกำลังกลายเป็นความว่างเปล่า ในขณะที่เธอกำลังจะเก็บจดหมายฉบับนั้น เธอก็ได้พบกับจดหมายอีกฉบับที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนในซองจดหมายฉบับแรก จดหมายฉบับนี้ดูใหม่กว่าและเขียนด้วยลายมือของพ่อเธอเอง แต่เนื้อหาในนั้นกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันเป็นจดหมายขอความช่วยเหลือ… “หากลูกได้อ่านจดหมายนี้ แสดงว่าพ่อได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่... คาเงะไม่ใช่ศัตรูของเรา แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเงาที่น่ากลัวกว่านั้น” “พ่อถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ... ลูกต้องรีบหนีไป และอย่าไว้ใจใครในแคว้นแห่งนี้” “จงจำไว้... ปีศาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในสนามรบ แต่เป็นคนที่เรามองไม่เห็น” จดหมายฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นในวันเดียวกับที่พ่อของเธอเสียชีวิต อากิระกำจดหมายไว้แน่น เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกทรยศจากทุกทิศทุกทาง เธอถูกหลอกใช้ให้เป็นเจ้าสาวเพื่อแก้แค้นคนที่ไม่ได้เป็นศัตรูของเธอ และพ่อของเธอก็ไม่ได้ตายเพราะความผิดของเขาเอง แต่ถูกสังหารโดยใครบางคน อากิระเงยหน้าขึ้นมองคาเงะ น้ำตาไหลอาบแก้ม “เจ้าพูดถูก… พ่อของข้าไม่ใช่คนที่ข้าคิด” เธอพูดเสียงสั่น “แต่ข้าก็ไม่ได้รู้จักเจ้าเช่นกัน” เขาเดินเข้ามาหาเธอช้า ๆ แล้วยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้เธอ อากิระไม่ได้ปัดมือเขาออก แต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเธอเริ่มเต้นอีกครั้ง “ข้าไม่เคยบอกว่าข้าเป็นคนดี” คาเงะกระซิบ “แต่ข้าก็ไม่เคยโกหกเจ้า” “ใครคือปีศาจที่อยู่เบื้องหลัง?” อากิระถามเสียงเบา “เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า” คาเงะตอบ “แต่ตอนนี้ เจ้ากับข้าต้องร่วมมือกัน เพื่อเปิดโปงความจริงที่ถูกซ่อนไว้”“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ