บทที่ 6: พันธมิตรแห่งอดีต
ป่าสนที่มืดมิดกลายเป็นเขาวงกตที่ไร้ซึ่งทางออก คาเงะและอากิระวิ่งตามหลังกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำไปอย่างไม่คิดชีวิต อากิระยังคงหวาดระแวง แต่สายตาของคาเงะที่มองกลุ่มคนเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พวกท่านเป็นใครกันแน่?” คาเงะถามในที่สุด “เราคือผู้พิทักษ์” ชายในชุดคลุมตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “ผู้พิทักษ์แห่งเงาที่ถูกหลงลืม” พวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในป่าที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา หมู่บ้านที่ดูเก่าแก่และเงียบสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น มันคือหมู่บ้านของ "ตระกูลไร้เงา" อากิระเดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปในโถงกลางของหมู่บ้าน เธอเห็นชาวบ้านที่ดูแตกต่างจากคนทั่วไป ทุกคนมีดวงตาที่เหมือนจะมองทะลุความมืดได้ และดูเหมือนจะสามารถสื่อสารกันด้วยเงา “ที่นี่คือที่ๆ เจ้าจะได้เรียนรู้ความจริงทั้งหมด” ชายในชุดคลุมกล่าวพร้อมกับถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายชราที่มีรอยยิ้มที่อบอุ่น “ข้าชื่อ ยามาโมโตะ ผู้นำของตระกูลไร้เงา และเป็นเพื่อนเก่าของบิดาของเจ้า” คำพูดนั้นทำให้หัวใจของอากิระสั่นคลอนอีกครั้ง ยามาโมโตะพาอากิระและคาเงะไปที่ศาลเจ้าที่เก่าแก่ เขาเล่าเรื่องราวในอดีตให้พวกเขาฟัง… เรื่องราวของ "คาเงะ โนะ จิน" (เงาแห่งจิตวิญญาณ) “เมื่อนานมาแล้ว ตระกูลของเราคือผู้พิทักษ์แห่งแคว้น เรามีพลังในการควบคุมเงาและวิญญาณเพื่อปกป้องความสงบสุข” ยามาโมโตะกล่าว “แต่พลังนี้ถูกใช้ในทางที่ผิดโดยบรรพบุรุษของทาเคชิ ทำให้เกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่ และในที่สุด ตระกูลของเราก็ถูกขับไล่ออกมา” “แล้วพ่อของข้าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้?” อากิระถาม “พ่อของเจ้ามีพลังนี้อยู่ในสายเลือด” ยามาโมโตะตอบ “เขาคือผู้เดียวที่สามารถควบคุมพลังนี้ได้ แต่เขาปฏิเสธที่จะใช้มันเพื่อทำสงคราม และนั่นคือเหตุผลที่ทาเคชิเกลียดเขา และต้องการจะกำจัดเขา” อากิระหันไปมองคาเงะ ความสับสนในใจของเธอเริ่มคลี่คลาย “แล้วเงาของข้า?” คาเงะถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำถาม “ทำไมมันถึงมีชีวิต?” “นั่นคือส่วนหนึ่งของพลังที่เจ้าได้รับจากบรรพบุรุษ” ยามาโมโตะตอบ “เงาที่เจ้าเห็นคือวิญญาณของคนรักของเจ้า ที่เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเจ้า และตอนนี้… วิญญาณนั้นกำลังรอให้เจ้าปลดปล่อย” ในคืนเดียวกันนั้น อากิระนั่งอยู่คนเดียวบนกองหิน เธอรู้สึกเหมือนถูกโลกทั้งใบที่เคยรู้จักกำลังหักหลัง พ่อของเธอไม่ใช่เพียงแค่วีรบุรุษ แต่เป็นผู้ที่ต่อสู้กับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า และเธอเองก็มีพลังนั้นอยู่ในสายเลือด ในขณะที่เธอกำลังจมอยู่ในความคิด คาเงะเดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ “เจ้าโอเคไหม?” เขาถาม อากิระส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงอีกต่อไป” “บางครั้งความจริงก็ไม่ได้สวยงาม” คาเงะตอบ “แต่มันก็คือสิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น” “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าไม่โกรธคนที่ทำให้เจ้าต้องอยู่กับวิญญาณคนรักที่ตายแล้วหรือ?” อากิระถาม คาเงะมองไปที่ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า “ข้าเคยโกรธ… แต่ข้าก็ได้เรียนรู้ว่าความโกรธไม่ได้ช่วยให้ข้าได้อะไรกลับคืนมา” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันเป็นเพียงดาบที่ทำร้ายตัวข้าเอง” คำพูดของเขาทำให้หัวใจของอากิระอบอุ่นขึ้น เธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป และเธอมีเพื่อนที่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของเธอได้ “ข้าพร้อมแล้ว” อากิระพูดขึ้นมาในที่สุด “ข้าพร้อมที่จะเรียนรู้ที่จะใช้พลังนี้” ยามาโมโตะและคาเงะพาเธอไปยังใจกลางของหมู่บ้าน ที่นั่นมีศิลาที่แกะสลักรูปเงาของมังกรอยู่ “นี่คือที่ๆ เจ้าจะได้เรียนรู้การควบคุมพลัง” ยามาโมโตะกล่าว “แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่อยู่ในใจของเจ้าก่อน” อากิระยืนอยู่หน้าศิลาอย่างกล้าหาญ เธอหลับตาลง และในทันทีเธอก็รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกที่มืดมิด เธอเห็นภาพในอดีตที่น่ากลัว ภาพที่พ่อของเธอถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ภาพที่ตระกูลของเธอถูกทำลาย เธอต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ แต่ในความมืดนั้น เธอก็เห็นเงาของคาเงะที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่ยื่นมือมาให้เธอ อากิระยื่นมือไปจับมือเขา และในทันทีนั้นเธอก็รู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ไหลเข้ามาในตัวเธอ พลังที่สามารถทำให้เธอเอาชนะความกลัวได้“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ