บทที่ 7: การฝึกฝนแห่งเงา
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องลงมาบนศิลาแกะสลักรูปเงาของมังกร อากิระยืนอยู่ตรงหน้ามัน ลมหนาวพัดเอาเศษหิมะที่ปลิวว่อนมาปะทะกับใบหน้าของเธอ แต่เธอไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นอีกต่อไป เธอรู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอ พลังที่กำลังรอคอยที่จะถูกปลดปล่อย “จงหลับตาลง” เสียงของยามาโมโตะดังขึ้น “แล้วปล่อยให้จิตวิญญาณของเจ้าล่องลอยไปกับเงา” อากิระหลับตาลงตามคำสั่ง เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความมืดที่ไร้ขีดจำกัด เธอเห็นภาพในอดีตที่น่ากลัว ภาพที่พ่อของเธอถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ภาพที่ตระกูลของเธอถูกทำลาย ภาพเหล่านั้นถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความมืดมิด “ความกลัวของเจ้าคือพันธนาการของเจ้า” เสียงของยามาโมโตะดังขึ้นอีกครั้ง “จงใช้ความกลัวนั้นเป็นพลัง” อากิระพยายามที่จะควบคุมความรู้สึกเหล่านั้น แต่ความเจ็บปวดและความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจกลับทำให้เธอเจ็บปวดไปทั้งตัว “ข้าทำไม่ได้!” เธอตะโกน ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกถึงมือที่สัมผัสกับมือของเธอ มันเป็นมือของคาเงะที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ “เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว” เขาพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา “จงปล่อยให้ข้าอยู่กับเจ้าในความมืดนี้” อากิระเงยหน้าขึ้นมองเขา ในดวงตาที่เคยว่างเปล่ากลับมีประกายบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้ามาในตัวเธอผ่านมือของเขา และความรู้สึกนั้นก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเธอหลับตาลงอีกครั้ง ภาพในอดีตก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอเห็นพ่อของเธอกำลังยิ้มให้เธอ และเห็นวิญญาณของคาเงะที่กำลังเต้นรำอยู่กับเธอในความมืด “เงาของเจ้าคือจิตวิญญาณของเจ้า” เสียงของยามาโมโตะดังขึ้นอีกครั้ง “จงใช้มันเพื่อปกป้องคนที่เจ้ารัก” อากิระเริ่มฝึกฝนพลังของเธอภายใต้การดูแลของยามาโมโตะและคาเงะ เธอได้เรียนรู้ที่จะควบคุมเงา และเรียนรู้ที่จะใช้มันเพื่อปกป้องตัวเองและคนที่อยู่รอบข้าง แต่ในระหว่างการฝึกฝนนั้น เธอก็ได้พบกับปมปริศนาอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ… วันหนึ่งในขณะที่เธอกำลังฝึกฝนการใช้พลังเงาอยู่คนเดียว จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่พุ่งเข้ามาในตัวเธอ มันไม่ใช่พลังของเธอ แต่เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นหลายเท่า “ข้ากำลังรอเจ้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเธอ “ข้าคือ คาเงะ โนะ จิน ผู้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลไร้เงา” อากิระเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพลังนี้ถึงมาหาเธอ “คาเงะโนะจินถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณของผู้ที่ต่อสู้เพื่อสันติภาพ” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “และเจ้าคือผู้ที่ได้รับเลือกให้ครอบครองพลังนี้” ในขณะที่เธอกำลังพูดคุยกับเสียงในหัว คาเงะก็เดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ากังวล “เจ้าโอเคไหม?” เขาถาม อากิระเล่าเรื่องที่เธอได้ยินให้เขาฟัง คาเงะฟังเธออย่างตั้งใจ แล้วเขาก็ยิ้มบางๆ “นั่นคือพลังที่ข้าเคยมี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้า “มันคือพลังที่ข้าได้รับจากคนรักของข้า” อากิระมองเขาด้วยความสับสน “เมื่อสิบปีก่อน คนรักของข้าถูกฆ่าโดยทาเคชิ” คาเงะเล่าต่อ “แต่เธอก็ได้มอบพลังของเธอให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้มีชีวิตรอดต่อไป” คำพูดของเขาทำให้หัวใจของอากิระเจ็บปวด เธอมองไปที่ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความเศร้า และเธอรู้ดีว่าความเจ็บปวดนั้นคือสิ่งที่คาเงะต้องแบกรับมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา “ข้าขอโทษ” เธอพูดเสียงเบา คาเงะยิ้มบางๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” เขาพูด “เพราะตอนนี้… พลังของข้าก็คือพลังของเจ้า และเจ้าก็คือคนเดียวที่จะสามารถใช้มันเพื่อเอาชนะทาเคชิได้” อากิระมองหน้าคาเงะด้วยความสับสน แต่ในดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรักและความเชื่อมั่น และนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าเธอจะต้องใช้พลังนี้เพื่อปกป้องคนที่เธอรัก“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ