บทที่ 10: ความหวังสุดท้าย
เสียงดาบกระทบกันดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ กองทัพวิญญาณของทาเคชิเข้าโจมตีกองกำลังของอากิระอย่างบ้าคลั่ง อากิระยืนอยู่บนเนินเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ มือของเธอสั่นเทาจากการใช้พลังเงาเพื่อต่อสู้กับกองทัพที่ไม่มีวันตาย “เราต้องไปที่นั่น!” อากิระตะโกน “เราต้องหยุดทาเคชิให้ได้!” “แต่เราจะฝ่ากองทัพนี้ไปได้อย่างไร?” คาเงะถาม ทันใดนั้น เงาของอากิระก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นมังกรเงาที่น่าเกรงขาม มังกรเงาคำรามก้องไปทั่วทั้งสนามรบ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่กองทัพของทาเคชิ “ไปกันเถอะ!” อากิระตะโกน “เราจะใช้พลังนี้เพื่อหยุดเขา” อากิระและคาเงะกระโดดขึ้นไปบนหลังของมังกรเงา และพุ่งทะยานเข้าไปในใจกลางของสงครามอย่างรวดเร็ว มังกรเงาพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความมืด ทำให้กองทัพของทาเคชิแตกกระจายไปคนละทิศละทาง “เจ้าไม่มีทางหยุดข้าได้!” เสียงของทาเคชิดังก้องมาจากปราสาท “ข้าคือผู้ที่จะปกครองโลกใบนี้!” อากิระและคาเงะเดินทางมาถึงหน้าปราสาทของทาเคชิอย่างรวดเร็ว ปราสาทดูมืดมิดและน่าขนลุกกว่าที่เคยเป็น รอบปราสาทมีเงาของวิญญาณที่ลอยอยู่เต็มไปหมด ราวกับเป็นผู้พิทักษ์ของปราสาท “เราจะเข้าไปได้อย่างไร?” อากิระถาม “ข้าจะเปิดทางให้เอง” คาเงะตอบ คาเงะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เงาของเขาก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นยักษ์เงาที่น่าเกรงขาม ยักษ์เงาพุ่งเข้าใส่กำแพงปราสาทอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กำแพงที่แข็งแกร่งพังทลายลงในพริบตา “ตอนนี้แหละ!” คาเงะตะโกน “เข้าไป!” อากิระกระโดดเข้าไปในปราสาทอย่างรวดเร็ว ตามด้วยคาเงะที่รีบตามเธอเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ภายในปราสาทดูมืดมิดและเงียบสงัด พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินที่ยาวเหยียด จนกระทั่งมาถึงห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยวิญญาณของทหารที่ตายแล้ว “ยินดีต้อนรับ… คู่รัก” เสียงของทาเคชิดังขึ้นจากกลางห้องโถง “ข้ารอพวกเจ้าอยู่” ทาเคชิยืนอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากโครงกระดูก เขามีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดมิด “เจ้าต้องตาย!” อากิระตะโกน “ไม่ใช่ตอนนี้” ทาเคชิหัวเราะ “ข้าจะใช้พลังของเจ้าเพื่อสร้างโลกใบใหม่” ทาเคชิยื่นมือออกไป เงาของเขาก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว อากิระและคาเงะหลบเงาของเขาอย่างหวุดหวิด แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถสู้กับพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ “เจ้าไม่สามารถต่อสู้กับข้าได้” ทาเคชิพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ข้าคือผู้ที่ได้รับเลือกให้ครอบครองพลังนี้” “เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้รับเลือก!” อากิระตะโกน “เจ้าคือปีศาจที่ใช้พลังนี้เพื่อทำลาย!” “แล้วไง?” ทาเคชิหัวเราะ “เจ้าจะทำอะไรได้?” อากิระมองหน้าคาเงะ แล้วเธอก็ยิ้มบางๆ เธอรู้ดีว่าเธอจะต้องทำอะไรเพื่อเอาชนะทาเคชิ “ข้าอาจจะสู้เจ้าไม่ได้” อากิระพูดเสียงเบา “แต่ข้าก็มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า” อากิระหลับตาลง เธอรวบรวมพลังทั้งหมดที่เธอมีอยู่ในตัว แล้วเธอก็ส่งพลังนั้นออกไปในรูปแบบของแสงสว่างที่พุ่งเข้าไปในตัวของทาเคชิ แสงสว่างนั้นทำให้ทาเคชิกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ้าทำอะไร!” เขาตะโกน “ข้าจะใช้พลังแห่งแสงสว่างเพื่อทำลายความมืดในตัวเจ้า” อากิระตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “และข้าจะหยุดเจ้าให้ได้”“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ