ลมหนาวกรุ่นกลิ่นไม้ซีดาร์ลอดผ่านช่องกระดาษสา ซาโยะนั่งในท่าพับเพียบกลางห้อง พื้นเสื่อตาตามิสะอาดจนสามารถสะท้อนแสงเช้าได้บางเบา
เบื้องหน้า รันมารุ คุเสะ สวมชุดฮากามะสีดำสนิท มือคีบกาน้ำชาเคลื่อนไหวอย่างนิ่งสงบ ผิวหน้าไร้อารมณ์ราวกระจกในคืนไร้จันทร์
“เจ้ารู้หรือไม่...” รันมารุเอ่ยเบา เสียงชัดเจนแม้ไร้แววข่มขู่
เขาเทน้ำร้อนลงถ้วยชาเซรามิกแตกบาง สีเขียวหม่นคล้ายหยกจืดจาง กลิ่นมัทฉะลอยคลุ้ง — แฝงรสขมแหลมที่สัมผัสปลายลิ้นเพียงนึกถึงก็รู้สึกถึงความฝาด
“ข้าดื่มได้หรือยัง?” ซาโยะถามขึ้น นิ่งสงบราวสตรีจากตระกูลผู้ดี
เธอยกถ้วยขึ้น จิบช้า ๆ ดวงตาไม่หลบเลี่ยง ดุจมองผ่านม่านหมอกเข้าไปในจิตใจชายตรงหน้า
“ความขมไม่ได้ฆ่าข้า” ซาโยะกล่าวเสียงเรียบ “แต่การปิดบังเจตนา อาจทำให้ข้าหลงทิศได้”
รันมารุวางถ้วยของเขาลง
ซาโยะนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเบา ๆ แต่หนักแน่น
“และท่านก็คงรู้ ว่าข้าไม่ได้มานั่งที่นี่เพื่อทำตามคำสั่งของใครคนเดียว”
ความเงียบวาบหนึ่งแล่นผ่านระหว่างคนทั้งสอง เหมือนดาบสองเล่มที่ยังไม่ชักออกจากฝัก — แต่พร้อมเฉือนกันในใจ
สัญลักษณ์กลยุทธ์ในฉากนี้:
น้ำชาขม = ความจริงที่ไม่อาจกลืนลงง่าย
ถ้วยแตกบาง = ความเปราะบางของพันธมิตร
การดื่มก่อนพูด = ใครเริ่มเปิดเผยก่อน ย่อมเสียเปรียบก่อน
“สงบแต่มีดาบซ่อนอยู่ในน้ำ” = ความรู้ว่าแม้ฉากสงบ ก็เป็นสนามรบในอีกชั้นหนึ่ง
เสียงลมหายใจของยามเช้าปลายฤดูหนาวยังอ้อยอิ่งอยู่บนเสื่อตาตามิที่ซาโยะเคยนั่งให้คำมั่น เงาของโคมไฟยามค่ำคืนยังปรากฏบนมุมห้องราวกับไม่ยอมเลือนหาย
หลังคำมั่นนั้น — ไม่มีถ้อยคำใดจากฮากุโร่อีก มีเพียงคำสั่งผ่านกระดาษพับรูปนกกระเรียน
“เดินตามเส้นทางดอกไม้ปลอม”
ในอีกฟากของภูเขาหิมะ ปราสาทคุเสะต้อนรับสตรีที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงตัวหมากของศัตรู บัดนี้มาในคราบของพันธมิตร “ซาโยะฮิเมะ” ผู้เปี่ยมเกียรติ
การต้อนรับที่แปลกแยกนั้นมิใช่ด้วยความศรัทธา หากแต่ด้วยความระแวง
พิธีน้ำชาในห้องอุโบสถเล็ก ถูกจัดเพื่อ “ทดสอบ” มากกว่าต้อนรับ
รันมารุ คุเสะ — ทายาทหนุ่มผู้มีแววตาเย็นเฉียบ นั่งอยู่ตรงข้าม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ชาแก้วแรกมักขม... เพื่อทดสอบจิตใจ” เขากล่าวขณะรินน้ำชาอย่างนิ่งสงบ
ซาโยะยิ้มบาง ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยเบา ๆ
“เช่นเดียวกับคำลวง — หากใช้ดี อาจกลายเป็นคำสัตย์ในสงคราม”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองกลายเป็นสงครามเงียบในถ้อยคำ
รันมารุเอ่ยถึงดินแดนร้างในตะวันตก ที่มี “ดาบเลือดเงา” ถูกฝังไว้ — พร้อมตำนานนักดาบไร้ใจที่เป็นเจ้าของดาบนั้น
ซาโยะเพียงฟัง — แต่ใจกลับเต้นแรง
“ดาบเลือดเงา” คือสิ่งเดียวกับที่บิดานางเคยกล่าวถึงก่อนสิ้นใจ
คืนนั้น นางเดินเล่นในสวนของคุเสะ พบว่าดอกไม้ทุกดอกคือดอกไม้ปลอม — ไม่มีแมลง ไม่มีกลิ่น ไม่มีความตาย
แต่ก็ไม่มีวันเหี่ยวเฉาเช่นกัน
“เช่นข้า” — ซาโยะครุ่นคิด
“ความงามที่ไม่มีราก — มีแต่หน้าที่ปลอมใจผู้คน”
ในบทหน้าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ซาโยะต้องเลือกระหว่าง เผยตัวตน กับ การปกปิดต่อไป — เพราะรันมารุเริ่มสงสัย
บทที่ 33 — กลิ่นดินปนกลิ่นเลือดฟ้าก่อนรุ่งบนเนินเขานอกอิคุซะโนะโมริ หนาวจัดราวมีบางสิ่งกำลังรั้งไม่ให้แสงตะวันขึ้นซาโยะยืนอยู่ริมลานฝึกดาบเก่า สายตานางทอดผ่านหมอกที่ยังคลุมแผ่นดินราวอาภรณ์ของศพกลิ่นดินหลังฝนใหม่… ปนกลิ่นเลือดสดที่ยังไม่แห้งดีมีร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้มะพลับกลางลาน คือ “ยูนากะ” หนึ่งในคนสนิทของฮากุโร่—ผู้เชี่ยวชาญการลอบสังหาร และเคยปกป้องซาโยะไว้ในศึกเพลิงเงา“เขาถูกวางยาและแทงซ้ำ” แพทย์หลวงกล่าวโดยไม่มองนาง “ผู้ลงมือ...รู้จุดตายของคนที่ถูกฝึกให้ฆ่าโดยไม่หายใจ”เสียงของแพทย์แฝงแววหวาดหวั่นฮากุโร่มาถึงโดยไร้เสียงฝีเท้า เขาก้มลงข้างศพ ใช
บทที่ 35 — สนธิสัญญาเงาภายในหอประชุมไม้เก่าแก่ กลางป่ามิสุโนะยามค่ำคืน โคมเทียนเพียงเจ็ดดวงส่องไหวราวลมหายใจของเหล่าขุนศึกผืนเสื่อกลางห้องว่างเปล่า ไม่มีใครกล้านั่งตรงกลาง ไม่มีใครกล้าเป็น “แกนกลาง” แห่งพันธมิตรนี้ซาโยะนั่งอยู่หลังฮากุโร่ มองผ่านม่านเส้นผมของตนเอง—ทุกถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย คือเชือกที่ร้อยผู้นำสามตระกูลเข้าหากัน หรือผูกพวกเขาให้ตายไปด้วยกัน“เราจะทำข้อตกลงใต้แสงเทียน โดยไม่มีใบหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีความแค้น” ฮากุโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แววอารมณ์อาโอบะยกพัดขึ้นปิดริมฝีปาก “การไม่เอ่ยนาม เป็นธรรมเนียมของพวกเงา... หรือของพวกทรยศ?”อิซึมิหัวเ
บทที่ 32 — โลหิตที่ร้องไห้ในแสงเทียนห้องหนึ่งในคฤหาสน์อิคุซะโนะโมริถูกแสงเทียนไหววูบสะท้อนเงาร่างสองร่างบนฉากญี่ปุ่นเก่าซาโยะนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างของเธอสวมเสื้อคลุมบาง ขอบผ้าสีเข้มเปรอะไปด้วยฝุ่นเขม่าจากสนามรบเธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่หลั่งน้ำตาแต่โลหิตในอกกลับกรีดเสียงเจ็บปวดดั่งมีใครร้องเรียกจากอดีตเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง ฮากุโร่ปรากฏตัวโดยไร้ชุดเกราะ มีเพียงผ้าคลุมดำที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและเถ้าถ่าน“เจ้ารอดมาได้...” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่“ทุกคนตายหมด ยกเว้นข้า” ซาโยะพูดช้า ๆ ไม่ใช่คำสารภาพ แต่เหมือนบันทึกของผู้รอดชีวิตเขาไม่ตอบ กลับเดินมาวางดาบของตัวเองลงบนเสื่ออย่างนุ่มนวล แล้วนั่งเคียงข้างเธอ"เจ้ารู้ไหม..." ซาโยะเอ่ยโดยไม่หันมา “ตอนเปลวไฟล้อมข้า ข้าไม่กลัวตายเลยสักนิด”“แต่ข้ากลัวว่า หากข้ารอด... ข้าจะต้องเห็นหน้าเจ้าอีก”คำพูดนั้นเฉือนผ่านห้วงความเงียบอย่างรุนแรงฮากุโร่ไม่ตอบในทันทีเขาหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจุดใหม่ ไฟเล็ก ๆ ส่องสว่างเงาสะท้อนของซาโยะในม่านตาของเขา“แล้วเมื่อเจ้ารอดจริง ๆ เจ้ารู้สึกอย่างไร”ซาโยะนิ่ง เงีย
ย้อนอดีตของกลยุทธ์ “เพลิงเงา”🧭 เบื้องหลังกลยุทธ์ “เพลิงเงา”จุดมุ่งหมายหลัก:ดึงกองกำลังศัตรูเข้ามาสู่ กับดักซุ่มโจมตีใช้ “เปลวไฟ” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและสายตาใช้ “เงาคน” ทำลายระบบข่าวกรองและสัญญาณสื่อสารศัตรูขั้นตอนการเตรียมตัว:สำรวจพื้นที่เลือกเนินสูง 2 จุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ อิคุซะโนะโมริ เพื่อเป็นฐานตั้งกองกำลังหลัก (A และ B)ระหว่างเนินมีลำธารและพุ่มไม้หนาทึบเป็นทางเดินสำหรับการลอบซุ่มจัดเตรียมเพลิงลวงจุดกองไฟพร้อมเปลาะฟางและกิ่งไม้ลุกไวใน 3 จุด (X, Y, Z) ใกล้ทางเข้าจุดไฟพร้อมกันเพื่อสร้าง “วงเพลิงวงแรก” ระหว่างทางเดินเข้าป่าวางทหาร “เงาซุ่ม”กระจายหมวดลอบโจมตีตามแนวธาร และตามช่องว่างของพุ่มไม้สั่งให้เลี่ยงใช้ธงหรือโซนหมายเหตุระบุตัวแผนยกกองปลอมส่งกองทัพปลอม (ธงปลอม) มุ่งตรงไปยังทางทิศเหนือเพื่อเบี่ยงกำลังศัตรูเมื่อศัตรูเคลื่อนพลตาม มาเจอแต่เงาดับหายไร้เป้าหมาย และถูกล่อลวงเข้าสู่วงเพลิงขณะที่เงาซุ่มอยู่📐 แผนผังสนามรบ (มุมมองจากเบื้องบน) ┌───────────────────────────────────┐ │ ทางทิศเหนือ (กองปลอม) │ │
บทที่ 31 — เพลิงเงาในอิคุซะโนะโมริลึกเข้าไปในป่าภูเขาทางตะวันตกของซาคาเอะ ดินแดนที่เคยเงียบสงบกลายเป็นสนามซุ่มกลแห่งยุทธศาสตร์ — อิคุซะโนะโมริ ป่าที่ชื่อแปลว่า "ไพรสงคราม"เสียงฝีเท้าทหารของสองแคว้นดังสะท้อนผ่านแนวไผ่ ฮากุโร่สวมผ้าคลุมสีเทาเช่นเคย ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก แต่ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวคนตายที่ข้างกาย เขามี ทาคุมะ — รองแม่ทัพผู้รู้เพียงเศษเสี้ยวของอดีต และ อาซึกะ หญิงนักสอดแนมที่เคยล่วงรู้ความลับของซาโยะตั้งแต่ต้น“เรากำลังล่อศัตรูให้ตามแสงเทียน... แต่ไฟที่เผาเราอาจเป็นของจริง” อาซึกะเอ่ยเบา ๆ“แผนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ทาคุมะถาม“เพลิงเงา” ฮากุโร่ตอบเรียบเย็น “จุดไฟจากในเงา... เผาใจศัตรูให้กลายเป็นควันก่อนจะฟาดดาบใส่”ขณะเดียวกัน ซาโยะถูกทิ้งไว้ที่คฤหาสน์มิสุโนะพร้อมกับกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ฮากุโร่ทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทางนางลังเล ก่อนจะเปิดมันภายในคือ สายสร้อยจากเปลือกหอยโบราณ ที่บิดาของนางเคยสวมใส่ และจดหมายเพียงไม่กี่บรรทัด:“แม้ข้าจะเป็นเงา แต่ข้าขอให้เจ้าจำข้าในยามที่แสงอาทิตย์สิ้นสุด”มือของซาโยะสั่น ดวงตาหนักด้วยหยาดน้ำ และภายในใจ... มีบางอย่างที่เริ่มแตกออก —
บทที่ 30 — ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะรุ่งสางปกคลุมคฤหาสน์มิสุโนะด้วยหมอกหนา แสงแรกของวันไม่อาจส่องทะลุม่านสีเทา เหมือนชะตาของแผ่นดินที่ยังไม่รู้ปลายทางซาโยะนั่งอยู่หน้าชานเรือน ใต้ต้นสนโบราณ สวมกิโมโนสีม่วงหม่น ปลายผมยังเปียกจากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเช้า นางจ้องมองดาบของบิดา — ที่บัดนี้รู้แล้วว่าผู้ปลิดชีพท่าน ไม่ใช่ชายที่นางเกลียดมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วจะโทษใคร? จะรักใคร? จะต่อสู้เพื่อใคร?เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังม่านไม้ไผ่ ฮากุโร่ก้าวเข้ามาอย่างไร้เสียง เงาของเขาทาบลงบนแผ่นพื้นไม้เหมือนเงาของสงครามที่ไม่เคยหายไป“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” เขาถามเสียงแผ่ว“ข้าไม่เคยนอนดีเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้” ซาโยะตอบโดยไม่หันไปเขาเงียบ ไม่ตอบโต้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ โดยรักษาระยะห่างพอประมาณ — เหมือนทั้งสองยังเป็นศัตรูในสนามใจ“ข้ารู้ความจริงแล้ว” ซาโยะเอ่ยในที่สุด “เจ้าปิดปากมือสังหาร ไม่ใช่เพราะความยุติธรรม... แต่เพราะเจ้าต้องการอำนาจของตำแหน่งว่าง”ฮากุโร่พยักหน้า“ใช่ — ข้าไม่ได้บริสุทธิ์ แต่ข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อเจ้าด้วยมือข้า ข้าแค่เดินเข้าไปในช่องว่างที่สงครามเปิดไว้”“นั่นต่างจากฆ่าเ