ปราสาทโอซึกิยามะ – ห้องประชุมลับของเหล่าผู้นำ 12 ตระกูล
ใต้แสงเทียนที่สะท้อนแค่ครึ่งหน้า
แผนที่แคว้นถูกคลี่บนพื้น
ไดเมียวโทคิโนะ ผู้สูงวัยที่สุด มองผ่านแว่นกลมต่ำลงมา
“สมัยข้า... เสียงที่ไม่มีบท คือเสียงกบฏ”
“แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่กบฏต่อมนุษย์”
เจ้าแคว้นคุเสะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องกลยุทธ์ พูดพลางลูบบาดแผลเก่าบนฝ่ามือ
“หากเราอยู่เฉย เท่ากับปล่อยให้ศาสนจักรทำลายความทรงจำของประชาชนด้วยตรายาง”
“แต่นี่ไม่ใช่ศึกที่มองเห็นศัตรู”
“นี่คือศึกกับความเงียบ”
ผู้นำตระกูลยามากาตะ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทหารของข้าสิบคนถูกสั่งให้จับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ เพราะเธอเขียนชื่อแม่บนผ้า... แล้วมอบให้ลม”
“ข้าถามตนเองว่า ข้ายังปกครองแผ่นดินอยู่ หรือข้าแค่รับใช้องค์กรที่กลัวชื่อมนุษย์”
เกิดความเงียบอีกครู่หนึ่ง
“หากเราอยู่เฉย...
เท่ากับเรายอมฆ่าชื่อของคนที่เรารัก โดยไม่ต้องลงมือ”
“เสียงที่ไม่มีผู้นำ… อาจไม่มีแผน แต่มีหัวใจ”
“แล้วเราเล่า? เรามีแผนแต่ไม่มีหัวใจหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มจากตระกูลฮิบิโนะ เอ่ยเบา ๆ ขณะจ้องแผนที่
“ชื่อของพ่อข้า... ถูกศาสนจักรห้ามเอ่ยตั้งแต่ข้ายังไม่เกิด
หากข้ายังนิ่งเฉยวันนี้
ข้าควรถูกห้ามชื่อในอนาคตเช่นกัน”
เมื่อลมแรงกระพือหน้าต่างไม้
พวกเขาต้องเลือก
ไดเมียวโทคิโนะลุกขึ้น
“หากศาสนจักรสั่งให้เราลืมชื่อคน
ข้าขอให้เราจดมันทุกวัน
จนชื่อกลายเป็นธงที่ไม่ต้องปักในดิน
แต่ปักในอกเรา”
บทสนธิสัญญาเงา – เมื่อเงาเริ่มเป็นพันธมิตรคืนเดือนดับใต้สะพานไม้เก่าที่เชื่อมเขตชายแดนสามแคว้นเงาของคนสิบกว่าคนประชุมโดยไม่มีโคมไฟมีเพียงเสียงลมหายใจ และกระดาษในมือผู้แทนจากตระกูลยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ, โทคิโนะ และมินาเสะรวมตัวกันในสิ่งที่ไม่ได้เรียกว่ากองทัพไม่ได้เรียกว่าสภาแต่พวกเขาเรียกว่า“วงแห่งการจดจำ”ไม่มีตราประทับไม่มีชื่อเจ้าภาพมีเพียงสิ่งเดียวที่ร่วมกัน — รายชื่อผู้ถูกห้ามพูดถึงจากศาสนจักรซาโยะนั่งเงียบในเงาข้างกายฮากุโร่ซึ่งยังคงปิดหน้าเธอพูดขึ้นเพียงประโยคเดียวเสียงนั้นเยือกเย็นแต่ชัดเจน“เราจะไม่สู้ด้วยดาบเราจะสู้ด้วยสิทธิในการเรียกชื่อผู้ตายว่า ‘มนุษย์’”ชายจากตระกูลโทคิโนะถาม“หากศาสนจักรตอบโต้มาด้วยไฟลุก… เราจะมีอะไรป้องกัน?”ฮากุโร่ยื่นผืนผ้าขาวให้บนผืนผ้านั้น มีชื่อหลายร้อยชื่อปักด้วยด้ายดำเขาพูดว่า“เราจะไม่ป้องกันแต่จะสะท้อนให้ทุกคนเห็นว่าไฟนั้นเผาอะไรอยู่จริง ๆ”บทสนธิสัญญาเงาถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำตาลแดงจากเปลือกไม้ไม่มีลายเซ็นไม่มีวันเวลาแต่ทุกคนในวงรู้ว่าคืนนี้... พวกเขาไม่ได้มาคุยแต่กำลังลงมือร่วมสร้างเงาให้มีร่างหนึ่งในนั้นเสนอ“เราจ
ปราสาทโอซึกิยามะ – ห้องประชุมลับของเหล่าผู้นำ 12 ตระกูลใต้แสงเทียนที่สะท้อนแค่ครึ่งหน้าผู้นำจากตระกูลโทคิโนะ, ยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ และอีกเจ็ดสายเลือดล้อมวงอยู่ในห้องประชุมเงียบงันแผนที่แคว้นถูกคลี่บนพื้นรายชื่อ “ผู้สวดเงา” แผ่กระจายดั่งหมึกซึมบางรายชื่อถูกขีดฆ่าด้วยหมึกแดงบางชื่อ… ไม่มีแม้กระทั่งใบหน้าให้จดจำไดเมียวโทคิโนะ ผู้สูงวัยที่สุด มองผ่านแว่นกลมต่ำลงมากล่าวเสียงแผ่ว“สมัยข้า... เสียงที่ไม่มีบท คือเสียงกบฏ”“แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่กบฏต่อมนุษย์”เจ้าแคว้นคุเสะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องกลยุทธ์ พูดพลางลูบบาดแผลเก่าบนฝ่ามือ“หากเราอยู่เฉย เท่ากับปล่อยให้ศาสนจักรทำลายความทรงจำของประชาชนด้วยตรายาง”“แต่นี่ไม่ใช่ศึกที่มองเห็นศัตรู”“นี่คือศึกกับความเงียบ”ผู้นำตระกูลยามากาตะ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ทหารของข้าสิบคนถูกสั่งให้จับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ เพราะเธอเขียนชื่อแม่บนผ้า... แล้วมอบให้ลม”“ข้าถามตนเองว่า ข้ายังปกครองแผ่นดินอยู่ หรือข้าแค่รับใช้องค์กรที่กลัวชื่อมนุษย์”เกิดความเงียบอีกครู่หนึ่งก่อนที่หญิงผู้นำจากตระกูลชิราโนะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องวรรณกรรมและวิญญาณส
“กองทัพไม่มีแม่ทัพ” ผู้คนไม่มีหัวหน้า แต่ทุกชื่อที่เอ่ยออก… กลับเคลื่อนทัพได้จริงเสียงที่ไม่มีผู้นำ – เมื่อการจดจำไม่ต้องการธงกลางลานดินแห่งหมู่บ้านโฮรุมิเสียงสวดดังสลับเบาไม่มีเวทีไม่มีนักเทศน์มีเพียงวงคนเรียบง่าย ที่ยืนล้อมกันและสวด "ชื่อ"“อาคิระ…”“มาซาเอะ…”“ชิบุยะ…”“โคโตมิ…”ไม่ใช่บทสวดจากตำราศาสนาแต่เป็นชื่อคนธรรมดาที่เคยถูกสั่งห้ามเอ่ยที่หมู่บ้านฟูรานะชายชราเจ้าของร้านขายของเก่าตั้งกระดานไม้หน้าบ้านให้ทุกคน “ขีด” ชื่อที่อยากจดจำกระดานเต็มทุกวันชื่อที่เขียนด้วยมือไม้สั่นบางชื่อถูกลบแล้วเขียนซ้ำแต่ไม่มีใครถามว่าใครเริ่มเพราะไม่มีใครเริ่มไม่มีใครสั่งและไม่มีใครยอมให้มันหยุดศาสนจักรพยายามรับมือพวกเขาส่งพระรุ่นใหม่เสนอ “บัญชีชื่อที่อนุญาตให้สวด”รายชื่อที่ถูกกลั่นกรองผ่านพิธีผ่านตราประทับผ่านผู้นำที่อนุมัติแต่คนเงียบหญิงชราคนหนึ่งเงยหน้าจากผืนผ้า แล้วกล่าวว่า“ข้าสวด
เงาที่ไม่ต้องหนี – เมื่อผู้สวดเงาเริ่มเดินกลางเมืองในวันที่ฟ้าหม่นเหนือเมืองหลวงอิคุตะฝนโปรยบางเบาแต่ในสายตาของศาสนจักรเม็ดฝนกลับดูเหมือนเศษขี้เถ้าจากสมุดต้องห้ามเพราะผู้คนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดเรียบง่าย สีเทาดั่งเงาเดินเรียงแถวเข้าสู่ใจกลางเมืองมือเปล่า ไม่มีอาวุธไม่มีแม้เสียงตะโกนพวกเขาถูกเรียกว่า "ผู้สวดเงา"ครั้งหนึ่งเคยแอบสวดในป่าเขียนบนผนังที่ไม่มีใครเห็นแต่วันนี้ พวกเขาเดินในถนนใหญ่สวด "ชื่อ" ของผู้ที่เคยถูกห้ามพูด“ยูซากุ…”“โฮชิเอะ…”“อายูมิ…”“ซาโฮะ…”แต่ละชื่อคือคำสวดแต่ละก้าวคือการต่อต้านไม่ใช่ด้วยดาบ แต่ด้วยการไม่หนีอีกต่อไปเด็กหญิงคนหนึ่งเขียนชื่อพ่อที่ตายเพราะถูกประณามว่า “ลืมบท”ลงบนผ้าสีขาว แล้วผูกกับไม้ไผ่เดินถือเข้าไปในตลาดใหญ่กลางวันแสก ๆไม่มีใครกล้าห้ามแม้เจ้าหน้าที่ศาสนจักรจะยืนอยู่แต่ดวงตาหลายคู่มองมาที่ไม้ไผ่นั้น… แล้วลดสายตาลงอย่างเงียบงันพระหนุ่มแห่งกลุ่มโยรุโนะมิโกะหยุดเดินกลางสี่แยกสวดชื่อเพื่อนที่เคยถูกลากออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่มีคำอธิบายเขาพูดเพียงว่า“ศาสนาใดที่กลัวชื่อของผู้ตายคือศาสนาที่กลัวความจริงของผู้ยังมีชีวิต”คืนหนึ่งในศาลากล
บทสวดแห่งการซ่อนเมื่อคำกลายเป็นอาวุธ คนจึงต้องซ่อนมันไว้ไม่ใช่แค่จากสายตาแต่จาก “หู” ของผู้คอยฟังเพื่อสั่งฆ่านี่คือยุคที่เสียงไม่เดินทางผ่านลมอีกต่อไปแต่มุดดิน แทรกหิน และซ่อนอยู่ใต้บาดแผลกำแพงที่ไม่มีหู – เมื่อคำถูกซ่อนไว้ใต้หิน ใต้ดิน ใต้ผิวหนังกำแพงหินโบราณที่เคยล้อมรอบศาสนสถานอามาเทระสุบัดนี้ถูกเรียกว่า "กำแพงที่ไม่มีหู"เพราะคำพูดใด ๆ ที่เอ่ยตรงนั้นจะไม่ถูกสอดแนมจะไม่ถูกฟังและจะไม่สะท้อนกลับมาในคืนหนึ่ง เด็กหญิงคนหนึ่งนำหินก้อนเล็ก ๆ ใส่ไว้ในถุงผ้าและกระซิบใส่หินก้อนละคำ:“พ่อ”“แม่”“ข้าไม่ได้ลืม”จากนั้น เธอฝังหินพวกนั้นไว้ใต้ต้นไม้ริมกำแพงไม่มีใครรู้ยกเว้นเธอ และคนที่เธออยากให้ยังมีตัวตนใต้ดินของหมู่บ้านทาคามิกลุ่มผู้สวดเงาจัดพิธีใหม่ชื่อว่า “การฝังคำ”ทุกคนจะเขียนคำหนึ่งคำใส่กระดาษแล้วกลืนมันเชื่อว่า“หากเขียนไม่ได้ ก็จงทำให้คำกลายเป็นเลือดของเราเอง”บางคนเขียนด้วยหมึกบางคนเขียนด้วยเลือดตนเองและบางคนไม่เขียนเลยแค่หลับตาแล้วนึกถึงชื่อที่เคยถูกห้ามพูดเพียงเท่านั้นคำก็กลายเป็นเปลวที่ซ่อนไว้ในอกมีเด็กชายคนหนึ่งในหมู่บ้านอิจิโนะที่ฝังคำลงบนแขนของตนเขาสั
สมุดที่ถูกเผาไม่หมด – เมื่อลมหายใจกลายเป็นหมึกในยุคที่คำคืออาวุธกลางลานศาลาในหมู่บ้านโคะซึคิกองไฟยังคงลุกโชนเศษกระดาษดำเป็นเถ้า ลอยวนในลมค่ำสมุด “จำชื่อ” ทั้งสิบห้าเล่มถูกเผาเหลือเพียงปกหนังไหม้เกรียมกับคำที่อ่านไม่ออกแต่เด็กคนหนึ่งชื่อ “ฮินาโอะ”ยังคงนั่งเขียนด้วยไม้เถาเล็ก ๆ บนดิน“ข้าอาจไม่รู้ว่าคำสวดว่าอย่างไรแต่ข้ารู้ว่าแม่เคยพูดกับข้าแค่สองคำว่า‘อย่าลืมนะ’ ”เขาเขียนซ้ำ ๆ บนพื้นแม้รู้ว่าไฟจะลามมาอีกแม้รู้ว่าคำจะถูกเหยียบจนจมหายที่ชายป่าทางเหนือพระหนุ่มจากกลุ่มโยรุโนะมิโกะรวบรวม “เถ้ากระดาษ” จากที่ต่าง ๆบดรวมกับหมึกและเขียนคำบนผ้าเก่า“นี่คือหมึกที่เกิดจากความจำ”“ไม่ใช่หมึกจากต้นไม้ แต่จากเสียงร้องของคน”เขามอบผ้าผืนนั้นให้หญิงชราผู้เคยถูกห้ามเรียกชื่อลูกเธอใช้มันเขียนเพียงคำเดียว“โทโมยะ”แล้วร้องไห้เงียบ ๆ จนหมึกเปื้อนมือข่าวลือเริ่มกระซิบผ่านหมู่บ้านว่ามี “สมุดเถ้า”ที่เขียนจากหมึกของคนที่ถูกลืมสมุดเหล่านั้นไม่มีใครอ่านออกหมดเพราะมันถูกเขียนด้วยเสียงสะอื้นมากกว่าภาษาแต่ทุกหน้าคืออาวุธที่ทำให้ศาสนจักรหวาดกลัวมากกว่าดาบใดฝ่ายศาสนจักรเริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ไม