“กองทัพไม่มีแม่ทัพ”
เสียงที่ไม่มีผู้นำ – เมื่อการจดจำไม่ต้องการธง
กลางลานดินแห่งหมู่บ้านโฮรุมิ
“อาคิระ…”
“มาซาเอะ…”
“ชิบุยะ…”
“โคโตมิ…”
ไม่ใช่บทสวดจากตำราศาสนา
ที่หมู่บ้านฟูรานะ
กระดานเต็มทุกวัน
เพราะไม่มีใครเริ่ม
ไม่มีใครสั่ง
และไม่มีใครยอมให้มันหยุด
ศาสนจักรพยายามรับมือ
รายชื่อที่ถูกกลั่นกรอง
แต่คนเงียบ
หญิงชราคนหนึ่งเงยหน้าจากผืนผ้า แล้วกล่าวว่า
“ข้าสวดชื่อคนที่ข้ารัก ไม่ใช่ชื่อที่ข้าอนุญาตให้รัก”
ที่ริมแม่น้ำอากิซาโตะ
“คนนี้ชื่อยูนะ ตายตอนเก้า
คนนี้ชื่อโทมะ ไม่มีใครเผา…”
คนฟังครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นเพลงไร้สาระ
ซาโยะนั่งเขียนอยู่ริมหน้าต่าง
เธอเดินออกไป
ฮากุโร่เดินมาข้างหลัง
“ขบวนที่ไม่มีหัว
กลับไม่มีใครทรยศหัวหน้า
เพราะพวกเขารู้ว่ากำลังเดินเพื่อใคร
ไม่ใช่เดินตามใคร”
คำจดจำครั้งนี้ไม่มีคำขวัญ
และรุนแรง
ในอีกฟากของแผ่นดิน
“เสียงที่ไม่มีผู้นำ…
มันไม่ใช่เสียงต่อต้าน
แต่มันคือเสียงที่ไม่มีใครห้ามได้อีกแล้ว”
บทสนธิสัญญาเงา – เมื่อเงาเริ่มเป็นพันธมิตรคืนเดือนดับใต้สะพานไม้เก่าที่เชื่อมเขตชายแดนสามแคว้นเงาของคนสิบกว่าคนประชุมโดยไม่มีโคมไฟมีเพียงเสียงลมหายใจ และกระดาษในมือผู้แทนจากตระกูลยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ, โทคิโนะ และมินาเสะรวมตัวกันในสิ่งที่ไม่ได้เรียกว่ากองทัพไม่ได้เรียกว่าสภาแต่พวกเขาเรียกว่า“วงแห่งการจดจำ”ไม่มีตราประทับไม่มีชื่อเจ้าภาพมีเพียงสิ่งเดียวที่ร่วมกัน — รายชื่อผู้ถูกห้ามพูดถึงจากศาสนจักรซาโยะนั่งเงียบในเงาข้างกายฮากุโร่ซึ่งยังคงปิดหน้าเธอพูดขึ้นเพียงประโยคเดียวเสียงนั้นเยือกเย็นแต่ชัดเจน“เราจะไม่สู้ด้วยดาบเราจะสู้ด้วยสิทธิในการเรียกชื่อผู้ตายว่า ‘มนุษย์’”ชายจากตระกูลโทคิโนะถาม“หากศาสนจักรตอบโต้มาด้วยไฟลุก… เราจะมีอะไรป้องกัน?”ฮากุโร่ยื่นผืนผ้าขาวให้บนผืนผ้านั้น มีชื่อหลายร้อยชื่อปักด้วยด้ายดำเขาพูดว่า“เราจะไม่ป้องกันแต่จะสะท้อนให้ทุกคนเห็นว่าไฟนั้นเผาอะไรอยู่จริง ๆ”บทสนธิสัญญาเงาถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำตาลแดงจากเปลือกไม้ไม่มีลายเซ็นไม่มีวันเวลาแต่ทุกคนในวงรู้ว่าคืนนี้... พวกเขาไม่ได้มาคุยแต่กำลังลงมือร่วมสร้างเงาให้มีร่างหนึ่งในนั้นเสนอ“เราจ
ปราสาทโอซึกิยามะ – ห้องประชุมลับของเหล่าผู้นำ 12 ตระกูลใต้แสงเทียนที่สะท้อนแค่ครึ่งหน้าผู้นำจากตระกูลโทคิโนะ, ยามากาตะ, คุเสะ, ชิราโนะ และอีกเจ็ดสายเลือดล้อมวงอยู่ในห้องประชุมเงียบงันแผนที่แคว้นถูกคลี่บนพื้นรายชื่อ “ผู้สวดเงา” แผ่กระจายดั่งหมึกซึมบางรายชื่อถูกขีดฆ่าด้วยหมึกแดงบางชื่อ… ไม่มีแม้กระทั่งใบหน้าให้จดจำไดเมียวโทคิโนะ ผู้สูงวัยที่สุด มองผ่านแว่นกลมต่ำลงมากล่าวเสียงแผ่ว“สมัยข้า... เสียงที่ไม่มีบท คือเสียงกบฏ”“แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่กบฏต่อมนุษย์”เจ้าแคว้นคุเสะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องกลยุทธ์ พูดพลางลูบบาดแผลเก่าบนฝ่ามือ“หากเราอยู่เฉย เท่ากับปล่อยให้ศาสนจักรทำลายความทรงจำของประชาชนด้วยตรายาง”“แต่นี่ไม่ใช่ศึกที่มองเห็นศัตรู”“นี่คือศึกกับความเงียบ”ผู้นำตระกูลยามากาตะ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ทหารของข้าสิบคนถูกสั่งให้จับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ เพราะเธอเขียนชื่อแม่บนผ้า... แล้วมอบให้ลม”“ข้าถามตนเองว่า ข้ายังปกครองแผ่นดินอยู่ หรือข้าแค่รับใช้องค์กรที่กลัวชื่อมนุษย์”เกิดความเงียบอีกครู่หนึ่งก่อนที่หญิงผู้นำจากตระกูลชิราโนะ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องวรรณกรรมและวิญญาณส
“กองทัพไม่มีแม่ทัพ” ผู้คนไม่มีหัวหน้า แต่ทุกชื่อที่เอ่ยออก… กลับเคลื่อนทัพได้จริงเสียงที่ไม่มีผู้นำ – เมื่อการจดจำไม่ต้องการธงกลางลานดินแห่งหมู่บ้านโฮรุมิเสียงสวดดังสลับเบาไม่มีเวทีไม่มีนักเทศน์มีเพียงวงคนเรียบง่าย ที่ยืนล้อมกันและสวด "ชื่อ"“อาคิระ…”“มาซาเอะ…”“ชิบุยะ…”“โคโตมิ…”ไม่ใช่บทสวดจากตำราศาสนาแต่เป็นชื่อคนธรรมดาที่เคยถูกสั่งห้ามเอ่ยที่หมู่บ้านฟูรานะชายชราเจ้าของร้านขายของเก่าตั้งกระดานไม้หน้าบ้านให้ทุกคน “ขีด” ชื่อที่อยากจดจำกระดานเต็มทุกวันชื่อที่เขียนด้วยมือไม้สั่นบางชื่อถูกลบแล้วเขียนซ้ำแต่ไม่มีใครถามว่าใครเริ่มเพราะไม่มีใครเริ่มไม่มีใครสั่งและไม่มีใครยอมให้มันหยุดศาสนจักรพยายามรับมือพวกเขาส่งพระรุ่นใหม่เสนอ “บัญชีชื่อที่อนุญาตให้สวด”รายชื่อที่ถูกกลั่นกรองผ่านพิธีผ่านตราประทับผ่านผู้นำที่อนุมัติแต่คนเงียบหญิงชราคนหนึ่งเงยหน้าจากผืนผ้า แล้วกล่าวว่า“ข้าสวด
เงาที่ไม่ต้องหนี – เมื่อผู้สวดเงาเริ่มเดินกลางเมืองในวันที่ฟ้าหม่นเหนือเมืองหลวงอิคุตะฝนโปรยบางเบาแต่ในสายตาของศาสนจักรเม็ดฝนกลับดูเหมือนเศษขี้เถ้าจากสมุดต้องห้ามเพราะผู้คนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดเรียบง่าย สีเทาดั่งเงาเดินเรียงแถวเข้าสู่ใจกลางเมืองมือเปล่า ไม่มีอาวุธไม่มีแม้เสียงตะโกนพวกเขาถูกเรียกว่า "ผู้สวดเงา"ครั้งหนึ่งเคยแอบสวดในป่าเขียนบนผนังที่ไม่มีใครเห็นแต่วันนี้ พวกเขาเดินในถนนใหญ่สวด "ชื่อ" ของผู้ที่เคยถูกห้ามพูด“ยูซากุ…”“โฮชิเอะ…”“อายูมิ…”“ซาโฮะ…”แต่ละชื่อคือคำสวดแต่ละก้าวคือการต่อต้านไม่ใช่ด้วยดาบ แต่ด้วยการไม่หนีอีกต่อไปเด็กหญิงคนหนึ่งเขียนชื่อพ่อที่ตายเพราะถูกประณามว่า “ลืมบท”ลงบนผ้าสีขาว แล้วผูกกับไม้ไผ่เดินถือเข้าไปในตลาดใหญ่กลางวันแสก ๆไม่มีใครกล้าห้ามแม้เจ้าหน้าที่ศาสนจักรจะยืนอยู่แต่ดวงตาหลายคู่มองมาที่ไม้ไผ่นั้น… แล้วลดสายตาลงอย่างเงียบงันพระหนุ่มแห่งกลุ่มโยรุโนะมิโกะหยุดเดินกลางสี่แยกสวดชื่อเพื่อนที่เคยถูกลากออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่มีคำอธิบายเขาพูดเพียงว่า“ศาสนาใดที่กลัวชื่อของผู้ตายคือศาสนาที่กลัวความจริงของผู้ยังมีชีวิต”คืนหนึ่งในศาลากล
บทสวดแห่งการซ่อนเมื่อคำกลายเป็นอาวุธ คนจึงต้องซ่อนมันไว้ไม่ใช่แค่จากสายตาแต่จาก “หู” ของผู้คอยฟังเพื่อสั่งฆ่านี่คือยุคที่เสียงไม่เดินทางผ่านลมอีกต่อไปแต่มุดดิน แทรกหิน และซ่อนอยู่ใต้บาดแผลกำแพงที่ไม่มีหู – เมื่อคำถูกซ่อนไว้ใต้หิน ใต้ดิน ใต้ผิวหนังกำแพงหินโบราณที่เคยล้อมรอบศาสนสถานอามาเทระสุบัดนี้ถูกเรียกว่า "กำแพงที่ไม่มีหู"เพราะคำพูดใด ๆ ที่เอ่ยตรงนั้นจะไม่ถูกสอดแนมจะไม่ถูกฟังและจะไม่สะท้อนกลับมาในคืนหนึ่ง เด็กหญิงคนหนึ่งนำหินก้อนเล็ก ๆ ใส่ไว้ในถุงผ้าและกระซิบใส่หินก้อนละคำ:“พ่อ”“แม่”“ข้าไม่ได้ลืม”จากนั้น เธอฝังหินพวกนั้นไว้ใต้ต้นไม้ริมกำแพงไม่มีใครรู้ยกเว้นเธอ และคนที่เธออยากให้ยังมีตัวตนใต้ดินของหมู่บ้านทาคามิกลุ่มผู้สวดเงาจัดพิธีใหม่ชื่อว่า “การฝังคำ”ทุกคนจะเขียนคำหนึ่งคำใส่กระดาษแล้วกลืนมันเชื่อว่า“หากเขียนไม่ได้ ก็จงทำให้คำกลายเป็นเลือดของเราเอง”บางคนเขียนด้วยหมึกบางคนเขียนด้วยเลือดตนเองและบางคนไม่เขียนเลยแค่หลับตาแล้วนึกถึงชื่อที่เคยถูกห้ามพูดเพียงเท่านั้นคำก็กลายเป็นเปลวที่ซ่อนไว้ในอกมีเด็กชายคนหนึ่งในหมู่บ้านอิจิโนะที่ฝังคำลงบนแขนของตนเขาสั
สมุดที่ถูกเผาไม่หมด – เมื่อลมหายใจกลายเป็นหมึกในยุคที่คำคืออาวุธกลางลานศาลาในหมู่บ้านโคะซึคิกองไฟยังคงลุกโชนเศษกระดาษดำเป็นเถ้า ลอยวนในลมค่ำสมุด “จำชื่อ” ทั้งสิบห้าเล่มถูกเผาเหลือเพียงปกหนังไหม้เกรียมกับคำที่อ่านไม่ออกแต่เด็กคนหนึ่งชื่อ “ฮินาโอะ”ยังคงนั่งเขียนด้วยไม้เถาเล็ก ๆ บนดิน“ข้าอาจไม่รู้ว่าคำสวดว่าอย่างไรแต่ข้ารู้ว่าแม่เคยพูดกับข้าแค่สองคำว่า‘อย่าลืมนะ’ ”เขาเขียนซ้ำ ๆ บนพื้นแม้รู้ว่าไฟจะลามมาอีกแม้รู้ว่าคำจะถูกเหยียบจนจมหายที่ชายป่าทางเหนือพระหนุ่มจากกลุ่มโยรุโนะมิโกะรวบรวม “เถ้ากระดาษ” จากที่ต่าง ๆบดรวมกับหมึกและเขียนคำบนผ้าเก่า“นี่คือหมึกที่เกิดจากความจำ”“ไม่ใช่หมึกจากต้นไม้ แต่จากเสียงร้องของคน”เขามอบผ้าผืนนั้นให้หญิงชราผู้เคยถูกห้ามเรียกชื่อลูกเธอใช้มันเขียนเพียงคำเดียว“โทโมยะ”แล้วร้องไห้เงียบ ๆ จนหมึกเปื้อนมือข่าวลือเริ่มกระซิบผ่านหมู่บ้านว่ามี “สมุดเถ้า”ที่เขียนจากหมึกของคนที่ถูกลืมสมุดเหล่านั้นไม่มีใครอ่านออกหมดเพราะมันถูกเขียนด้วยเสียงสะอื้นมากกว่าภาษาแต่ทุกหน้าคืออาวุธที่ทำให้ศาสนจักรหวาดกลัวมากกว่าดาบใดฝ่ายศาสนจักรเริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ไม