ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆ
ภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบ
ถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้ว
รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น
“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”
ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้า
ภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉย
ด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้น
ส่วนปวริศาก็ภาวนาให้เขาอย่าร้ายไปมากกว่านี้ อย่าได้พูดถึงความสัมพันธ์ที่มันไม่มีอยู่แล้ว
“ทำไมแกกินน้อย” สรวิศอดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ เพราะสีหน้าของคนตรงกันข้ามดูไม่ดีเลยสักนิด ความเครียดมันทะลุผ่านออกมาให้เห็น
“ไม่ค่อยถูกปากครับ”
“พูดแบบนี้ เดี๋ยวหนูหวานจะคิดมากนะเจ้าธร รักษาน้ำใจเมียแกหน่อย” สรวิศบอกพร้อมกับหันไปมองหน้าปวริศาอย่างเห็นอกเห็นใจ
เขารู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางของคู่นี้ แถมการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ยังมาจากคำว่าบุญคุณทั้งสองฝ่าย คนที่บังคับให้วิวาห์นี้เกิดขึ้นก็คือ คุณหญิงรดา มารดาของเขานั่นเอง
“เมีย?”
ชายหนุ่มร้องถามกลับเสียงสูงพอสมควร คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม นั่นทำให้อกของปวริศาร้อนดั่งถูกไฟเผา เพราะหล่อนยังไม่ได้บอกสรวิศเรื่องการหย่าร้าง
กลีบปากเล็กขยับเป็นประโยค เพียงมันไม่มีเสียง แววตานั้นวอนขอสุดฤทธิ์
“หวานขอ อย่าเพิ่งบอกท่าน”
ภาธรเหยียดยิ้มให้ แล้วเลือกที่จะทำตามคำขอ ทว่าเชื่อเถอะว่าไม่ใช่ทำเพื่อปวริศา
“ไม่สบายด้วยหรือเปล่า พ่อเห็นหน้าตาแกไม่ดี”
“ปวดหัวนิดหน่อยครับ”
“เดี๋ยวพ่อไปหายามาให้” คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีใครอยากเห็นลูกเจ็บป่วย
“เดี๋ยวหวานไปหยิบให้เองค่ะ”
อาสาเพราะไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย จากข้อคำสั่งของคุณหมอช่วงแรกหลังจากผ่าตัดหัวใจ ที่ให้ทำกิจวัตรประจำวันได้ แต่ต้องไม่มากไป
พอปวริศาหายวับไปจากลานสายตา สรวิศก็เอ่ยอีกเรื่องที่อยากจะถามมากที่สุด หากมันสำเร็จชาตินี้คงจะได้นอนตายตาหลับเสียที
“ตกลงแกจะจัดงานแต่งงานได้หรือยัง อยู่กันมาสองปีแล้ว ให้เกียรติหนูหวานบ้างสิ” ยอมรับว่าตำหนิถึงจะมีความเข้าใจมากก็ตาม
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาอยากเห็นปวริศามีความสุข เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาได้มีความสุข แต่ความขี้ขลาดทำให้ความสุขนั้นเลือนหายไป
“หรืออยากให้พ่อช่วยอะไร ให้หาวันให้ไหม พ่อช่วยได้ หรือแม่เราป่านนี้แล้วยังไม่ยอมรับ”
ตัวการสำคัญที่ขัดขวางก็คือ ภรรยาเก่าอย่างภคนันท์
“ผมเลือกวันได้แล้วครับ แต่...มีบางรายละเอียดที่ต้องเปลี่ยน หวานยังไม่ได้บอกให้ทราบหรือครับ” เพราะในครั้งนี้นอกจากมารดาจะไม่ขัดขวางแล้ว ยังเร่งให้หาวันอีกต่างหาก
คำตอบของภาธรทำให้สรวิศยิ้มกว้าง หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมา แถมน้ำเสียงก็แสดงความตื่นเต้นไม่น้อย“วันไหนหรือเจ้าธร พ่อจะได้เตรียมตัดชุดได้ถูก แล้วอะไรที่ต้องเปลี่ยน”
คนที่เดินไปเอายากลับมาได้ยินบทสนทนาพอดี พานทำให้แข้งขาอ่อนแรงด้วยรู้ว่าเขากำลังคิดจะเอ่ยอะไร
“เจ้าส…” ไม่ทันที่เสียงเข้มจะได้เอ่ยจนจบประโยค ปวริศาก็สวนขึ้นมาก่อน
“หวานแจ้งทางร้านไปแล้วค่ะ หวานจัดการได้ค่ะคุณท่าน”
“มีอะไรให้ลุงช่วย บอกลุงได้นะหนูหวาน”
“ค่ะ”
แม้จะแก้เกมได้ ทว่าตอนนี้หัวใจของปวริศาก็ยังเต้นผิดจังหวะ เพราะจะอีกนานแค่ไหนกันที่จะปิดมันได้
เหตุผลหลักที่ยังไม่อยากเปิดเผยก็เพราะสุขภาพของสรวิศ ท่านเป็นโรคหัวใจ และเคยเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันมาแล้วหนึ่งครั้งจึงเป็นเหตุให้ต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเป็นเดือนๆเธอกลัวเสียเหลือเกินว่าหากรู้ความจริงท่านจะช็อกจนเกิดภาวะหัวใจวายอีกรอบ ที่สำคัญตอนนี้ก็ยังอยู่ในระยะพักฟื้น ต้องมีนางพยาบาลคอยดูแลใกล้ชิด
เธอจะรอเวลาและหาโอกาสเหมาะ ๆ บอกท่านอีกที
“โกหกไม่ดีนะหวาน ให้ฉันไปบอกเขาให้เอาไหม” ลมหายใจอุ่นร้อนที่มาเป่ารดต้นคอ พร้อมกับเสียงเข้มที่ร้องถาม ทำให้คนที่กำลังล้างจานสะดุ้งเล็กๆ
หญิงสาวต้องหยุดมือจากสิ่งที่ทำแล้วตอบฉับไว
“อย่าบีบหวานนักเลยได้ไหมคะ หวานจะหาทางบอกคุณท่านเอง” น้ำเสียงอ้อนวอนและมันไม่ได้ดังมากนัก ด้วยเนื่องกลัวว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะได้ยิน
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่