“หมายความว่ายังไงที่บอกว่ายังไม่ได้ข่าว”
“ทั้งสามคนเงียบหายไปเป็นเดือนแล้วครับ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนอยู่ที่โน่นรึเปล่าครับ คุณผู้หญิงจะให้พวกเราทำยังไงครับ”
มือขาวกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ไม่คิดสักนิดว่าตัวเองที่นำหน้าสามี ตามหาคนที่หายไปร่วมยี่สิบปีเจอจะต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง นางได้ข่าวจากคนรู้จักว่าเคยเห็นอดีตภรรยาของสามีอยู่ในเมืองซีแอตเทิล ก็รีบส่งลูกน้องของบิดาให้ไปจับตัวผู้ชายที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายของสามี
แต่แล้วข่าวคราวกลับเงียบหายไป
“เช็กเรื่องการเดินทางมันหรือยัง”
“ผมเช็กไปที่โรงแรม เขาว่ามีคนมาเช็กเอ้าท์ออกไปแล้ว แล้วก็มีการยกเลิกการจองเที่ยวบิน เงียบหายไปแบบนี้...ผมว่าอาจถูกเก็บไปแล้วก็ได้ครับ”
“แค่เด็กผู้ชายคนเดียวมันจะทำอะไรได้”
“ถ้าเป็นอย่างที่ไอ้พวกนั้นตามสืบ คนที่ดูแลผู้ชายคนนั้นก็ระดับบิ๊กของซีแอตเทิล เป็นผู้มีอิทธิพลคนนึงเลยนะครับ และคงใหญ่กว่าจิรพงศ์ธาดาเสียอีกครับ”
“ไร้สาระ! ถึงจะมีคนดูแลยังไงก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ กฎหมายที่นั่นจะไม่ทำอะไรเลยหรือไง”
“คงไม่ต่างกับที่นี่หรอกครับ ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น และมีเงินมากพอ ก็ไม่มีหลักฐานโยงถึงผู้กระทำผิดจริงๆ”
หญิงวัยสี่สิบห้าได้แต่เม้มปากแน่น นางรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เมื่อยี่สิบปีก่อนนางก็เป็นคนลงมือทำเรื่องเลวร้าย ทั้งที่แน่ใจว่าทั้งสองคนต้องตายไปในกองเพลิงจากอุบัติเหตุจนไฟลุกไหม้ทั้งคัน ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นางกลับพบว่าสามีของนางส่งคนไปตามหาทั้งคู่จนรู้ว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นทำให้นางต้องเร่งสืบเพื่อให้รู้เรื่องทั้งหมดก่อนสามี
“ถ้าพวกมันถูกเก็บจริงๆ ฉันก็เสียเงินเปล่าประโยชน์น่ะสิ”
“อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพวกนั้นอยู่ในซีแอตเทิลนะครับ”
“ส่งคนไปใหม่ ไปสืบต่อจากตรงนั้น ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งของของฉัน”
“ได้ครับคุณผู้หญิง”
คนถูกเรียกว่าคุณผู้หญิงเม้มปากแน่น นางทำทุกอย่างแม้แต่ยอมเป็นตัวแทนเพื่อตั้งครรภ์และให้กำเนิดทายาทจิรพงศ์ธาดา ทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานมายี่สิบปีเพื่อเป็นภรรยาที่ถูกสามีรังเกียจ นอนแยกห้อง จนกระทั่งบิดาของนางเสียชีวิต นางจึงแยกบ้านอยู่กับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากเจ็บปวดอีก
แต่แล้วลาภิณก็ยังใจร้ายกับนางด้วยการส่งคนไปตามหาอดีตภรรยาและลูกชายที่ควรตายไปในกองเพลิงนั่น เขาไม่เคยรักนาง ไม่เคยรักลูกชายของนางเลย ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเอาแต่คิดถึงคนที่ควรตายไปแล้วตลอดเวลา
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนได้แต่กำมือแน่น และหากนางเจอทั้งคู่ ครั้งนี้นางจะต้องเห็นกับตาและลงมือจัดการทั้งคู่ด้วยมือของนางเอง
ในเมื่อนางไม่มีความสุข...ใครก็อย่าหวังจะมีความสุข อย่าหวังมาแย่งของของนาง!
นลินจ้องโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นานสองนาน สิ่งที่ได้รับรู้จากลูกน้องทั้งสองคนซึ่งติดตามมาจากซีแอตเทิลก็ให้ต้องกัดกระพุ้งแก้มเบาๆ แม้จะเป็นอย่างที่เขานึกสงสัย แต่เขาก็อยากแน่ใจมากกว่านี้
ชายหนุ่มหยิบล็อกเก็ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกน เปิดมันออกดูภาพถ่ายสีซีดด้านใน แม้เขาจะยังเด็กมาก แต่ความทรงจำเรื่องบิดาผู้ให้กำเนิดยังคงชัดเจน
รอยยิ้มใจดีอ่อนโยนที่มอบให้เขา จุมพิตอบอุ่นที่คอยจูบยามกลับมาถึงบ้าน อ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกเหล่านั้นยังชัดเจน และเขาตั้งใจจดจำมันมาตลอดยี่สิบปีราวกับกลัวว่าจะลืมเลือน
แม้มารดาจะไม่เคยโกหกเขา ไม่เคยปิดบังทุกเรื่องราวจากเขา แต่เขากลับเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เขาเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านั้นไม่โกหกเขาเช่นกัน และหากบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้โกหกเขาก็ไม่มีวันทำเรื่องใจร้ายด้วยการสั่งฆ่าเขาและมารดาเป็นแน่
นลินถูกเทรนต์สอนมาตลอดว่าไม่ให้มองภาพมุมเดียว ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ หากไม่ได้ยินกับหู ไม่ได้เห็นกับตา ตราบใดที่เป็นเรื่องมาจากบุคคลที่สาม เขาก็จะไม่ปักใจเชื่อเด็ดขาด
แม้แต่เรื่องของบิดาผู้ให้กำเนิดที่ออกมาจากปากมารดาของเขาเองก็ตาม
เขาไม่คิดว่ามารดาจะกล่าวหาบิดาลอยๆ ไม่เคยนึกโทษที่มารดามองบิดาในแง่ร้าย แต่เพราะความรัก เพราะนวมิณทร์รักลาภิณมาก รักมากจึงเสียใจมากจนไม่ได้ฟังความจริงจากเจ้าตัว ด้วยตอนนั้นเป็นห่วงนลินยิ่งกว่าสิ่งใด จึงหวังเพียงแค่ขอให้นลินปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไรเลย
“นลินคิดอะไรอยู่”
คนถูกเรียกรีบเก็บล็อกเก็ตใส่กระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกนก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่ทรุดกายนั่งข้างๆ มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มสีดำชาร์โคลพลางส่งยิ้มใจดีให้หลานชาย
“คุณลุงช่วยเล่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนให้นลินฟังได้ไหมครับ”
“จะอยากรู้ไปทำไมเรื่องเลวๆ แบบนั้น นลินจำแค่...”
“คุณลุงคิดว่าพ่อของนลินจะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ เขาดูเป็นคนใจร้ายใจดำได้เหรอครับ คุณตาบอกว่าครอบครัวจิรพงศ์ธาดาและครอบครัวกิตติวรกานต์รู้จักกันตั้งแต่พวกคุณลุงยังเด็ก และเพราะรู้จักกันนี่แหละที่คุณแม่และคุณพ่อรักกันมาตลอดจนถึงขั้นแต่งงานกัน”
“ถ้าถามลุง...ลาภิณไม่ใช่คนที่ทำร้ายใครได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนมากโดยเฉพาะกับตฤน หลังจากตฤนเรียนจบจากต่างประเทศกลับมาทั้งคู่ก็แต่งงานกันเลย เพราะหมั้นหมายกันตั้งแต่ก่อนตฤนไปเรียนเมืองนอก และลาภิณก็รักษาสัญญามาตลอด ไม่เคยนอกใจตฤนเลย ขยันส่งจดหมายไปหา ลุงก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ลาภิณเปลี่ยนไป คงเพราะอยากนั่งเก้าอี้ซีอีโอนั่นแหละ”
“แล้วคุณลุงได้ข่าวคุณพ่อช่วงนี้ไหมล่ะครับ”
“เห็นว่าไม่สบาย อาจเพราะเหตุนี้มั้งถึงได้ตามหาตฤนกับนลิน”
ไตรทศพูดจบก็หันมองใบหน้าหลานชาย ดวงหน้าสวยหวานไม่ต่างจากผู้หญิงนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ นั่นทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไปรู้อะไรมา
“นลินอยากให้ลุงช่วยอะไรก็บอกลุงมาได้เลยนะ”
“นลินอยากให้ลุงไปหาคุณพ่อที่บ้านครับ”
“หมายความว่ายังไงน่ะนลิน”
“นลินให้คนตามสืบประวัติบ้านจิรพงศ์ธาดาหลังคุณแม่พานลินออกมา มีจุดน่าสงสัยหลายอย่าง”
“เรื่องอะไร”
“คุณพ่อมีลูกอีกคนชื่อภัคพลใช่ไหมครับ”
ไตรทศพยักหน้า “แม่เขาดูภาคภูมิใจมากตอนคลอดลูกออกมาแล้วเป็นอัลฟ่า ถึงขั้นจัดงานเลี้ยงฉลองเปิดตัวทายาทจิรพงศ์ธาดาเลยด้วยซ้ำ เรื่องนั้นตฤนก็รู้นะ”
“ครับ แม่เคยเล่า แม่เสียใจมาก ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้จักกับแด๊ด แม่บอกว่าแม่หายมาจากพ่อไม่ถึงปีคุณพ่อก็มีลูกคนใหม่ แม่เข้าใจว่าคุณพ่อนอกใจคุณแม่มาตั้งแต่คุณแม่ยังอยู่กับคุณพ่อ แต่แม่ไม่ได้รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนั้น”
“นลินหมายความว่ายังไง”
“คุณลุงคงไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ”
“ไม่ ตั้งแต่ช่วยตฤนให้พานลินออกนอกประเทศ บ้านเรากับบ้านนั้นก็ตัดขาดกันเลย ไม่แม้แต่จะไปเผาศพตาแก่บ้านนั้น”
“หมายถึงคุณปู่น่ะเหรอครับ”
“ใช่ เพราะตาแก่นั่นเห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจจึงดึงผู้หญิงนั่นเข้ามาในชีวิตของตฤนและลาภิณ ลุงก็พอจะรู้แหละว่าลาภิณไม่ได้เต็มใจนัก ตอนงานแต่งงานของลาภิณกับผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเหมือนคนอมทุกข์”
“บางที...สิ่งที่คุณแม่และคุณลุงได้ยินอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้นะครับ”
“นลินไปรู้อะไรมาจริงๆ ใช่ไหม”
“นลินสั่งเบนนี่และพาร์ดี้ตั้งแต่อยู่ซีแอตเทิลแล้วว่าให้สืบประวัติของจิรพงศ์ธาดาทั้งหมดหลังแม่กับนลินออกมา”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“มันย้อนแย้งกับสิ่งที่นลินรู้มาตลอดยี่สิบปีน่ะสิครับ”
“จะบอกว่าพวกเราเข้าใจลาภิณผิดเหรอ”
“ก็อาจจะครับ” นลินเม้มปากแน่น “เพราะนลินเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รู้มาเป็นความจริงแค่ไหน เลยอยากให้คุณลุงไปพบคุณพ่อไงครับ นลินอยากรู้ว่าสิ่งที่นลินรู้มากับสิ่งที่ออกมาจากปากคุณพ่อน่ะตรงกันไหม”
“นลินรู้อะไรมา”
“คุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นอนห้องเดียวกันครับ นลินไม่รู้ว่าเธอทำยังไงจึงได้ท้อง แต่เพราะเธอท้องคุณพ่อจึงยอมแต่งงานด้วย ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณปู่ด้วยไหม แต่ถึงจะแต่งงานกันคุณพ่อก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเธอ ไม่ยอมทำพันธะ และพอพ่อของเธอตาย พ่อก็ไม่ห้ามที่เธอย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็ยังไปๆ มาๆ เพราะลูกของเธอยังอยู่ที่บ้านคุณพ่อ”
“นลินหมายความว่าทั้งหมดไม่ใช่เจตนาของลาภิณ แต่เป็นเพียงความรับผิดชอบเพราะเป็นพ่อของตาภัคเหรอ”
“พ่อคงคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ผิดที่เกิดมา แม้พ่อจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เกิดมาเพราะคุณพ่อ”
“นั่นก็สมกับที่เป็นลาภิณล่ะนะ”
“คุณลุงช่วยนลินหน่อยนะครับ นลินอยากรู้ความจริง”
“ได้สิ ลุงจะช่วย ถ้าเป็นอย่างที่นลินบอก เราอาจเข้าใจลาภิณผิดมาตลอดยี่สิบปี และคนที่เป็นทุกข์ไม่ต่างจากพวกเราก็คือลาภิณ อาจจะทุกข์ยิ่งกว่าก็ได้ เพราะเขาคงคิดโทษตัวเองมาตลอดว่าตฤนกับนลินตายไปแล้ว”
“ไม่ก็พยายามตามหาพวกเรามาตลอดยี่สิบปี” นลินเอ่ยเสียงเบา
แม้ชายหนุ่มจะพยายามพูดเสียงเบาเพียงใด ทว่าเพราะนั่งชิดติดกันไตรทศจึงได้ยินมันเต็มสองหู หากเป็นเช่นที่นลินคิดแล้วล่ะก็...เขาเองก็ผิดที่ไม่ไตร่ตรองสาส์นที่รับมาให้ดีแล้วก็ปักใจเชื่อ จนทำให้ครอบครัวของน้องชายต้องแตกและพังทลายขนาดนี้
หากเป็นจริงเช่นที่นลินพูด แล้วกิตติวรกานต์ทั้งหมดเข้าใจลาภิณผิด เขาไม่ทำร้ายแต่ลาภิณ แต่ยังทำร้ายทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตฤนและนลินที่ต้องห่างจากคนที่รักนับยี่สิบปี สร้างบาดแผลให้แก่ทุกคนจนถึงทุกวันนี้
“ไม่รู้ว่าถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่จะเจ็บปวดแค่ไหน” นลินเอ่ยขึ้นพลางหยิบล็อกเก็ตต่างหน้าบิดาออกจากกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง
“มันอาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะนลิน” ไตรทศปลอบใจหลานชาย
“ชะตาเล่นตลกน่ะสิครับ ถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่ก็คงโทษตัวเองที่ไปจากคุณพ่อ แล้วก็ต้องรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อในความรักของคุณพ่อ แล้วกับแด๊ดเอง...คุณแม่เองก็รักเหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนผ่าตัดเอารอยพันธะคุณพ่อออก ยอมให้แด๊ดทำรอยพันธะ แล้วหากเป็นอย่างนลินคิด คุณแม่จะทำยังไงล่ะครับ จะกลับมาอยู่กับคุณพ่อ หรือเลือกจะอยู่กับแด๊ด”
นลินแค่นหัวเราะ เขาเพียงแค่อยากตามล่าคนที่ทำร้ายเขา ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ หากบิดาเป็นคนเลวร้ายคงจะดีเสียกว่า เพราะการที่มารดาหนีไปถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่แบบนี้...
เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“ลุงจะไปหาลาภิณ จะต้องรู้ความจริงให้ได้”
“ขอบคุณครับคุณลุง”
ไตรทศลูบศีรษะหลานชาย ก่อนจะผุดลุกเพื่อเข้าไปปรึกษาบิดามารดาในเรื่องนี้ ทิ้งให้นลินนั่งในสวนเพียงลำพัง โดยไม่รู้แลยว่ามีคนแอบดูมาครู่หนึ่งแล้วด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงดูสนิทสนมกับลุงไตรขนาดนั้นกันนะนลิน”
“อะแฮ่ม! มาแอบดูใครน่ะพยัคฆ์”
พยัคฆ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปด้านหลังที่แฝดผู้พี่กำลังยืนยิ้มอย่างล้อเลียน แม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาก็บอกพยนต์จนหมด
“พยนต์จะไม่ถามว่ารู้จักนลินมาก่อนไหม แต่จะถามพยัคฆ์ว่าช่วงนี้ที่แวะมาเกือบทุกวันเนี่ยไม่ใช่เพราะงาน ไม่ใช่เพราะคิดถึงหลาน แต่เพราะอยากเจอหน้านลินใช่ไหม”
“ก็รู้อยู่แล้วยังจะถามทำไม”
“พยัคฆ์จะมาทำเล่นๆ กับนลินไม่ได้หรอกนะรู้ไหม”
“ทำเล่นๆ อะไรล่ะ แค่เข้าใกล้ยังยากเลย แถมยังเอาแต่บอกพยัคฆ์ว่าเป็นเบต้า ไม่อยากยุ่งกับอัลฟ่า”
“ไม่มีเบต้าที่ไหนอยากยุ่งกับอัลฟ่าหรอกนะ”
“สวยๆ อย่างนลินไม่มีทางเป็นเบต้าหรอกนะพยนต์ พยัคฆ์ว่าเขาโกหกซะมากกว่า”
“พูดเหมือนรู้จักเขามาก่อนเลยนะ”
พยัคฆ์ไม่ตอบคำถาม ทว่าสายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังบอบบางที่ก้มมองของบางอย่างในมือ ใช่ว่าเขาอยากจะทำเพียงเฝ้ามองเสียหน่อย แต่นลินไม่เปิดโอกาสให้เขาเอาเสียเลย
ก่อนหน้านี้เขาแค่ขอให้ได้เจอนลินอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าแค่เจออย่างเดียวคงไม่พอเสียแล้วสิ เขาอยากได้มากกว่านี้...อยากใกล้ชิดมากกว่านี้
และคนอย่างพยัคฆ์...อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม!
เสียงเข้มที่กำลังโวยวายอยู่ในห้องทำงานชั้นล่างของคฤหาสน์ศตาวุทธิพงศ์ทำให้คนที่เพิ่งกลับมาถึงต้องชะงัก ไม่ได้ชะงักเพราะเสียงด้านใน แต่ชะงักเพราะเด็กทั้งหกคนที่กำลังยืนออกันหน้าห้อง เป็นเหตุให้ซีอีโอแห่งศตาวุทธิพงศ์กรุ๊ปในวัยเกือบสี่สิบกระแอมเรียกเจ้าเด็กทั้งหก“อะแฮ่ม! มาแอบฟังอะไรตรงนี้” พยัคฆ์แกล้งเอ่ยเสียงเข้ม“คุณพ่อ! กลับมาแล้วเหรอครับ” พลินทร์เอ่ยถามก่อนจะมองหน้าน้องๆ พลางย่นคอด้วยกลัวว่าจะถูกตำหนิ“กลับมาแล้วครับ มามะ! มาหาพ่อนี่มา”เด็กแฝดสามคู่วิ่งเข้าหาบิดาพลางยืนล้อมรอบ ก่อนพยัคฆ์จะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงของคุณนายแห่งศตาวุทธิพงศ์ยังคงอาละวาดลูกน้องคนสนิทในฐานะซีอีโอแห่งแม็กมารีนาซ ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งรับตำแหน่งนี้ไปเมื่อสี่ปีก่อน“คุณแม่โกรธลุงเบนนี่มากเลยฮะ” พริษฐ์เอ่ยพลางทำสีหน้าแหยงๆ“แม่เรากลับมานานแล้วเหรอ”“คุณแม่ไปรับพวกเราครับ ลุงเบนนี่เพิ่งมาเมื่อกี้ แล้วก็ระเบิดลงตู้มๆ เลยครับ”พยัคฆ์มองดวงตากลมโตของโอเม
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่บ่นว่านอนหลับไม่สนิททำให้ซีอีโอหนุ่มแห่งสตาร์ไลท์คลี่ยิ้ม ค่อยๆ ปิดหนังสือนิทานที่เขาไม่แน่ใจว่าอ่านให้ลูกหรือแม่ฟังกันแน่ ทว่าหากมันทำให้นลินหลับได้นานขึ้นสักนิดก็คงจะดีไม่น้อย เขารู้ว่าช่วงนี้นลินลำบากไม่น้อย หลังจากที่นลินเริ่มสร้างรังเมื่อเกือบเจ็ดเดือนก่อน ตอนนี้เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนกำหนดคลอด นลินก็ยิ่งทั้งกลัว ทั้งกังวล กอปรกับเจ้าก้อนตัวยักษ์ในท้องนลินที่แข็งแรงจนพากันดิ้นถี่ขึ้นทำให้นลินแทบไม่ได้พักผ่อนเลยพยัคฆ์ค่อยๆ ประคองศีรษะของนลินเพื่อให้หนุนหมอนดีๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกเบาๆ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้คนที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยเขาดูแลนลินตั้งแต่นลินท้องเข้าสู่เดือนที่เจ็ด‘หลับแล้วเหรอ’นวมิณทร์เอ่ยถามพยัคฆ์โดยไม่มีเสียง พยัคฆ์พยักหน้ารับก่อนจะใช้หมอนสำหรับคนท้องช่วยประคองให้นลินได้หลับสบายขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ ผุดลุกจากเตียงทั้งสองค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอนใหญ่แห่งศตาวุทธิพงศ์ พยัคฆ์ปิดประตูห้องอย่างเบามือ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจที่นลินหลับได้เสียที“นลินหลับนาน
“ไหวแน่นะครับคุณหนู”“อือ ไปจัดการที่เหลือเถอะไป มีปัญหาอะไรก็โทร. มาละกัน”“อยู่คนเดียวได้แน่นะครับ วันนี้คุณพยัคฆ์ไม่อยู่ใช่ไหมครับ หรือว่าจะไปโรงพยาบาล”“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะพาร์ดี้ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนเบนนี่บ่นอีกหรอก”“แต่ว่าคุณหนูดูไม่ดีเลยนะครับ”เสียงพูดคุยของเจ้านายหนุ่มและลูกน้องทำให้หญิงสูงวัยที่ควบตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านและพี่เลี้ยงของสองหลานชายแห่งศตาวุทธิพงศ์รีบเดินออกมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“เกิดอะไรขึ้นคะคุณนลิน ทำไมวันนี้กลับเร็วจังล่ะคะ”“ปวดหัวนิดหน่อยครับ ว่าจะกลับมานอนพักหน่อย ป้าเปลวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” นลินตอบคำถามพลางยิ้มอ่อน ก่อนจะหันกลับไปสั่งงานลูกน้องคนสนิท “ไปได้แล้วพาร์ดี้ ตรวจสอบทุกอย่างให้ดีด้วย”“ครับคุณหนู” พาร์ดี้รับคำทว่าไม่วายละล้าละลังด้วยความเป็นห่วง“ไปเดี๋ยวนี้เลยพาร์ดี้” นลินออกคำสั่งอีกครั้งพาร์ดี้จึงได้แต่หมุนกายออกวิ่งไปที่รถ
กลิ่นอากาศสดชื่น บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงกิ่งไม้เสียดสี ต้นไม้สูงล้อมรอบบ้านทำให้คนที่ต้องการพักกายพักใจยอมรับว่าที่นี่เหมาะเป็นบ้านพักตากอากาศจริงๆ ทว่า...หัวใจของเขาตอนนี้มันยังไม่สามารถกลับมาสดชื่นได้เลยสักนิดดวงตาเรียวสวย หางตายกขึ้นเล็กน้อยขณะหลับตาเพื่อสูดอากาศเย็นยามเช้าตรู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นขณะกอดอก สายตาเหลือบเห็นกำไลหินโกเมนสีแดงดำบนข้อมือก็ต้องเม้มปากอีกครั้งการจากไปของลาภิณ...บิดาผู้ให้กำเนิดอย่างไม่มีวันกลับนั้นไม่ได้ผิดไปจากที่ทุกคนคาดสักนิด หลังงานแต่งงานของนลินและพยัคฆ์เพียงสามวัน วันที่สี่ในช่วงเช้าตรู่นวมิณทร์ก็เป็นคนโทร. มาบอกนลินว่าบิดาของเขาจากไปอย่างสงบ เพียงหลับไปในช่วงกลางคืนแล้วไม่ตื่นอีกเลยนลินไม่รู้ว่ามารดาของเขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ที่ต้องพบว่าคนที่พูดคุยด้วยก่อนเข้านอนจะหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกในเช้าตรู่วันถัดมา ตลอดการจัดงานศพเจ็ดวันนั้น มารดาของเขามักจะแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียวที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามารดาของเขาเสียใจแค่ไหน และเป็นเรื่องดีแล้วที่หลังจากเสร็จสิ้นงานไม่กี่วันเทรนต์ก็พานวมิณท
เมื่อพิธีกรประกาศให้บ่าวสาวลงจากเวทีได้ ทั้งคู่จึงเลือกจะเดินไปหาคนที่ได้รับช่อดอกไม้ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ผุดลุกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าแตกตื่น“พี่ไม่คิดว่าเพชรกับคุณลุงจะมาร่วมงานด้วย เพราะพี่กับนลินทำให้แม่ของเพชร...”“ไม่ครับ” เพชรอันดารีบค้านพลางส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่พยัคฆ์กับคุณนลินไม่ผิดนี่ครับ”“เรียกนลินเฉยๆ หรือจะเรียกว่าน้องนลินก็ได้ครับ ยังไงเราก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” นลินเอ่ยพลางระบายยิ้ม“ขอบคุณนะครับที่ยอมรับเพชรเป็นคนในครอบครัว ทั้งที่คุณแม่ของเพชรทำเรื่องเลวร้ายกับพี่พยัคฆ์และน้องนลินไปเยอะเลย เพชรเองก็เคยทำไม่ดีกับนลินด้วย”“นลินเข้าใจพี่เพชรนะครับ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกครับ ทุกคนมีข้อด้อยและเคยผิดพลาดกันทั้งนั้น นลินกับพี่พยัคฆ์เองก็เคยทำเรื่องไม่ดีมาเยอะ แต่พี่เพชรก็ยังคิดได้ ยังคิดกลับตัว ตอนนี้พี่เพชรก็เข้าไปช่วยงานคุณลุง แล้วก็พยายามดูแลตัวเองกับลูก นลินเชื่อว่าพี่เพชรจะเป็นแม่ที่ดีแน่ๆ ครับ”“และพี่ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่ง เพชรคงไ
งานแต่งงานกลางแจ้งถูกเนรมิตขึ้นที่คฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ซึ่งเป็นความคิดของนวมิณทร์ที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ลาภิณมากที่สุด แม้คราแรกพยัคฆ์ต้องการจะให้มีการแต่งงานใหญ่โตในโรงแรม ทว่าเมื่อนลินบอกความต้องการ พยัคฆ์ก็พร้อมจะเปลี่ยนให้ แต่พยัคฆ์ก็ยังคงเป็นพยัคฆ์ แม้จะเป็นการจัดงานในคฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ก็ไม่วายเชิญนักข่าวและแขกเหรื่อเกือบห้าร้อยคนมาร่วมงาน โดยใช้พื้นที่หน้าคฤหาสน์ได้อย่างคุ้มค่ารั้วคฤหาสน์ถูกแต่งด้วยดอกโบตั๋นหลากสีอันเป็นกลิ่นฟีโรโมนของพยัคฆ์ บริเวณหน้าคฤหาสต์ตกแต่งด้วยทางเดินพุ่มลาเวนเดอร์ และมีโต๊ะจีนกว่าห้าสิบโต๊ะซึ่งกลางโต๊ะประดับแจกันดอกโบตั๋นแซมดอกลาเวนเดอร์อันเป็นฟีโรโมนของคู่บ่าวสาวในวันนี้พิธีแบบไทยถูกจัดขึ้นภายในห้องโถงของคฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ซึ่งทางเจ้าภาพขอจัดแบบส่วนตัวเฉพาะคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดร่างสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรผิวสองสีที่อยู่ในชุดแต่งงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทหรูสามชิ้นสีครีมเข้มและโบหูกระต่ายสีเดียวกัน ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตจัดแต่งทรงอย่างดี เปิดหน้าผากให้เห็นใบหน้าคม คิ้วเข้มหนา ดวงตาคมปลาบ เสริมให้พยัคฆ์ยิ่งดูห