“ไปกินที่เรือนนู้นดีกว่าจ้ะ หนูภพอยู่กินข้าวต้มเป็นเพื่อนน้าก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ” ทับทิมเอ่ยชวนเสียงอ่อน เธอมีเรื่องที่ยังอยากคุยกับภพพลอยอีกมาก จึงไม่ยอมให้เด็กสาวหลบเหลี่ยงด้วยการหนีกลับบ้านก่อน
“ค่ะคุณน้า” ภพพลอยรับคำง่ายๆ ก่อนจะเดินตามหญิงรูปร่างงดงามสมวัยผ่านประตูไม้สักออกไป
กาลเวลาในบ้านอรรถสุนทรหยุดนิ่งเมื่อสองสาวต่างวัยพากันเดินผ่านบานไม้สลักลายวิจิตรไปจนลับสายตาเสียงเพลงแผ่วหวานจากเทปแคสเซตต์ตลับเดิมพลันบรรเลงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ม้วนเทปเดินเบาๆ ถ่ายทอดบทเพลงที่ขับร้องโดยนักร้องดังของยุคขับกล่อมสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งขยับเบาๆ อยู่ข้างหน้าต่าง ไม่ไกลจากตู้ไม้สักที่วางเครื่องเสียง
ใบหน้าของสตรีสูงวัยคนดังกล่าวไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากในรูปถ่ายที่ติดอยู่บนผนังตรงโถงบันไดเลยแม้แต่น้อย นางนุ่งห่มด้วยชุดไทยงดงาม เสื้อแพรไหมสีเขียวโศกแขนยาวพองฟู จับจีบเข้ารูปที่เอว ทับด้วยโจงกระเบนลายดอกพิกุลสีเม็ดมะปรางสุก รัดด้วยเข็มขัดทองงามอร่าม สร้อยคอทองคำเส้นใหญ่แขวนพระเลี่ยมทองคล้องอยู่ในลำคอ ข้อมือข้างหนึ่งสวมกำไลทองวงเล็ก นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนนพเก้าที่ได้รับพระราชทานจากเสด็จในวังเมื่อครั้งขอเข้ารับประทานน้ำสังข์ในวันวิวาห์กับท่านเจ้าพระยาอรรถสุนทร
สตรีร่างเล็กบางเกล้ามวยมุ่นไว้ตรงท้ายทอยแบบสตรีตะวันตก วงหน้ารูปไข่แม้จะมีริ้วรอยแห่งวันเวลาปรากฏ แต่มิอาจบดบังความงามที่เคยเฉิดฉายในอดีตได้ ดวงตาคมลึกฉายแววความเข้มงวด เจ้าระเบียบ ริมฝีปากบางหุบสนิท บ่งบอกถึงความถือตัวอยู่ไม่ใช่น้อย ร่างไร้สังขารสิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์หลังงามหลังนี้มาเนิ่นนาน ผ่านวันและเวลามาตั้งแต่สิ้นชีพในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่แปด จวบกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน นางนั่งเอนกายด้วยท่าทางสบายๆ ทอดอารมณ์ไปกับบทเพลงที่เปลี่ยนทวงทำนองและเสียงนักร้องไปตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงความไพเราะไว้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
“คุณพุดซ้อนเธองามไม่ต่างจากในอดีตเลยนะเจ้าคะคุณหญิง”
สตรีอ่อนวัยกว่าคนบนเก้าอี้ซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นใกล้เก้าอี้โยกเอ่ยขึ้นหลังสิ้นสุดเสียงขับร้องบทเพลง พลางช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นนายอย่างจงรัก แววตาสดใสขัดแย้งกับวัยที่ควรจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา น่าแปลกที่ในแววตาของหญิงคนนี้กลับยังมีความเป็นเด็กซุกซ่อนอยู่ เสื้อผ้าที่นุ่งห่มก็แตกต่างกับผู้เป็นนายอย่างสิ้นเชิง พะยอมแต่งตัวสวยตามสมัยด้วยชุดเสื้อคอระบาย แขนกลีบบัวเข้ารูปลายดอกไม้สีหวาน สอดไว้ในกระโปรงบานยาวแค่เข่า
“พุดซ้อนในร่างของเด็กภพพลอยดูเข้มแข็ง ไม่มีทิฐิจัดเหมือนแม่พุดซ้อนของฉันนักนะพะยอม” คุณหญิงผู้เป็นนายเอ่ยอย่างเอ็นดูเด็กสาวที่กำลังถูกกล่าวถึง
“น่าจะเป็นเพราะการเลี้ยงดูนะเจ้าคะ คุณพิมพ์เธอเลี้ยงดูคุณหนูมาอย่างให้อิสระในการตัดสินใจ คุณหนูเธอเลยได้รับการถ่ายทอดลักษณะนิสัยของคุณพิมพ์มาด้วย” หญิงสูงวัยที่ถูกเรียกว่าพะยอมกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจ
“หล่อนกำลังว่ากระทบว่าฉันเลี้ยงลูกแบบลิดรอนอิสระรึ...แม่พะยอม” คุณหญิงยี่สุ่นชำเลืองมองคนสนิทด้วยความหมั่นไส้
“อุ๊ย...มิได้เจ้าค่ะคุณหญิง อิฉันแค่จะพยายามอธิบายว่าอะไรคือสาเหตุให้คุณภพพลอยแตกต่างจากคุณพุดซ้อนเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” พะยอมรีบปฏิเสธเสียงรัว เพราะเกรงว่าคำพูดของตนจะทำให้ผู้เป็นนายเข้าใจผิด
“ฮึ...ไม่ต้องมาทำเป็นรีบแก้ตัวเลยหล่อนน่ะ แล้วไอ้ที่ฉันให้ช่วยไปสืบเรื่องที่ฉันอยากจะรู้ ได้ความมาว่าอย่างไรบ้างฮึ” คุณหญิงยี่สุ่นเอ่ยแล้วรอฟังคำตอบจากคนสนิทด้วยความใคร่รู้
“อิฉันแน่ใจแล้วเจ้าค่ะว่าคุณภพพลอยเธอแอบมีใจให้คุณรอยสยามเธอจริงๆ สองวันก่อนอิฉันเห็นคุณหนูเธอแอบมองคุณรอยสยามตอนที่มารับประทานอาหารที่เรือนราชพฤกษ์กับเพื่อนของเธอเจ้าค่ะ” พะยอมยืนยันเสียงใส
“เธอแน่ใจอย่างนั้นรึ...พะยอม” ยี่สุ่นถามอย่างสนใจพลางลุกขึ้นเบี่ยงตัวมามองคนใกล้ชิดพร้อมกับรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“มั่น...เอ่อ...มั่นใจเจ้าค่ะ” พะยอมอ้อมแอ้มตอบผู้เป็นนาย
“ฉันขอภาวนาให้พ่อหนุ่มคนนั้นมีใจตรงกับแม่หนู ภพพลอยทีเถิดพะยอม” คุณหญิงยี่สุ่นทอดถอนใจด้วยความรู้สึกหนักในอก กังวลและห่วงใยดวงจิตของบุตรสาวที่กลับชาติมาเกิดในร่างของภพพลอยอย่างเหลือเกิน
“กฎแห่งกรรมเจ้าค่ะ ทุกอย่างถูกลิขิตไว้ด้วยกรรมนะเจ้าคะ” พะยอมปลอบคุณหญิงของตนด้วยเสียงแผ่ว
ภพพลอยเดินตามทับทิมผ่านต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่ที่ปลูกไว้ริมเรือนไม้หลังน้อย กลิ่นดอกมะลิลามากมายที่ปลูกรายล้อมกำจายความหอมจรุงใจ จนเธอเผลอสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด กระทั่งถึงเรือนราชพฤกษ์อายุเกือบร้อยปีที่สร้างจากไม้แท้ ตีเกล็ดแนวนอนทาสีฟ้าอ่อนสบายตาทั้งหลัง ตัดขอบวงกบประตูและหน้าต่างกระจกด้วยสีขาว ยกพื้นสูงพอประมาณ จึงต้องมีบันไดทาสีขาวต่อกับรั้วระเบียงสีเดียวกันที่กั้นเป็นเฉลียง ด้านหน้าขนาบทางเข้าออกด้วยเสาไม้สีขาวสองต้นเชื่อมติดหลังคาทรงปั้นหยาสีเทา
แม้เรือนหลังนี้จะถูกสร้างมาเกือบร้อยปีแต่ก็ได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงตลอด กระทั่งถึงปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารตำรับชาววัง โดยรัตติกาลซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของภูริช แต่เท่าที่ ภพพลอยทราบ ภูริชกับทับทิมเลี้ยงรัตติกาลมาแต่เด็กหลังจากเพทาย มารดาของหญิงสาวเสียชีวิตไปเมื่อรัตติกาลยังแบเบาะหลังภูริชแต่งงานกับทับทิมได้ไม่นาน รัตติกาลจึงเป็นน้องที่ถูกเลี้ยงดูราวกับลูกของผู้นำเนติธรที่ไร้ทายาทสืบสกุล
คฤหาสน์อรรถสุนทรตั้งอยู่ในอาณาบริเวณกว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ด้านหน้าอาคารอยู่ติดถนน ส่วนด้านหลังมีเนื้อที่กว้างขวางทอดยาวไปจดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่เรือนราชพฤกษ์ตั้งเยื้องไปทางซ้ายมือของอาคารสามชั้นหันหน้าออกสู่ถนน เหมาะกับการเปิดเป็นร้านอาหาร และที่สำคัญ รัตติกาลมีฝีมือดีเยี่ยมในการปรุงอาหาร ประกอบกับทับทิมค้นเจอตำราอาหารสูตรชาววัง ซึ่งสารภี อดีตนางข้าหลวงในวังเก่าผู้เป็นยายของรัตติกาลจดบันทึกไว้และนำมามอบให้รัตติกาล แล้วยังได้แม่ครัวฝีมือดีอย่างเจิม ลูกสาวแม่เอิบ แม่ครัวเก่าแก่ของคฤหาสน์อรรถสุนทรมาช่วยงาน จึงทำให้มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาลิ้มรสอาหารตำรับชาววังรัตติกาลเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากเรือนครัวในจังหวะที่ประตูร้านถูกผลักเข้ามาพอดี “คุณแม่มาพอดีเลยค่ะ หนูกำลังจะให้เด็กยกข้าวต้มกุ้งไปตั้งสำรับที่ตึกอยู่เชียว” เสียงสดใสของรัตติกาลกับรอยยิ้มประจบเรียกรอยยิ้มจากสองสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาได้เป็นอย่างมาก “พอดียายหนูภพพลอยเขาแวะไปทักทายแม่ที่ตึก แม่ก็เลยชวนเขามากินข้าวเป็นเพื่อนเสียเลย เพราะคุณพ่อของลูกออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ทีเดียววันนี้” ทับทิมเอ่ยกับหญิง
“ไปกินที่เรือนนู้นดีกว่าจ้ะ หนูภพอยู่กินข้าวต้มเป็นเพื่อนน้าก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ” ทับทิมเอ่ยชวนเสียงอ่อน เธอมีเรื่องที่ยังอยากคุยกับภพพลอยอีกมาก จึงไม่ยอมให้เด็กสาวหลบเหลี่ยงด้วยการหนีกลับบ้านก่อน “ค่ะคุณน้า” ภพพลอยรับคำง่ายๆ ก่อนจะเดินตามหญิงรูปร่างงดงามสมวัยผ่านประตูไม้สักออกไป กาลเวลาในบ้านอรรถสุนทรหยุดนิ่งเมื่อสองสาวต่างวัยพากันเดินผ่านบานไม้สลักลายวิจิตรไปจนลับสายตาเสียงเพลงแผ่วหวานจากเทปแคสเซตต์ตลับเดิมพลันบรรเลงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ม้วนเทปเดินเบาๆ ถ่ายทอดบทเพลงที่ขับร้องโดยนักร้องดังของยุคขับกล่อมสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งขยับเบาๆ อยู่ข้างหน้าต่าง ไม่ไกลจากตู้ไม้สักที่วางเครื่องเสียง ใบหน้าของสตรีสูงวัยคนดังกล่าวไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากในรูปถ่ายที่ติดอยู่บนผนังตรงโถงบันไดเลยแม้แต่น้อย นางนุ่งห่มด้วยชุดไทยงดงาม เสื้อแพรไหมสีเขียวโศกแขนยาวพองฟู จับจีบเข้ารูปที่เอว ทับด้วยโจงกระเบนลายดอกพิกุลสีเม็ดมะปรางสุก รัดด้วยเข็มขัดทองงามอร่าม สร้อยคอทองคำเส้นใหญ่แขวนพระเลี่ยมทองคล้องอยู่ในลำคอ ข้อมือข้างหนึ่งสวมกำไลทองวงเล็ก นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนนพเก
ประนอม คนงานหญิงของบ้านอรรถสุนทรเดินออกมาต้อนรับ ภพพลอยจึงยื่นกล่องเก็บความเย็นที่บรรจุกุ้งแม่น้ำส่งตรงจากอยุธยาให้นำไปที่เรือนราชพฤกษ์ ส่วนเธอเดินสำรวจรอบบ้านด้วยความสบายใจ ปล่อยความรู้สึกเพริดไปกับเสียงขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ ดังเคล้าเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นเทปแคสเซตต์ที่วางอยู่บนตู้ไม้สักแกะสลักชิดผนังข้างบันได สร้างความอ่อนหวานให้คฤหาสน์อรรถสุนทรมากจนหญิงสาวอดเคลิ้มไปกับบทเพลงแผ่วหวานที่ได้ยินไม่ได้ ภพพลอยหยุดยืนมองบันไดไม้สักที่มีขอบราวจับเป็นไม้ลูกระนาดทอดตัวยาวโค้งพาดผ่านจากชั้นที่สามลงมาชั้นที่สอง แล้วแยกออกซ้ายขวาไปบรรจบที่พื้นชั้นล่างสุด บนผนังเหนือโถงบันไดมีภาพถ่ายขนาดใหญ่ในกรอบไม้ลงสีทองแกะสลักด้วยลวดลายแปลกตาตรึงติดอยู่ หญิงสาวยกมือพนมก้มศีรษะจดปลายนิ้วมือทั้งสิบไหว้ท่านผู้เป็นเจ้าของบ้านในภาพอย่างให้ความเคารพเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้มาเยือนคฤหาสน์อรรถสุนทรแห่งนี้ ‘ไหว้พระเถอะลูก...แม่พุดซ้อน’ เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาดังมาจากที่ไกลๆ คล้ายเจ้าของเสียงอยู่ห่างจากเธอมาก ทว่าเสียงนั้นกลับชัดเจนจนกลบเสียงไพเราะของผู้ที่กำลังขับขานบทเพลงพระราชน
หาดทรายสีขาวสะอาดกับระลอกคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาชายฝั่ง ทำให้หนุ่มน้อยซึ่งเป็นแชมป์ว่ายน้ำของโรงเรียนไม่ลังเลที่จะลงไปโต้เกลียวคลื่นในทะเลกับบรรดาลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นด้วยความสนุกสนาน สามหนุ่มเล่นน้ำตามประสาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะท้าแข่งกันว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง รอยสยามซึ่งมีดีกรีแชมป์ว่ายน้ำจึงต่อให้สองหนุ่มเจ้าถิ่นเล็กน้อยด้วยการนับถึงสิบแล้วจึงว่ายตามไป แต่ในจังหวะที่รอยสยามเกือบจะเป็นผู้นำ เขากลับเห็นเด็กหญิงร่างเล็กพลัดหลุดจากห่วงยาง เด็กหนุ่มจึงพุ่งตัวว่ายเข้าไปช่วยดึงเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมาได้ทันท่วงที “กรี๊ด!! ภพพลอย” พิมพ์กรีดร้องลั่นเมื่อเห็นบุตรสาวพลัดหลุดจากห่วงยางแล้วจมน้ำต่อหน้าต่อตา ก่อนที่เด็กชายซึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ไม่ห่างจากบุตรสาวของเธอจะคว้าภพพลอยขึ้นมาได้ทัน พิมพ์รีบย่ำลงไปในทะเล คว้าตัวลูกสาวที่กำลังสำลักน้ำจนหน้าตาแดงมาจากอ้อมแขนของเด็กชาย พร้อมกับปลอบลูกสาวที่ร้องสะอื้นเพราะความตกใจ ก่อนจะหันมาละล่ำละลักขอบคุณเด็กชายเสียงรัว “ขอบใจนะจ๊ะหนูที่ช่วยน้องไว้” “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ใกล้น้องพอดี แต่น้องยังเด็กแล้วก็ว่ายน้ำไม่
หัวใจของคนเป็นแม่แทบสลายไปพร้อมกับเสียงคร่ำครวญระโหยไห้ปิ่มจะขาดใจของบุตรสาว กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของชายผู้เป็นสามี ร่างกายที่ควรอวบอิ่มตามสภาวะตั้งครรภ์กลับดูผ่ายผอม ซูบซีด ใบหน้าที่เคยหวานซึ้งตอบลงจนเห็นได้ชัด ดวงตาซึ่งเคยกระจ่างใสก็หม่นหมอง เหลือเพียงร่องรอยแห่งความเศร้าระทมใจ ผู้เป็นแม่เอื้อมมือเหี่ยวย่นไปวางลงบนบ่าที่กำลังสั่นสะท้านตามแรงสะอื้นของบุตรสาว “ตัดใจเสียบ้างเถอะแม่พุดซ้อน ลูกไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว จะอย่างไรก็คิดถึงหลานของแม่ที่อยู่ในท้องของลูกบ้างเถอะนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอาทร เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่เกิดกับบุตรสาว ทิฐิและความอคติของลูกถูกบ่มเพาะถ่ายทอดมาจากนิสัยของท่านทั้งสิ้น หรือเป็นเพราะบาปเวรที่ท่านเคยกระทำไว้กับหลายชีวิต สวัสดิ์ บุตรชายของท่านก็จากไปแล้วคนหนึ่งแล้วเวรกรรมยามตามตกมาที่บุตรสาวผู้เป็นดังดวงใจที่เหลือเพียงดวงเดียวของท่านอีก คุณหญิงยี่สุ่น อรรถสุนทร ผู้เป็นมารดาของพุดซ้อนเป็นสตรีร่างเล็ก วงหน้ารูปไข่ งดงามสมวัย ดวงตาคมลึกเคยฉายแววความเข้ม