แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: หรูซู่
ในห้องน้ำอบอวนไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แผดเผาไปทั่วทุกอณูของเวินหนานจื่อ เธอเกาะขอบอาบล้างมือแน่น ร่างกายโคลงเคลงราวกับผ้าขาดรุ่งริ่ง

ทว่าร่างของชายคนนั้นกลับยังคงกระแทกตัวเธออย่างไม่หยุดหย่อน

“คุณ คุณเป็นใคร?” เธอกอดหน้าอกตัวเองพร้อมถอยรนหนี

ชายคนนั้นสัมผัสแก้มของเวินหนานจื่อได้อย่างแม่นยำราวกับมองทะลุความมืดได้ ก่อนจะปัดปอยผมที่เปียกเหงื่อขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ แล้วลูบไล้ผ่านแก้มและมุมปากของเธออย่างจงใจ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า

“บางทีถ้าเธอให้ฉันลิ้มลองอีกครั้ง ฉันอาจจะบอกเธอก็ได้”

แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่เวินหนานจื่อก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างเย็นชา

เวินหนานจื่อตัวสั่นคลอน รู้สึกเหมือนโสเภณีที่ถูกเหยียดหยาม เธอแกว่งมือที่สั่นเทาไปตบหน้าของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“หน้าไม่อาย!”

อุณหภูมิในห้องน้ำลงลดอย่างฉับพลัน ถึงขั้นเย็นยะเยือก

เวินหนานจื่อฉวยโอกาสผลักชายคนนั้นออก แล้วรีบวิ่งออกไป เครื่องบินเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง ร่างของเขาจึงถูกบานประตูห้องน้ำที่ปิดลงกั้นไว้

เธอรีบย่อตัวลง หลบเข้าไปในที่นั่ง แล้วคว้าผ้าห่มบนที่นั่งมาคลุมตัวเองจนมิด แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใด ๆ เลย

ผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ ตบไหล่เธอเบา ๆ พลางถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณผู้หญิง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“อย่ามาแตะต้องฉัน!” เวินหนานจื่อขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว และพูดซ้ำ ๆ ว่า “อย่ามาแตะต้องฉัน อย่ามาแตะต้องฉัน”

และขณะนั้น ชายคนนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับบิดคอที่ตึงต้าน ความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขา แผ่รังสีความน่าเกรงขามออกมา แม้ยังไม่เดินเข้ามาใกล้

ดวงตาที่หรี่ลงเรียวยาวและดุดัน ดวงตาดำดุจดวงดาวในยามเที่ยงคืนมองทอดไปยังทิศทางของชั้นประหยัด พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากอันแสนเย้ายวน ก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปยังชั้นเฟิร์สคลาส

ชายชุดดำที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองหาเขาอย่างร้อนรน “คุณกง คุณ...”

“ไม่มีอะไรแล้ว”

กงเฉินเผยรอยยิ้มอันตราย มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ก่อนจะถอดมันทิ้ง เผยให้เห็นรอยสักรูปนกอินทรีที่ราวกับมีชีวิตบนแผ่นหลังครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาของอินทรีดูอำมหิต ปีกโอบรัดท่อนแขน และจะขยับตามมัดกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นของเขา

“คุณกงครับ”

กงเฉินหันหลังให้ลูกน้อง ก่อนจุดบุหรี่หนึ่งม้วนเสียงดังแคร็ก แล้วเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อยพร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา ดวงตาสีดำที่มองลอดผ่านควันบุหรี่นั้นเหมือนกับดวงตาของนกอินทรีบนไหล่เขาอย่างแยกไม่ออก ทั้งดุดันและมืดมิด

เขาเอ่ยช้า ๆ ว่า “จับตัวคนวางยาให้ได้ก่อนลงเครื่อง”

“ครับ”

“แล้วก็หาตัวผู้หญิงคนที่วิ่งออกมาจากห้องน้ำเมื่อกี้ด้วย น่าจะอยู่ชั้นประหยัด”

พูดจบ กงเฉินคลายมือที่คีบบุหรี่ออกเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยจูบที่ประทับอยู่บนฝ่ามือ ซึ่งยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียไปที่ฝ่ามือ ทันทีที่สัมผัสถึงรสชาติคาวเลือด

ก็ราวกับได้เห็นหญิงสาวคนนั้นดิ้นรนอย่างตื่นตระหนกอยู่ใต้ร่างเขาอีกครั้ง

……………

เครื่องบินค่อย ๆ ลดระดับลง เวินหนานจื่อกระชับผ้าห่มบนตัวให้แน่นขึ้น แต่แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เธอเจ็บปวดทรมานไปทั่วทั้งร่างกาย

สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำใจให้คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย

ทว่าขณะที่เธอกำกระเป๋าในมือแน่นก็เห็นชายชุดดำหลายคนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง สอดส่องผู้โดยสารที่กำลังเตรียมตัวลงจากเครื่องทีละคน

เวินหนานจื่อถึงกับได้ยินชายชุดดำคนหนึ่งถามผู้โดยสารบางคนเป็นภาษาอังกฤษว่า “เห็นผู้หญิงผมดำยาว สวมใส่ชุดเดรสยาวลายทางสีแดงไหม? อายุไม่มาก น่าจะประมาณยี่สิบต้น ๆ”

เวินหนานจื่อดึงผ้าห่มออกแล้วมองชุดเดรสลายทางสีแดงที่ยับยู่ยี่บนตัวเธอ เมื่อครู่ตอนที่หนีออกจากห้องน้ำ ผู้ชายคนนั้นมองเธอแค่แวบเดียวเท่านั้น แต่เขาจำได้ละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ?

เธอมั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใครแต่งตัวแบบเดียวกับเธอ ถ้าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องถูกจับตัวได้แน่

เธอทำได้เพียงย่อตัวลงและวิ่งไปยังท้ายเครื่องบินอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกำลังแนะนำผู้โดยสารลงจากเครื่องพอดี

เธออาศัยจังหวะที่ผู้โดยสารถามคำถามพนักงานต้อนรับแอบหลบเข้าไปในพื้นที่เตรียมอาหารของเครื่องบิน เลือดลมที่แข็งตัวทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง

เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกรรไกรที่วางอยู่บนถาดอาหาร เธอจึงรีบพุ่งเข้าไปหยิบมัน ก่อนหลับตาและตัดผมยาวทั้งหมดออก จากนั้นตัดกระโปรงที่ใส่อยู่ให้สั้นลง แล้วพันผ้าห่มผืนบางเดินออกไป

เธอเดินก้มหน้าผ่านกลุ่มชายชุดดำที่กำลังตรวจค้น พวกเขาเพียงแค่เหลือบมองเธอแวบเดียว พอเห็นว่าเธอผมสั้นก็ละสายตาไปยังที่อื่น

หลังจากที่เวินหนานจื่อวิ่งออกจากสนามบินตลอดทาง หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่โดดเด่นเหนือคนอื่น ถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากประตูทางออก

...............

กงเฉินกวาดตามองคนที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์ เคลียร์พื้นที่ขนาดนี้แล้ว แค่ผู้หญิงคนเดียวยังหาไม่เจอ

“คุณกงครับ นี่คือสร้อยข้อมือที่พบในห้องน้ำครับ” ชายชุดดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

กงเฉินรับสร้อยข้อมือมา มันทำจากหินคาร์เนเลียน มีสีแดงกึ่งโปร่งใส สัมผัสเย็นเฉียบ ปลายสร้อยห้อยลูกปัดรมควันเงินขนาดเล็ก เมื่อสูดดมเข้าไปใกล้ก็จะได้กลิ่นเดียวกับกลิ่นตัวของหญิงสาวคนนั้น

เขาสวมสร้อยข้อมือนั้นไว้ที่ข้อมือตัวเองทันที แต่มันค่อนข้างแน่นไปหน่อย

คนที่อยู่ด้านหลังขยับมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูกงเฉินว่า “จับตัวคนวางยาได้แล้วครับ จะให้จัดการยังไงดีครับ?”

“ชอบลงมือบนเครื่องบินมากนักใช่ไหม เหมาเครื่องบินลำหนึ่งส่งมันขึ้นฟ้า แล้วโยนมันลงมาซะ” กงเฉินเผยรอยยิ้มร้ายกาจ ไม่เหมือนกำลังพูดถึงความเป็นความตายของใครเลยแม้แต่น้อย

“ครับ”

กงเฉินเดินหน้าต่อด้วยความพึงพอใจ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คนของตระกูลเวินเป็นยังไงบ้าง?”

“ผู้อาวุโสเวินยอมรับข้อเสนอของคุณกงแล้วครับ เพียงแต่ขอให้คุณกงไว้ชีวิตพวกเขา”

“น่าสนใจ” กงเฉินแค่นเสียงหัวเราะเยาะออกมา เขาแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของคนตระกูลเวิน
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 30

    ยามเห็นพิณผีผาสุดรักถูกฟาดแตกหัก เวินหนานจื่อก็ตะลึงงันไปสามวินาที ทั้งร่างคล้ายถูกความตระหนกเข้าครอบงำจนทำอะไรไม่ถูกเวินหนานจื่อไม่แยแสความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอีกต่อไป รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่เมื่อทอดตามองพิณผีผาที่ถูกกงเฉินโยนทิ้งไว้บนพื้น ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยทรุดฮวบลงคุกเข่า“ผีผาของฉัน! ผีผาของฉัน!” เธอพึมพำเสียงเครือราวคนเสียสติ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวเธอโผเข้าไปคว้าซากพิณที่แตกหักมากอดแนบอก พยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน นิ้วมือดึงรั้งสายพิณ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้วกระทั่งสายพิณเส้นสุดท้ายที่ยังสมบูรณ์อยู่พลันขาดเสียงดังเปรี๊ยะ บาดลึกลงไปในปลายนิ้วของเวินหนานจื่อ ก่อนจะรัดพันนิ้วของเธอเอาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจนปลายนิ้วแดงฉานแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด ยังคงกอดพิณผีผาไว้แนบอก นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเสียงสะอื้นไห้ฮือ ๆ ใกล้ระเบิดเต็มทีกงเฉินยืนตระหง่านอยู่ข้างกายเวินหนานจื่อ หลุบตามองหญิงสาวเบื้องล่าง ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีอย่างไร เวินหนานจื่อก็มักกัดฟันอดทนไม่ยอมหลั่งน้ำตา แต่เวลานี้เธอกลับร้องไห้ฟูมฟายเพี

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 29

    ลุงจงเปิดประตูห้อง พลางส่งสัญญาณให้เวินหนานจื่อเดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวที่ชวนให้รู้สึกคลุมเครือ กงเฉินนั่งอยู่บนโซฟาหนังสไตล์อเมริกัน โซฟาหนังทรงคลาสสิกที่ทอประกายมันวาวนั้น ยิ่งขับเน้นความเย้ายวนใจของกงเฉินให้ดูสูงศักดิ์และยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขานั้นงดงามหยาดเยิ้ม รูปร่างอวบอัดมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมองบนโซฟาอีกตัวหนึ่งคือกู้เหยียนอี้ เขาดูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับกงเฉิน ทั้งที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังเนื้อดีเช่นเดียวกัน แต่เขากลับแผ่กลิ่นอายความหล่อเหลาที่ดูสงบเยือกเย็นออกมาเวินหนานจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กอดพิณผีผาในอ้อมอกไว้แน่นจนบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกู้เหยียนอี้รีบลุกขึ้น ก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินเข้ามา "หนานจื่อ ขาคุณยังไม่หายดี นั่งคุยกันเถอะครับ"เวินหนานจื่อยังคงไม่กล้าขยับตัว เธอแอบชำเลืองมองกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นเพียงแววตาของเขามืดมนลง แฝงความเย็นชายากอธิบายเธอไม่ยอมนั่ง แต่กลับถูกกู้เหยียนอี้กดไหล่บังคับให้นั่งลงจนได้หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเวินหนานจื่อ ขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ "นี่ไปหานางคณิกามาจา

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 28

    สุ้มเสียงอ่อนโยนของกู้เหยียนอี้ดังขึ้นเหนือศีรษะเวินหนานจื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าสเต๊กในจานของกงเฉินหายไปหลายชิ้น จึงทอดสายตามองกงเฉินเป็นทำนองขอความเห็นกงเฉินกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง "นี่เธอจะฟังคำสั่งเขาเหรอ?"เวินหนานจื่อส่ายหน้า "ฉันไม่หิวค่ะ"เธอก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดต่อต้าน เพราะเคยเกือบจะถูกกงเฉินผู้เกรี้ยวกราดกดร่างลงกับโต๊ะอาหารตัวนี้เพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีมาแล้ว"กงเฉิน!" กู้เหยียนอี้ขึ้นเสียง ก่อนหันมาพูดกับเธอ "หนานจื่อ คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก กินเถอะ"แต่กงเฉินกลับจ้องมองด้วยสายตาคล้ายหยั่งเชิง คาดคิดว่าเธอคงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุดท้าย เวินหนานจื่อก็ยังคงว่านอนสอนง่ายไม่ได้แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียว ได้แต่กลืนความหิวโหยทั้งหมดลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าภายใต้สายตาของลุงจง เธอปรนนิบัติกงเฉินอย่างระมัดระวังตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน โดยที่ตัวเองไม่มีของกินตกถึงท้องเลยสักคำเดียวกงเฉินยอมรับการปรนนิบัตินั้น แต่แววเย้ยหยันในดวงตากลับไม่ลดน้อยลง ราวกับเห็นว่าการเอาอกเอาใจของเธอเป็นเรื่องตลกสิ้นดีเมื่อกลับมาถึงห้อง เวินหนานจื่อ

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 27

    เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ลุงจงก็มาเคาะประตูห้องของเวินหนานจื่อ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเธอกำลังลากขาที่หนักอึ้ง คุกเข่าจัดเก็บข้าวของในห้องอันคับแคบ"คุณหนูเวินครับ คุณกงเชิญไปรับประทานอาหารครับ""รับประทานอาหาร?" เวินหนานจื่อเบิกตาโต รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "นะ...หนูไม่หิวค่ะ ไม่กินดีกว่า"เธอแสดงความหวาดกลัวที่มีต่อกงเฉินออกมาโดยไม่ซ่อนเร้นแต่ลุงจงกลับย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเวินหนานจื่อด้วยความระมัดระวัง พลางหาอะไรมารองขาของเธอไว้เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเท่าที่จะทำได้"คุณหนูเวินครับ คุณแต่งงานเข้ามาแล้ว นี่คือความจริงนะครับ"เวินหนานจื่อเข้าใจดี ตนเองถูกคนตระกูลเวินขายเข้ามา แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ลุงจงกล่าวต่อ "แม้แต่สิงโตยังต้องลูบขนให้ถูกทาง นิสัยคนเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งคุณต่อต้าน ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือ ท้ายที่สุดคนที่จะเจ็บตัวก็คือคุณเอง"เวินหนานจื่อมองลุงจงด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจลุงจงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา "คุณหนูเวิน คุณยังมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่นะครับ อีกอย่าง อย่าลืมเหตุผลของการที่คุณแต่งเข้าตระกูลกงด้วยสิครับ"เหตุผลงั้นหรือ? เป็น

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 26

    ลุงจงสงวนท่าที เหลือบมองสาวใช้ผู้มีสีหน้าริษยาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ "เดี๋ยวผมจะไปเรียนถามคุณกงให้นะครับ"สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงดูถูก ในเมื่อกงเฉินโยนเวินหนานจื่อไปไว้ในห้องเก็บของแล้ว นั่นก็เท่ากับปล่อยเธอไปตามยถากรรมแล้วไม่ใช่หรือ จะมาแยแสอะไรกับเธออีก? คิดได้ดังนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความริษยาก็พลันสงบลงเมื่อกู้เหยียนอี้สบตามองลุงจง ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงเพียงยิ้มไม่พูดอะไรลุงจงชี้ไปทางชั้นสาม "คุณกงขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสามแล้วครับ คุณหมอกู้ขึ้นไปหาได้เลย"กู้เหยียนอี้พยักหน้ารับ ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสามพื้นที่ชั้นสามถือเป็นเขตหวงห้ามในบ้านตระกูลกง แต่ความจริงมันเป็นเพียงห้องนอนของกงเฉินเท่านั้นนี่คือสถานที่ซึ่งกงเฉินใช้เผชิญหน้ากับฝันร้ายอันตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี ภายในห้องว่างเปล่าไร้สิ่งของตกแต่ง ผนังสีขาวโพลนสะอาดตาปราศจากมลทิน มีเพียงเตียงสี่เสาสีดำทะมึน กับเก้าอี้นวมสองตัวและโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นกู้เหยียนอี้เคาะประตูสามครั้ง ก็เปิดประตูเดินเข้าไป เห็นกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ทอดสายตาผ่า

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 25

    กู้เหยียนอี้กับเวินหนานจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอไม่เป็นอะไร กู้เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่มีใครแล้ว เวินหนานจื่อก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเธอลองกดโทรหาแม่ แต่เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนาน ก็ยังคงไม่มีคนรับสายเช่นเดิมการที่ไม่ทราบเลยว่ามารดาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวจึงเริ่มเกาะกุมจิตใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเวินหนานจื่อก็นึกถึงโจวจิน ชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิตในเมื่อกงเฉินล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโจวจินแล้ว โจวจินจะเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่า?คิดดังนั้น เธอจึงรีบกดโทรหาโจวจินทันทีเธอรักและผูกพันกับโจวจินมาตลอด ช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลเวิน ก็ได้โจวจินคอยปลอบโยนและปกป้องคุ้มครอง แม้วันนี้จะถูกบีบให้ต้องแยกทาง แต่เธอก็ไม่อยากให้โจวจินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยในใจเฝ้าภาวนาขอให้โจวจินรีบรับสายไว ๆ ขอแค่ได้ยินเสียงเขา เธอก็จะวางใจ หนำซ้ำยังแอบหวังลึก ๆ ว่าเสียงของเขาจะช่วยปลอบประโลมจิตใจเธอได้เหมือนดั่งวันวานเมื่อมีคนรับสาย เวินหนานจื่อก็รีบก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status