แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: หรูซู่
เวินหนานจื่อรีบวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านตระกูลเวิน แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตู ก็ถูกผู้หญิงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดคนหนึ่งขวางเอาไว้เสียก่อน

“หนานจื่อ ดูสภาพแกเหมือนหนีตายกลับมาจากต่างประเทศไม่มีผิด? ตระกูลเวินเคยให้แกอดอยากตรงไหนกัน?”

เวินหนานจื่อดึงปลายผมสั้นที่ถูกตัดอย่างลวก ๆ บนศีรษะแล้วเงยหน้ามองผู้หญิงตรงหน้า ซึ่งก็คือแม่เลี้ยงของเธอ

เป็นความลับที่เลื่องลือไปทั่วว่าตระกูลเวินมีนายหญิงสองคน และผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือคนที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุด ชื่อเฉียนฮุ่ยหรู

เฉียนฮุ่ยหรูใช้ปรายนิ้วจิ้มหน้าผากเวินหนานจื่อ “จุ๊จุ๊ น่าอายจริง ๆ! เหมือนแม่ที่เงียบเป็นใบ้ของแกไม่มีผิด วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ เห็นแล้วอารมณ์เสีย”

ดวงตาสีแดงก่ำของเวินหนานจื่อคลอไปด้วยน้ำ เธอถามคนตรงหน้าอย่างเอาความว่า “แล้วแม่ฉันล่ะ? พวกคุณทำอะไรแม่ฉัน? พวกคุณไม่ชอบฉัน ส่งฉันไปต่างประเทศฉันก็ยอมแล้ว แต่ทำไมต้องทำร้ายแม่ฉันด้วย? แม่ฉันถือศีลกินเจ ท่านไปทำอะไรให้พวกคุณหนักนัก?”

เฉียนฮุ่ยหรูอวดกำไลหยกสวยบนข้อมือพลางกล่าวยั่วยุว่า “ก็เพราะแม่แกชอบทำตัวสูงส่งไงล่ะ ถึงได้ไม่มีปัญญารั้งผัวตัวเองไว้ ขนาดพระโพธิสัตว์ยังไม่อยากสนใจเธอเลย”

เวินหนานจื่อโกรธจัดจนมือกำแน่น ตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่

ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งก้าวพรวดออกมาจากด้านใน พร้อมตวาดลั่นใส่เธอว่า “เข้ามาในบ้านเดี๋ยวนี้! มัวทำอะไรกันอยู่?”

เฉียนฮุ่ยหรูเปล่งเสียงฮึดอัดพร้อมบิดสะโพกเดินเข้าไปคล้องแขนชายคนนั้นอย่างเอาใจ “คุณอย่าโกรธเลยค่ะ ฉันก็แค่กลัวว่าหนานจื่อในสภาพนี้จะไปทำให้ใครเขาตกใจน่ะค่ะ”

ชายคนนั้นมองเวินหนานจื่อด้วยแววตารังเกียจ ก่อนเอ่ยกับเฉียนฮุ่ยหรูว่า “ไปเรียกคนมาแต่งตัวให้เธอใหม่ ส่งไปในสภาพแบบนี้ ใครจะกล้ารับ?”

เวินหนานจื่อได้ยินใจความสำคัญ รีบพุ่งเข้าไปถามทันที “พ่อ พ่อหมายความว่ายังไงคะ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายที่รังเกียจเธอและแม่ของเธอคนนี้ คำว่าพ่อที่เธอเปล่งออกมาแต่ละครั้ง มันช่างฝืดเฝื่อนจนเจ็บคอไปหมด

ตั้งแต่เด็กจนโต เธอกับแม่ไม่เคยได้รับการให้เกียรติจากคนในบ้านตระกูลเวินเลยสักครั้ง แต่ในทางกลับกัน ทุกคนกลับคอยประจบเอาใจแต่เฉียนฮุ่ยหรู

เฉียนฮุ่ยหรูเข้ามาในบ้านในฐานะคุณนายรอง แม่ของเธอจึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้น และเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่คิดแก่งแย่งชิงดีกับใคร

มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าแม่เจ็บปวดหัวใจเพียงใด ภาพที่แม่กุมลูกประคำไว้ในมือแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลริน เธอเห็นแล้วได้แต่รู้สึกปวดหนึบอยู่ในใจ

พ่อเวินขมวดคิ้วแน่นพลางมองเธออย่างไม่พอใจ “ฉันคุยเรื่องแต่งงานให้แกไว้แล้ว วันนี้แกต้องแต่งงานทันที”

เวินหนานจื่อถึงกับตัวชา เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะของเฉียนฮุ่ยหรู เธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย

เฉียนฮุ่ยหรูเดินหัวเราะคิกคักเข้ามาหาเวินหนานจื่อ พร้อมพูดว่า “หนานจื่อ พ่อแกไม่ทำร้ายเธอหรอกน่า แกแต่งงานไปก็รอเสวยสุขได้เลย”

เวินหนานจื่อเบี่ยงตัวหลบ ไม่เชื่อคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย

เฉียนฮุ่ยหรูค่อย ๆ เดินอ้อมไปด้านหลังเวินหนานจื่อ แล้วส่งสายให้เวินเสียง ผู้เป็นพ่อของเธอแวบหนึ่ง ก่อนออกคำสั่งให้คนที่ยืนรออยู่ด้านข้างเข้ามาล็อคตัวเวินหนานจื่อพร้อมมัดเธอแน่นจนดิ้นไม่หลุด

“พวกคุณจะทำอะไร? ปล่อยฉัน!” เวินหนานจื่อตะโกนลั่น ทว่าร่างกายที่อ่อนล้าทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน

เวินหนานจื่อถูกกดลงบนเก้าอี้ จากนั้นมีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจัดแต่งผมให้เธอใหม่

“หนานจื่อ แม่แกนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล พ่อแกกำลังหาคนช่วยอยู่ ถ้าแกยังดื้อ เราก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ” เฉียนฮุ่ยหรูหัวเราะเยาะอย่างชั่วร้าย “ยอมแต่งงานไปซะดี ๆ ทำตัวดี ๆ ให้คุณกงเขาพอใจ บางทีแม่แกอาจจะรอดก็ได้นะ แต่ถ้าไม่… แกอาจไม่ได้เห็นหน้าแม่อีกเลย”

เวินหนานจื่อถึงกับตกตะลึง แต่เมื่อนึกถึงแม่ ท้ายที่สุดเธอก็ทำได้เพียงปล่อยไหล่ลงยอมจำนน “พวกคุณ… ช่างเลวทรามต่ำช้าจริง ๆ”

เฉียนฮุ่ยหรูไม่ได้โกรธ แต่กลับยกมือปิดมุมปากหัวเราะเบา ๆ สายตายังคงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “พาเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สภาพแบบนี้ น่าอายจริง ๆ”

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เวินหนานจื่อถูกปิดตาแน่นจนมืดสนิท เชือกที่มัดข้อมือถูกดึงจนกระดูกลั่นด้วยความเจ็บ

“ปล่อยแม่ฉันไปเถอะ ขอ ขอร้องล่ะ” เธอร้องไห้อ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง

แต่กลับไร้ซึ้งเสียงตอบรับใด ๆ

ทันทีที่กงเฉินลงจากรถ พ่อบ้านของตระกูลกงก็รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับเขาด้วยท่าทางเร่งรีบ

พ่อบ้านรับของจากมือกงเฉินพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณกงครับ ทางตระกูลเวินส่งตัวคนมาแล้วครับ”

“ใจร้อนซะจริง” กงเฉินแสยะยิ้มอย่างเย็นชา หางคิ้วยกขึ้นเยาะหยันอย่างชัดเจน

พ่อบ้านยื่นเอกสารที่หนีบไว้ใต้แขนให้พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเขาหวังว่าคุณท่านจะเซ็นชื่อตอนนี้ แล้วปล่อยพวกเขาไปครับ”

กงเฉินจ้องข้อความบนเอกสาร และทำท่าจะจรดปากกาลง แต่แล้วก็หยุดชะงักกะทันหัน

“ยังไม่ได้ตรวจสอบสินค้า จะรู้ได้ยังไงว่าตระกูลเวินจะเล่นตุกติก ส่งของเน่า ๆ มาให้ไหม? บอกให้พวกเขารอไปก่อน!”

พ่อบ้านรีบน้อมศีรษะลงและเข้าใจความหมายของกงเฉินในทัน “ครับ คนอยู่ห้องรับรองชั้นสองครับ”

“ห้องรับรอง? คนตระกูลเวินสมควรได้รับการปฏิบัติเหมือนแขกงั้นเหรอ? อยู่ในห้องเก็บของข้างครัวก็พอแล้ว” กงเฉินหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ร่างใหญ่แผ่รังสีอำมหิตออกมา

พ่อบ้านรีบพยักหน้าด้วยความหวาดหวั่น

เวินหนานจื่อที่อยู่ในห้องดิ้นรนจนกลิ้งตกลงมาจากเตียง ดวงตาถูกปิดจนมืดสนิทไม่เห็นแสง และแขนทั้งสองข้างก็ถูกมัดไว้ เธอจึงทำได้เพียงกลิ้งไปตามพื้นเรื่อย ๆ

ทว่าร่างกายกลับสัมผัสเข้ากับปลายรองเท้าของใครบางคน

“ใครน่ะ?” เธอถามเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

ร่างของเธอถูกกระชากขึ้นอย่างง่ายดาย ก่อนถูกโยนกลับไปบนเตียงอย่างไร้ความปรานี

“คิดว่าเป็นใครล่ะ?”

เสียงทุ้มต่ำนั้นแหบพร่าและเย้ายวน ทว่ามันกลับเหมือนงูเย็นเฉียบที่กำลังเลื้อยพันรอบกายของเวินหนานจื่ออย่างน่าสะพรึงกลัวเพื่อรอจังหวะที่จะกลืนกินเหยื่อในวินาทีต่อมา
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 30

    ยามเห็นพิณผีผาสุดรักถูกฟาดแตกหัก เวินหนานจื่อก็ตะลึงงันไปสามวินาที ทั้งร่างคล้ายถูกความตระหนกเข้าครอบงำจนทำอะไรไม่ถูกเวินหนานจื่อไม่แยแสความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอีกต่อไป รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่เมื่อทอดตามองพิณผีผาที่ถูกกงเฉินโยนทิ้งไว้บนพื้น ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยทรุดฮวบลงคุกเข่า“ผีผาของฉัน! ผีผาของฉัน!” เธอพึมพำเสียงเครือราวคนเสียสติ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวเธอโผเข้าไปคว้าซากพิณที่แตกหักมากอดแนบอก พยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน นิ้วมือดึงรั้งสายพิณ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้วกระทั่งสายพิณเส้นสุดท้ายที่ยังสมบูรณ์อยู่พลันขาดเสียงดังเปรี๊ยะ บาดลึกลงไปในปลายนิ้วของเวินหนานจื่อ ก่อนจะรัดพันนิ้วของเธอเอาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจนปลายนิ้วแดงฉานแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด ยังคงกอดพิณผีผาไว้แนบอก นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเสียงสะอื้นไห้ฮือ ๆ ใกล้ระเบิดเต็มทีกงเฉินยืนตระหง่านอยู่ข้างกายเวินหนานจื่อ หลุบตามองหญิงสาวเบื้องล่าง ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีอย่างไร เวินหนานจื่อก็มักกัดฟันอดทนไม่ยอมหลั่งน้ำตา แต่เวลานี้เธอกลับร้องไห้ฟูมฟายเพี

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 29

    ลุงจงเปิดประตูห้อง พลางส่งสัญญาณให้เวินหนานจื่อเดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวที่ชวนให้รู้สึกคลุมเครือ กงเฉินนั่งอยู่บนโซฟาหนังสไตล์อเมริกัน โซฟาหนังทรงคลาสสิกที่ทอประกายมันวาวนั้น ยิ่งขับเน้นความเย้ายวนใจของกงเฉินให้ดูสูงศักดิ์และยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขานั้นงดงามหยาดเยิ้ม รูปร่างอวบอัดมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมองบนโซฟาอีกตัวหนึ่งคือกู้เหยียนอี้ เขาดูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับกงเฉิน ทั้งที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังเนื้อดีเช่นเดียวกัน แต่เขากลับแผ่กลิ่นอายความหล่อเหลาที่ดูสงบเยือกเย็นออกมาเวินหนานจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กอดพิณผีผาในอ้อมอกไว้แน่นจนบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกู้เหยียนอี้รีบลุกขึ้น ก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินเข้ามา "หนานจื่อ ขาคุณยังไม่หายดี นั่งคุยกันเถอะครับ"เวินหนานจื่อยังคงไม่กล้าขยับตัว เธอแอบชำเลืองมองกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นเพียงแววตาของเขามืดมนลง แฝงความเย็นชายากอธิบายเธอไม่ยอมนั่ง แต่กลับถูกกู้เหยียนอี้กดไหล่บังคับให้นั่งลงจนได้หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเวินหนานจื่อ ขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ "นี่ไปหานางคณิกามาจา

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 28

    สุ้มเสียงอ่อนโยนของกู้เหยียนอี้ดังขึ้นเหนือศีรษะเวินหนานจื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าสเต๊กในจานของกงเฉินหายไปหลายชิ้น จึงทอดสายตามองกงเฉินเป็นทำนองขอความเห็นกงเฉินกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง "นี่เธอจะฟังคำสั่งเขาเหรอ?"เวินหนานจื่อส่ายหน้า "ฉันไม่หิวค่ะ"เธอก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดต่อต้าน เพราะเคยเกือบจะถูกกงเฉินผู้เกรี้ยวกราดกดร่างลงกับโต๊ะอาหารตัวนี้เพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีมาแล้ว"กงเฉิน!" กู้เหยียนอี้ขึ้นเสียง ก่อนหันมาพูดกับเธอ "หนานจื่อ คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก กินเถอะ"แต่กงเฉินกลับจ้องมองด้วยสายตาคล้ายหยั่งเชิง คาดคิดว่าเธอคงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุดท้าย เวินหนานจื่อก็ยังคงว่านอนสอนง่ายไม่ได้แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียว ได้แต่กลืนความหิวโหยทั้งหมดลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าภายใต้สายตาของลุงจง เธอปรนนิบัติกงเฉินอย่างระมัดระวังตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน โดยที่ตัวเองไม่มีของกินตกถึงท้องเลยสักคำเดียวกงเฉินยอมรับการปรนนิบัตินั้น แต่แววเย้ยหยันในดวงตากลับไม่ลดน้อยลง ราวกับเห็นว่าการเอาอกเอาใจของเธอเป็นเรื่องตลกสิ้นดีเมื่อกลับมาถึงห้อง เวินหนานจื่อ

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 27

    เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ลุงจงก็มาเคาะประตูห้องของเวินหนานจื่อ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเธอกำลังลากขาที่หนักอึ้ง คุกเข่าจัดเก็บข้าวของในห้องอันคับแคบ"คุณหนูเวินครับ คุณกงเชิญไปรับประทานอาหารครับ""รับประทานอาหาร?" เวินหนานจื่อเบิกตาโต รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "นะ...หนูไม่หิวค่ะ ไม่กินดีกว่า"เธอแสดงความหวาดกลัวที่มีต่อกงเฉินออกมาโดยไม่ซ่อนเร้นแต่ลุงจงกลับย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเวินหนานจื่อด้วยความระมัดระวัง พลางหาอะไรมารองขาของเธอไว้เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเท่าที่จะทำได้"คุณหนูเวินครับ คุณแต่งงานเข้ามาแล้ว นี่คือความจริงนะครับ"เวินหนานจื่อเข้าใจดี ตนเองถูกคนตระกูลเวินขายเข้ามา แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ลุงจงกล่าวต่อ "แม้แต่สิงโตยังต้องลูบขนให้ถูกทาง นิสัยคนเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งคุณต่อต้าน ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือ ท้ายที่สุดคนที่จะเจ็บตัวก็คือคุณเอง"เวินหนานจื่อมองลุงจงด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจลุงจงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา "คุณหนูเวิน คุณยังมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่นะครับ อีกอย่าง อย่าลืมเหตุผลของการที่คุณแต่งเข้าตระกูลกงด้วยสิครับ"เหตุผลงั้นหรือ? เป็น

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 26

    ลุงจงสงวนท่าที เหลือบมองสาวใช้ผู้มีสีหน้าริษยาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ "เดี๋ยวผมจะไปเรียนถามคุณกงให้นะครับ"สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงดูถูก ในเมื่อกงเฉินโยนเวินหนานจื่อไปไว้ในห้องเก็บของแล้ว นั่นก็เท่ากับปล่อยเธอไปตามยถากรรมแล้วไม่ใช่หรือ จะมาแยแสอะไรกับเธออีก? คิดได้ดังนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความริษยาก็พลันสงบลงเมื่อกู้เหยียนอี้สบตามองลุงจง ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงเพียงยิ้มไม่พูดอะไรลุงจงชี้ไปทางชั้นสาม "คุณกงขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสามแล้วครับ คุณหมอกู้ขึ้นไปหาได้เลย"กู้เหยียนอี้พยักหน้ารับ ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสามพื้นที่ชั้นสามถือเป็นเขตหวงห้ามในบ้านตระกูลกง แต่ความจริงมันเป็นเพียงห้องนอนของกงเฉินเท่านั้นนี่คือสถานที่ซึ่งกงเฉินใช้เผชิญหน้ากับฝันร้ายอันตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี ภายในห้องว่างเปล่าไร้สิ่งของตกแต่ง ผนังสีขาวโพลนสะอาดตาปราศจากมลทิน มีเพียงเตียงสี่เสาสีดำทะมึน กับเก้าอี้นวมสองตัวและโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นกู้เหยียนอี้เคาะประตูสามครั้ง ก็เปิดประตูเดินเข้าไป เห็นกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ทอดสายตาผ่า

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 25

    กู้เหยียนอี้กับเวินหนานจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอไม่เป็นอะไร กู้เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่มีใครแล้ว เวินหนานจื่อก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเธอลองกดโทรหาแม่ แต่เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนาน ก็ยังคงไม่มีคนรับสายเช่นเดิมการที่ไม่ทราบเลยว่ามารดาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวจึงเริ่มเกาะกุมจิตใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเวินหนานจื่อก็นึกถึงโจวจิน ชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิตในเมื่อกงเฉินล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโจวจินแล้ว โจวจินจะเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่า?คิดดังนั้น เธอจึงรีบกดโทรหาโจวจินทันทีเธอรักและผูกพันกับโจวจินมาตลอด ช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลเวิน ก็ได้โจวจินคอยปลอบโยนและปกป้องคุ้มครอง แม้วันนี้จะถูกบีบให้ต้องแยกทาง แต่เธอก็ไม่อยากให้โจวจินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยในใจเฝ้าภาวนาขอให้โจวจินรีบรับสายไว ๆ ขอแค่ได้ยินเสียงเขา เธอก็จะวางใจ หนำซ้ำยังแอบหวังลึก ๆ ว่าเสียงของเขาจะช่วยปลอบประโลมจิตใจเธอได้เหมือนดั่งวันวานเมื่อมีคนรับสาย เวินหนานจื่อก็รีบก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status