LOGIN“สางผมเสร็จหรือยัง ข้าหิวแล้วนะ”หิวที่มิใช่หิวข้าวนั่นล่ะ นางไม่ได้สนใจคำพูดของเขา ยังคงสางผมต่อไปขณะอมยิ้มมองเขาผ่านเงาสะท้อนในคันฉ่องเนิ่นนาน“เจ้า! เหตุใดต้องแกล้งข้า...” จ้าวเฟิงฉีทอดกายนอนลงบนเตียงรอหลินซูซินอย่างอดทนกับความทรมานหลินซูซินยิ้มขัน นัยน์ตาพราวระยับด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น ตอนนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งชายหนุ่มให้นอนกระวนกระวายอย่างทำอันใดมิได้เกือบทุกราตรี...ภายในตัวเมืองผิงโจวอันคึกคัก ร้านรวงยังคงตั้งเรียงรายเพื่อวางขายสินค้าวันนี้หลินซูซินต้องเข้าเมืองเพื่อเลือกซื้อเครื่องเทศและเครื่องครัวบางอย่างจึงขอจ้าวเฟิงฉีลงเขามากับเสี่ยวเหยาสองคน ทว่าบุรุษตัวโตกลับเผยสีหน้าแง่งอนไม่ยินยอมเสี่ยวเหยาถูกจ้าวเฟิงฉีขับไล่ไสส่งไปเสียไกล ก่อนเป็นฝ่ายเสนอตัวมาส่งหลินซูซินแทนกิจธุระของสตรีแล้วอย่างไร เขาไม่สน!หลังจากเลือกซื้อเครื่องเทศและเครื่องครัวเสร็จสรรพ หลินซูซินจึงขอแวะซื้อเครื่องประดับสำหรับสตรีเล็กน้อยจ้าวเฟิงฉีผงกศีรษะอนุญาตยิ้มๆ ก่อนล้วงถุงเงินใบใหญ่ใส่มือนางอย่างไม่ต้องการให้ปฏิเสธ “ข้าขอจิบชารอที่เพิงด้านหน้า หากเจ้าซื้อของเสร็จแล้วข้าจะมารับ”จ้าวเฟิงฉียังคงไม
ทว่าท้ายที่สุด คืนนั้นทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นเรือนผมดำขลับที่ยุ่งเหยิงแผ่สยาย ดวงหน้าที่ผุดผาดอมชมพูระเรื่อคล้ายมีเลือดฝาด แววตาที่แฝงไว้ด้วยหยาดน้ำใสคล้ายอัญมณีล้ำค่า ล้วนแล้วแต่เปี่ยมเสน่ห์แห่งอิสตรีไม่สิ้นสุด จ้าวเฟิงฉีที่บอกว่าจะถนอมออมแรงกลับมิอาจยั้งแรงออมกำลัง ทั้งยังกระทำการอย่างเร่าร้อนทั้งราตรีจนหลินซูซินได้รู้ซึ้งถึงคำว่าอันใดถึงเรียกว่าบุรุษผู้เร้าใจ ความร้อนแรงทรงพลังมิผ่อนปรนของเขาทำสตรีผู้หนึ่งเพิ่งรู้จักกับคำว่าได้รับการเติมเต็มจนอิ่มเอมรัญจวนใจอย่างแท้จริงหลังจากหลินซูซินเปิดใจกับจ้าวเฟิงฉี นางเหมือนเห็นเขากลายร่างเป็นชายอีกคนที่นางไม่คุ้นเคยเลยสักนิดอันใดคือเจ้าหนาวข้าร้อนต้องนอนแนบกายซ้อนกันทุกคืนจึงจะคลายอาการผิดปกตินี้ได้ และอันใดคือเสื้อผ้าคือสิ่งเกินจำเป็น ต้องนอนกอดกันด้วยร่างกายที่ไร้อาภรณ์เท่านั้นยัง ยังไม่พอ อันใดคือง้องอนขอหอมแก้มตลอดเวลาแม้นางจะกำลังหั่นผักแล่เนื้อทอดแป้งลงน้ำมันในกระทะร้อนฉ่าบัดนี้บุรุษหนุ่มนามจ้าวเฟิงฉีที่เย่อหยิ่งเย็นชา ชอบเม้มปากอย่างคนหงุดหงิดรู้สึกขัดอกขัดใจไปกับทุกสิ่งกระทั่งดินฟ้าอากาศพลันเปลี่ยนไปเป็นบุรุษอารมณ์ดีช่างออดอ้อนไปหม
จ้าวเฟิงฉีอุ้มร่างอ่อนระทวยที่บอบช้ำจากน้ำมือของเขาขึ้นแนบอกแล้วหมุนตัวพานางกลับห้องส่วนตัวทันทีหลินซูซินเอื้อมวงแขนเรียวเล็กกอดรอบลำคอเขาแนบแน่นเมื่อมาถึงห้องชั้นในซึ่งมีฉากกั้นอีกหนึ่งชั้น จ้าวเฟิงฉีก็วางร่างงามลงบนเตียงนอน ลดมือเปิดกระโปรงของนางขึ้นเหนือเอว ถอดกางเกงขาสั้นด้านในของนางออกจนสิ้นหลินซูซินตกใจนักนางปิดมือไม่ทัน จึงเผยเนื้อนูนฉ่ำหวานเต็มตา“ท่านจะทำอีกแล้วหรือ? ข้ายังระบมอยู่เลย”คำถามตื่นตระหนกแฝงแววเว้าวอนนั้น ทำจ้าวเฟิงฉีพลันมีใบหน้าแดงก่ำ“เจ้าอยู่นิ่งๆ” เขาสั่งเสียงต่ำพร่าหลินซูซินทำหน้าเหลอหลาไม่กล้าขัดขืนใบหูบุรุษยิ่งแดงเข้มขณะก้มมองส่วนสงวนกลางกายสาว ซึ่งบัดนี้สีชมพูระเรื่อนั้นค่อนข้างบอบช้ำ ปลีกน่องและท่อนขารวมถึงหน้าท้องแบนราบล้วนมีแต่รอยกดจูบเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมดเมื่อคืนเขาลงมือหนักเกินไปจริงๆชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปทางตู้ไม้อีกฝั่งแล้วเดินกลับมาพร้อมขี้ผึ้งตลับหนึ่งเขานั่งลงที่เดิมแล้วก้มหน้ามองอย่างจริงจังแม้ใบหูจะยังแดงอยู่มากก่อนจะบรรจงทายาส่วนนั้นให้นางอย่างทะนุถนอม นิ้วมือแกร่งออมแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้กลีบบุปผาอ่อนนุ่มค่อยๆ ร้อนชื้น มิรู้เพราะย
เส้นทางขรุขระแต่อุ่นนุ่มชุ่มชื้นและบีบรัดเกินจินตนาการนี้ให้ความรู้สึกเสมือนถูกดูดกลืนวิญญาณ ต่อให้ร่างกายแหลกลาญก็เป็นการหลอมละลายเข้าด้วยกันอย่างต้องการเติมเต็มเท่านั้นความสุขสมจนถึงขีดสุดทำคนมิอาจถอนกายออกกลางคัน มีเพียงต้องดำเนินต่อไปอย่างมิอาจหยุดยั้งหากไม่ถึงสรวงสรรค์คงมิแคล้วตกนรกดับสูญใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงตรงซอกคอขาว จากนั้นก็ก้มหน้าซุกซบขบเม้มอย่างเอาแต่ใจขณะเคลื่อนไหวบนร่างนางอย่างดุดันครั้นเห็นสาวน้อยหลับตากัดปากร่ำไห้สะอึกสะอื้นกระซิกๆ ริมฝีปากที่เม้มแน่นจนสันกรามนูนเด่นก็เผยอออกเพื่อมอบจุมพิตอันร้อนแรงเนิ่นนาน...หลังจากผ่านพ้นศึกราคะอันดุเดือดเลือดพล่าน จ้าวเฟิงฉีก็หลับไปหลายชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมากลับไม่พบร่างงามนอนแนบชิดอยู่ด้านข้างหลินซูซินไม่ได้อยู่ในห้องเขาหลังครุ่นคิดอย่างไตร่ตรองโดยละเอียด ชายหนุ่มให้รู้สึกตกใจกับการกระทำอันบุ่มบ่ามเช่นคนไม่คิดยั้งใจของตนยิ่งนัก จึงรีบลุกขึ้นแต่งกายทันที หลังจากจัดแจงเสื้อผ้าของตนเรียบร้อยเสร็จสรรพก็เร่งฝีเท้าออกตามหาหลินซูซินทั่วสำนักยวี้จู๋“เห็นหลินซูซินหรือไม่?”จ้าวเฟิงฉีถามอี้หานที่กำลังนั่งเดินหมากอยู่คนเ
ทางห้องส่วนตัวของจ้าวเฟิงฉีบัดนี้บุรุษกำลังถอดเสื้อผ้าของตนออกแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี เขารู้สึกร้อนยิ่งนัก ร้อนจนเรือนร่างกร้าวแกร่งผุดพรายไปด้วยหยาดเหงื่อเต็มไปหมด กล้ามเนื้อทุกส่วนเครียดเคร่งเกินห้าม โดยเฉพาะส่วนนั้น ส่วนที่เขาควบคุมมันได้ดีมาโดยตลอดมุมหนึ่งของห้อง หลินซูซินยืนมองกล้ามหน้าอกแน่นตึงที่เกาะพราวไปด้วยหยดน้ำของเขาอย่างทำอันใดไม่ถูกจ้าวเฟิงฉีหันมาเห็นนางพอดีจึงหมุนตัวไปนั่งลงตรงเก้าอี้อย่างคนข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านที่เพียรระงับอาการฟุ้งซ่านมิให้ผิดสังเกต“เจ้ามาแล้วหรือ?”หลินซูซินผงกศีรษะเบาๆ ให้เขา ขณะเดินเข้าหาเงียบเชียบ นางปิดปากสนิท มิกล้าพูดจาส่งเดช ไม่ให้เขารู้ด้วยว่าตัวนางรู้เรื่องอาการผิดปกติของเขายามนี้ทว่าสีหน้าท่าทางของสตรีแสนดีที่โกหกใครไม่เป็นจะไม่เผยให้เห็นได้อย่างไร จ้าวเฟิงฉีเหลือบตามอง ตัดสินใจเอ่ยเสียงสั่นพร่าด้วยสีหน้ามีโทสะ “ข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้”สตรีผู้หนึ่งเดินมาเกินครึ่งทางจะให้หันหลังกลับได้อย่างไร หลินซูซินหลุบตาส่ายหน้าปฏิเสธด้วยสองแก้มแดงก่ำนางยังคงไม่กล่าวคำใดออกมาทั้งนั้น เพียงนั่งลงใกล้เขา เงยหน้าขึ้น ช้อนตาฉ่
เหตุผลดีงาม กิริยามารยาทดีเยี่ยม ต่อหน้าผู้เป็นนาย สตรีขี้เล่นหูตาแพรวพราวย่อมเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมจริงจัง ชวนมองไปอีกแบบนางกุลีกุจอจัดถ้วยวางช้อนวางตะเกียบลงบนแท่นรองอย่างถูกต้องเหมาะสมและเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีตกหล่น“นายน้อยกินข้าวเลยหรือไม่เจ้าคะ?”จ้าวเฟิงฉีมองมือเรียวงามขาวเนียนจัดวางทุกสิ่งเสร็จสรรพก็ร้องอืมในลำคอเบาๆเขาไม่สงสัยอันใดอีก เพียงลงมือกินข้าวตามปกติมีเพียงอยู่กับหลินซูซินที่จ้าวเฟิงฉีจะออกอาการแตกต่างจากเคร่งขรึมเย็นชาเยี่ยงนี้ชายหนุ่มกินข้าวหลายคำ รสมือของคนทำเขาย่อมจดจำได้เป็นอย่างดี จึงไม่รู้สึกว่ามีส่วนใดน่าสงสัยทว่ากินได้อีกไม่กี่คำกลับรับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกายบุรุษวัยหนุ่มแน่นย่อมไวต่ออารมณ์รุ่มร้อนที่ถูกกระตุ้นเร้ายิ่งมีคนเอายาปลุกกำหนัดใส่ลงในอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำก็ยิ่งเกิดปฏิกิริยาเกินบรรยายแววตาของจ้าวเฟิงฉีค่อยๆ แปรผัน จากดำขลับเป็นแดงก่ำ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เผยริ้วแดงระเรื่อของเลือดฝาดที่สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งเสี่ยวเหยายืนรอจังหวะนี้อยู่แล้วนางหลุบตาลง ซ่อนแววพึงใจที่สมปรารถนาเอาไว้อย่างมิดชิด รอยยิ้มหว






