“เออ...ท้องโย้มาเมื่อไหร่ละน่าดู ฉันไม่เอานะแม่เด็กพวกนั้นน่ะ หนังสือหนังหาไม่เรียน ขี่มอ’ไซค์แรดไปหาผู้ชายคนโน้นทีคนนี้ที ฉันไม่ชอบ!”
ชนนท์ยกมือยอมแพ้ อย่าได้คิดปิดบังเรื่องอะไรจากมารดาเลย นางคงมีหูทิพย์ตาทิพย์น่ะ
“แรด! ขี่มอเตอร์ไซค์ได้ด้วยเหรอ ฟีฟ่าไม่เห็นรู้เลย”
คำถามแสนซื่อทำเอาสองหนุ่มต่างวัยกลั้นขำ ส่วนมาลาถึงกับอ้าปากค้าง เอามือตะครุบปากเจ้าตัวแสบอย่างไว “โอ...ไม่เอาๆ ไม่พูดตามนะฟีฟ่า โอ๊ย...ฉันพูดอะไรไปเนี่ย ลืมไปเลยว่าฟีฟ่านั่งอยู่ เพราะเจ้านนท์แท้ๆ เลย”
“อ้าว? เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ”
“ก็แกนั่นแหละ ชอบหาเรื่องให้ฉันพูดมาก รีบกินแล้วรีบไปทำงานเลยนะ เห็นหน้าแล้วโมโห!”
ชนนท์รีบหุบปากฉับ เขาแค่หาอะไรทำให้หายเหนื่อยจากการทำงาน มารดาที่รักไม่เข้าใจ เขาเป็นผู้ชาย เรื่องเจ้าชู้นี่มันห้ามไม่ได้ ใครทอดสะพานมาให้ก็เอาหมดนั่นแหละ เขาเป็นนักรักนี่นา แม้หลายๆ ครั้งจะสับรางไม่ทันบ้างจนถูกสาวๆ บอกเลิกรายวันก็เถอะ
_________________
เข้าสู่วันที่สิบแล้ว นับจากอารดามาอยู่ที่ท้ายสวน ทุกวันศรัณจะออกไปดูต้นกล้วยรอบกระท่อม เขามักกลับมาพร้อมเหงื่อที่อาบร่าง วันแรกๆ เขาเป็นคนจัดหาทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่พอหลายวันเข้า เธอก็เรียนรู้ที่จะช่วยเขาบ้าง อาหารสามมื้อ เธอจะเป็นคนออกไปรับที่จุดส่งอาหาร แรกๆ น้ามาลาใส่ปิ่นโตมาทิ้งไว้ให้ หลังๆ น้าใส่ถุงแกงมา เธอคำนึงถึงความปลอดภัย เลยไม่ส่งปิ่นโตกลับ
เธอเดินในสวนกล้วยคล่องขึ้นนะ รู้จักชื่นชมกับใบกล้วยสีเขียวสดกับผลกล้วยอ่อนๆ ที่เพิ่งแตกออกจากหัวปลี กลิ่นน้ำมันก๊าดยามที่ศรัณจุดไว้ใต้ชายคากระท่อมยามค่ำคืน ก็ไม่ได้ทำให้เธอเวียนหัวอีกแล้ว ที่สำคัญก็คือ เธอสามารถข้ามสะพานไม้แผ่นเดียวที่วางพาดท้องร่องได้คล่องมากขึ้น นี่เป็นความภาคภูมิใจของเธอเลย
กล้วยในสวนแถบนี้กำลังงาม พากันออกลูกแทบทุกต้น ปลายปีคงสร้างเม็ดเงินให้ศรัณไม่น้อย บางที...การอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ใจเธอสงบขึ้นมากจริงๆ แต่ว่า...ถ้าหลังจากสิบสี่วัน ชีวิตของเธอจะเป็นยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
ลมเย็นวูบใหญ่พัดผ่านร่าง อารดาเงยหน้ามองฟ้า มือจับสายย่ามที่ทำจากผ้าฝ้ายไว้มั่น ในนี้มีกับข้าวกับปลาที่น้ามาลาทำมาให้ ป่านนี้ศรัณคงกลับมาถึงกระท่อมแล้ว เธอควรต้องเร่งฝีเท้าสักหน่อย ก่อนที่ฝนจะเทลงมา ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเพราะพายุ อันที่จริง ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่กระท่อม ฝนตกแทบทุกวันก็ว่าได้
ครืน! ครืน!
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นหลังแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ เมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวมาลอยอยู่เหนือหัวเธออย่างรวดเร็ว ตอนออกมาเมฆก้อนนี้ยังเห็นว่าอยู่ไกลแท้ๆ พายุหน้าร้อนนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ
“อย่าเพิ่งตกนะ ขอฉันกลับถึงกระท่อมก่อน” เธอได้แต่ภาวนา ก้าวขาให้ไวขึ้น จะได้กลับถึงกระท่อมไวๆ แต่ทว่า...คำภาวนาของเธอสุดท้ายก็ไร้ผล
ซ่า...ซ่า...
ในที่สุดเมฆดำทะมึนก็กลั่นตัวกลายเป็นหยาดฝน ฝนเม็ดใหญ่เหลือเกิน เธอเร่งฝีเท้าไปตามคูดินระหว่างกอกล้วย พยายามอย่างยิ่งให้ขามันก้าวให้ไวที่สุด แต่ก็ยังไม่เร็วพอ น้ำฝนเย็นๆ หล่นลงเหนือศีรษะเธอ สองเท้าเริ่มเปื้อนเปรอะดินโคลนตามทางที่ย่ำมา ทว่านั่นยังไม่หนักหนาเท่าเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องบน
เปรี้ยง!!!
“กรี๊ดดด!!!” อารดาตื่นตระหนก เท้าขวาก้าวพลาด ลื่นไถลตกลงไปในท้องร่อง ย่ามของเธอหลุดจากหัวไหล่ มันลอยไปกับสายน้ำที่กำลังไหลอย่างรวดเร็ว ฝนตกหนักมากจนน้ำเพิ่มปริมาณสูงขึ้นฉับพลัน ทั้งไหลแรงจนเธอต้องพาร่างขึ้นมาบนฝั่งให้เร็ว ให้ไว และปล่อยมื้อค่ำของเธอให้ลอยไปตามสายน้ำ
ครืน! ครืน!
เสียงฟ้ายังคำรามลั่นตอนที่อารดาหาทางก้าวเดิน เธอหันซ้ายแลขวา มองฝ่าเม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำเท มันควรต้องมีสะพานไม้ไม่ต่ำกว่าสิบแผ่นก่อนจะถึงตัวกระท่อม และเธอข้ามมันมาครบแล้ว แต่ว่า...กระท่อมล่ะ กระท่อมอยู่ไหน หรือว่าเธอจะหลงเสียแล้ว
เปรี้ยง!!!
“กรี๊ดดด!!!” อารดานั่งลงที่โคนต้นกล้วย สองมือยกปิดหู เนื้อตัวเปียกปอนสั่นสะท้าน ทั้งหนาว ทั้งกลัว ฟ้าจะผ่าลงมาแถวนี้ไหม แล้วเธอจะทำอย่างไรดี จะหาทางกลับได้อย่างไรในเมื่อมองออกไปข้างหน้า ไม่เห็นแม้แต่ช่องทางเดิน น้ำตาแห่งความกลัวเริ่มรินไหล เธอกอดตัวเองไว้ด้วยมืออันสั่น ถอยหลังเบียดชิดโคนต้นกล้วย ให้ใบสีเขียวของมันปกป้องเธอจากหยาดพิรุณ หัวใจในอกได้แต่ภาวนาให้ฝนซาไวๆ ทว่ารอแล้วรอเล่า รอจนสองมือซีดขาว รอจนมือที่ซีดเซียวเริ่มกลายเป็นสีม่วงจางๆ ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
“รัณ...ศรัณ...ชะ...ช่วยด้วย...รัณ...”
อารดาเอ่ยถึงคนที่หัวใจเพรียกหา คนที่อยู่ๆ ชื่อเขาก็มาติดอยู่ที่ริมฝีปาก นึกสมเพชตัวเองที่คนแรกที่นึกถึง มิใช่บิดาที่รักยิ่ง มิใช่พี่พุดซ้อนคนดี แต่เป็นสามี สามีที่ไม่เธอไม่ได้รักเขาเคย
ซ่า...ซ่า...
เม็ดฝนยังกระหน่ำเทไม่หยุด อารดาหนาวจนร่างสะท้าน กอดตัวเองเท่าที่จะทำได้ ป่านนี้แล้วศรัณอยู่ที่ไหน เขาไม่สงสัยหรือว่าเธอหายไป เธอหนาว เธอกลัว เธออยากกลับแล้ว
เปรี้ยง!!!
ฟ้าผ่าอยู่ไม่ไกล ยังแลเห็นได้ถึงแสงอันแปลบปลาบ อารดาหลับตาปี๋ สองมือปิดหูแน่น
“ร...รัณ...อยู่ไหน มารับที...ฉันกลัว...” พร่ำพูดอย่างหมดสิ้นความหวัง และพอลืมตาขึ้นมาใหม่ แล้วมองฝ่าออกไปท่ามกลางม่านฝนที่กำลังตกกระหน่ำ เธอก็เห็นร่างสูงใหญ่ของศรัณ เนื้อตัวเขาเปียกปอน ริมฝีปากเขาอ้าร้อง เหมือนว่ากำลังเรียกชื่อใครบางคน เธอจ้องมองภาพนั้น เขาดูกระวนกระวาย ร้อนใจ และกังวล เขาหันซ้ายแลขวาซ้ำๆ กวาดตามองไปทั่วๆ แต่ก็ยังมองไม่เห็นกัน “ระ...รัณ....ศรัณ!”
เสียงร้องที่ดังแทรกม่านน้ำฝนทำให้ศรัณต้องวิ่งไปดู อารดาหลบอยู่ที่โคนต้นกล้วย ร่างเปียกปอนของหล่อนขดอยู่ในซอกของต้นกล้วยกอหนา ความโล่งอกโล่งใจเกิดขึ้นในนาทีนั้น เขาคว้าร่างหล่อนมากอด ให้หล่อนขึ้นหลังแล้วพากลับกระท่อมด้วยสองขาอันมั่นคง
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำเพียงไร ฟ้าแลบแปลบปลาบน่ากริ่งเกรงแค่ไหน วันนี้...เขาก็ต้องพาภรรยากลับกระท่อมให้จงได้
“อดทนหน่อยนะคนดี สามีคนนี้จะปกป้องคุณเอง”
อารดายิ้มทั้งน้ำตา กอดคอเขาแน่นหนึบ เนื้อตัวเขาเย็นจัดไม่แพ้เธอเลย เขาคงตามหาเธออยู่นานแล้ว ผิวเขาเริ่มเป็นสีเดียวกับเธอ มันเป็นสีขาวซีดๆ ริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่ออย่างอิสตรี บัดนี้กลายเป็นสีม่วงคล้ำอย่างชัดเจน เธอขยับเคลื่อนกายบนแผ่นหลังกว้างใหญ่ เพื่อโน้มหน้าไปหาแก้มเขา ก่อนจะ...จุมพิตแผ่วเบาบนแก้มข้างหนึ่ง แทนคำขอบคุณและขอโทษที่ทำให้เขา...ต้องวุ่นวายใจ
สีแดงระเรื่อเรืองรองขึ้นที่พวงแก้มของอารดา เธอรู้สึกได้ถึงแก้มอันร้อนผ่าวของตัวเอง“กิน...ฉะ...ฉัน ฉันเหรอ ฉันคง...ไม่อร่อยหรอก” บอกเขาแล้วกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ มันช่างยากเย็นนักศรัณทิ้งถ้วยชาที่ทำจากกระเบื้องเคลือบบางๆ ลงข้างแคร่ โดยไม่กลัวว่ามันจะแตกหัก ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วแตะที่แก้มของอารดา ใช้มือข้างหนึ่งประคองแก้มหล่อนไว้ ถ่ายทอดไออุ่นที่สตรีนางใดก็มิอาจผลักไส“ขอชิมก่อนสิ แล้วจะบอก...ว่าอร่อยหรือเปล่า”เธอส่ายหน้าน้อยๆ แต่ลมหายใจเริ่มหอบแรงเมื่อศรัณลูบไล้ลงมาที่ต้นคอของเธอ เขาจงใจแตะต้องตรงนั้นให้ขนอ่อนบนร่างสาวได้ลุกซู่ชูชัน เขาช่างร้ายกาจนัก“ฉัน...คงรสชาติเหมือนน้ำแข็งเกล็ดหิมะที่ยังไม่ได้ราดน้ำหวาน”“งั้นผม...จะราดน้ำหวานให้ดีไหม ผมมี น้ำหวาน เยอะเลย...”ยั่วเย้าหล่อนด้วยวาจาที่แผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ วางมือลงที่ปมผ้าถุงตรงหน้าอกของหล่อน อารดาหายใจแรงขึ้นจนเนินทรวงกระเพื่อมไหว“จะกินฉันจริงเหรอ ถ้าฉัน...ไม่อร่อยจริงๆ ล่ะ”เขายิ้มกับคำถามไร
[7]รักร้อนๆ ในกระท่อมน้อยๆ------------------หนุ่มสาวฝ่าสายฝนกลับกระท่อม อารดาหนาวจนสั่นไปทั้งตัว แต่กระนั้นก็ไม่อาจทัดทานเมื่อศรัณพาเข้าไปในห้องน้ำ พวกเธออาบน้ำด้วยกัน เสื้อผ้าเปียกๆ ของเธอถูกดึงทิ้ง เธอหนาวจนมือชา จับขันตักน้ำยังไม่ได้ศรัณตักน้ำมาราดหัวเธอครั้งแล้วครั้งแล้ว สระผมให้เธออย่างเร็วแต่ไม่ยอมฟอกสบู่ให้ เขายื่นสบู่ก้อนเล็กมาให้เธอ ก่อนจะหันไปจัดการตัวเองบ้าง เธอหันหลังให้เขาตลอดเวลา ถูสบู่ลวกๆ เพราะหนาวเหลือเกินแล้ว“ถ้าไม่ถูดีๆ จะจับถูให้ทั้งตัวเลย”เขาขู่คนที่ยืนหันหลังอยู่ พยายามไม่มองร่างเปลือยของอารดา หากไม่ใช่ในสถานการณ์นี้ละก็ รับรองว่าหล่อนไม่รอดแน่ๆ เขาคงจัดการหล่อนในห้องน้ำแคบๆ นี่แหละหญิงสาวรีบอาบน้ำตามที่เขาสั่ง อายก็อาย หนาวก็หนาว มือก็เร่งถูสบู่ อาบน้ำล้างตัว จะได้ออกไปข้างนอกไวๆ และก็เหมือนสวรรค์ทำร้าย เสื้อผ้าที่เธอคิดว่าจะได้ใส่ให้คลายหนาว ทุกผืนชื้นไปด้วยไอจากหยาดพิรุณ“ผมกลับมาไม่ทัน หน้าต่างเปิดไว้ ฝนเลยสาดเข้ามาโดนเสื้อผ้าชื้น
“เออ...ท้องโย้มาเมื่อไหร่ละน่าดู ฉันไม่เอานะแม่เด็กพวกนั้นน่ะ หนังสือหนังหาไม่เรียน ขี่มอ’ไซค์แรดไปหาผู้ชายคนโน้นทีคนนี้ที ฉันไม่ชอบ!”ชนนท์ยกมือยอมแพ้ อย่าได้คิดปิดบังเรื่องอะไรจากมารดาเลย นางคงมีหูทิพย์ตาทิพย์น่ะ“แรด! ขี่มอเตอร์ไซค์ได้ด้วยเหรอ ฟีฟ่าไม่เห็นรู้เลย”คำถามแสนซื่อทำเอาสองหนุ่มต่างวัยกลั้นขำ ส่วนมาลาถึงกับอ้าปากค้าง เอามือตะครุบปากเจ้าตัวแสบอย่างไว “โอ...ไม่เอาๆ ไม่พูดตามนะฟีฟ่า โอ๊ย...ฉันพูดอะไรไปเนี่ย ลืมไปเลยว่าฟีฟ่านั่งอยู่ เพราะเจ้านนท์แท้ๆ เลย”“อ้าว? เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ”“ก็แกนั่นแหละ ชอบหาเรื่องให้ฉันพูดมาก รีบกินแล้วรีบไปทำงานเลยนะ เห็นหน้าแล้วโมโห!”ชนนท์รีบหุบปากฉับ เขาแค่หาอะไรทำให้หายเหนื่อยจากการทำงาน มารดาที่รักไม่เข้าใจ เขาเป็นผู้ชาย เรื่องเจ้าชู้นี่มันห้ามไม่ได้ ใครทอดสะพานมาให้ก็เอาหมดนั่นแหละ เขาเป็นนักรักนี่นา แม้หลายๆ ครั้งจะสับรางไม่ทันบ้างจนถูกสาวๆ บอกเลิกรายวันก็เถอะ_________________เข้าสู่วั
“ดีสิลูก เราต้องมองคนที่ฐานะมั่นคงเพื่ออนาคตของเรานะรู้ไหม”“แต่ว่า...หนูเพิ่งเรียนจบเอง”“ก็รู้จักกันไว้ ศึกษาดูใจกันไปสักพัก ถ้าไปด้วยกันได้ ค่อยแต่งไง ว่าแล้วก็รอแม่แป๊บนะ เดี๋ยวจะบอกให้เพื่อนแม่ส่งรูปหนุ่มๆ โปรไฟล์ดีๆ มาให้ คนสวยของแม่จะได้พิจารณา ดีไหมจ๊ะ”“แล้วแต่คุณแม่เถอะค่า หนูยังไงก็ได้” บอกอย่างเขินๆ ถูกมารดาตบกระหม่อมไปทีสองทีอย่างเอ็นดู เธอถนัดนักเรื่องออดอ้อน มารดาที่รักเทิดทูนเธอไว้บนหิ้งเชียวล่ะ จะเหลือก็แค่พี่เขยตัวดี พวกเขาแต่งงานกันเพราะอะไรกันนะ เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพี่อุ่นกับศรัณรักกัน บางทีพวกเขาอาจแต่งงานกันเพราะสัญญาบางอย่าง และไม่มีทางที่คนอย่างพี่อุ่นจะให้ใครแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วย ขนาดคบกับพี่ธีมาหลายปี เจ้าตัวยังไม่มีอะไรกันเลย เธอรู้ดี เพราะแอบเห็นพวกเขาทะเลาะกันหลายครั้ง ในเรื่องที่พี่สาวเธอทำตัวเป็นเต่าล้านปี ไม่ยอมมีเซ็กซ์กับแฟนตัวเอง และสุดท้าย ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างพี่ธีก็ถูกพี่รุ้งแย่งไป“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ทั้งสองคนเลย ถ้าเกิด
อารดาส่ายหน้าระอากับความหน้ามึนของสามีวัยละอ่อน เธอกระถดกายถอยห่างเขา แต่เขาก็ขยับตามมา มือข้างหนึ่งยังคว้าเอวเธอไว้ ดันร่างเธอเข้าหาแผงอกเปียกชุ่มของตัวเองดวงตาสองดวงสานสบกันเนิ่นนาน ส่งแววหวานที่อารดามิอาจจะทานทน เธอหลบเลี่ยงสายตา บอกเขาในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่“เลิกมองแบบนั้นนะ ฉันอาย” บอกเขาแล้วก้มหน้าลง เธอตกใจไม่น้อยเมื่อเสื้อที่สวมอยู่เปียกลู่จนทำให้เห็นเสื้อชั้นในที่กำลังโอบอุ้มพุ่มทรวง เธอเอามือปิดไว้ กลัวว่าเขาจะเห็น เขาปล่อยเอวเธอ แต่กลับดึงมือเธอออก ราวกับว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ผิดมหันต์“ให้ผมมองบ้างสิ ผมเป็นเจ้าของมันนะ”อารดาอยากจะเถียงว่าไม่จริง แต่พอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ริมฝีปากเขาก็ประกบลงมาเพื่อบดบี้ขยี้จูบ จนปากเย็นชื้นของเธอเริ่มร้อนผ่าว เธออยากผลักไส แต่หัวใจในอกกลับคัดค้าน ก็รสจูบหวานๆ ใครจะทัดทานได้เล่า“เก่งจริง จูบเก่งขึ้นเยอะเลย”เขาชมเปาะ แต่เธอยิ่งอับอายในคำชมนั้น “พอเถอะ ฉันอาย”“อายทำไม ต่อไปเราต้องทำมากกว่านี้นะ”“ฉันขอเวลา ขอไปหลา
[6]ทัดดอกรักให้ปักที่กลางใจศรัณกับอารดาอยู่ในสวนกล้วยจนเกือบเที่ยง อารดาปวดน่องไม่น้อยเมื่อการเดินพร้อมหัวปลีหัวใหญ่ๆ กับน้ำดื่มอีกสองขวดเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยกระทำ อันที่จริง การถูกกักตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก เธอรู้สึกเหมือนได้พักสมองอย่างจริงจัง ไม่ต้องคิดเรื่องราวชวนปวดหัว ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร แค่อยู่ที่นี่ มีอะไรให้ทำบ้างนิดๆ หน่อยๆ เธอพยายามปรับตัวละนะ และพอปรับตัว เธอก็เป็นสุขกับมันขึ้นมาบ้าง“ตรงหน้ามีสะพานระวังด้วยน้า”เสียงศรัณร้องบอกอยู่ข้างหลัง อารดามองสะพานที่เป็นไม้แผ่นหนาเพียงแผ่นเดียววางพาดท้องร่อง เธอยังไม่ชินกับมันสักเท่าไหร่ ทุกคราวที่ต้องข้ามสะพาน ศรัณจะคอยช่วยเสมอ แต่ถ้ามัวแต่รอให้เขาช่วย เธอก็คงข้ามเองไม่ได้สักที“ผมช่วย!” เขาร้องดังๆ เมื่อเห็นหล่อนก้าวขาลงแผ่นไม้“ไม่! ฉันจะข้ามเอง มันก็แค่สะพาน ไม่ได้สูงเสียหน่อย ตกไปคงไม่เจ็บหรอกน่า” พูดอย่างนั้นแต่ขาเริ่มสั่นเมื่อถึงกลางแผ่นไม้ ในอ้อมแขนยังมีหัวปลีกับน้ำสอ