“ถุ้ยๆๆๆ! ทำมาเป็นพูดมาแจกจ่ายอาหารให้คนในหมู่บ้านเดียวกัน แล้วทำไมถึงได้แจกแต่อาหารหมูแบบนี้เล่า เฮอะ!!!” เจ้าหล่อนแค่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความถือดี แม้ปากจะต่อว่าแต่มือก็ยังคงหอบหิ้วอาหารที่แจกจ่ายจนเต็มไม้เต็มมือ
“นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ ทำแบบนี้เหมือนกำลังดูถูกว่าพวกเราชาวบ้านเป็นหมูไม่ใช่หรือ?!” นางจีบปากจีบคอพูดอย่างนึกดูถูก เพราะในใจก็รู้สึกอิจฉาเมิ่งฮวาที่รูปโฉมงดงามแถมยังมีฐานะร่ำรวยมากกว่าตนเอง จึงได้มาหาเรื่องในวันนี้!
แต่มีหรือชาวบ้านจะเห็นด้วยกับคำพูดของพวกนาง อาหารหมูอย่างนั้นหรือ? แค่นับว่าเป็นอาหารคนก็ใช่ว่าจะกินแบบนี้บ่อยๆแต่นี่พวกนางกับเปรียบอาหารที่ดีแบบนี้กับอาหารหมู มันไม่มากเกินไปหรือ?
“นี่นางเจียวซิ่งที่เจ้ากับบุตรสาวพูดออกมามันไม่เกินไปหรือ? หมูที่บ้านเจ้าเลี้ยงก็ได้กินเนื้อดีๆแบบนี้หรือ?” ชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยตอกกลับอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนางเจียวซิ่ง
“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ว่าที่บ้านเจ้าเลี้ยงหมูดีกว่าคนในครอบครัวเสียอีก ถึงขั้นได้กินข้าวที่เม็ดเรียงสวยแบบนี้ไหนจะเนื้อหมูดีๆแบบนี้อีก!”
“นะ นี่! นี่พวกเจ้ากล้าพูดกับข้าอย่างนี้งั้นหรือ?!” นางเจียวซิ่งชี้ไม้ชี้มือใส่กลุ่มชาวบ้านด้วยความโกรธเคือง และอับอาย
“แล้วทำไมพวกข้าจะต้องไม่กล้าด้วยเล่า คนเขาตั้งใจช่วยเหลือคนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่พวกเจ้านอกจากจะไม่คิดช่วยเหลือคนในหมู่บ้านเดียวกันแล้ว ยังคิดจะมาก่อเรื่องอีกงั้นหรือ?!” นางเจียอีหนึ่งในคนที่คอยรับฝีปากกับนางเจียวซิ่งเอ่ยตอกกลับออกมาอย่างเหลืออด
“นี่แค่นางเอาอาหารมาแจกจ่ายแค่ครั้งเดียว ก็ซื้อใจพวกเจ้าได้แล้วสินะ เฮอะ!” นางเจียวซิ่งแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกดูถูก “คอยดูเถอะ ระวังจะถูกพวกนางหลอกเอา!”
นางลี่จูทนฟังนางเจียวซิ่งหาเรื่องอยู่นานสุดท้ายก็ปริปากพูดอะไรออกมาโต้ตอบเสียที “นี่นางเจียวซิ่ง ถ้าคิดจะมาก่อเรื่องที่นี่ก็กลับไปซะเถอะ อ้อ! แล้วก็วางของที่ถืออยู่ในมือด้วยเล่า หากเอาของของข้ากลับออกไปจากที่นี่ข้าจะจัดการเจ้าอย่างหนักแน่นอน!”
“นี่เจ้ากล้าพูดจาข่มขู่ข้างั้นหรือ?!” แต่ทว่าเมื่อหันไปเห็นสายตาของนางลี่จูนางก็รีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่านางลี่จูนั้นเป็นอย่างไร “ข้าก็ไม่คิดจะอาหารหมูพวกนี้หรอก เฮอะ!” นางเจียวซิ่งวางอาหารในมือลงด้วยความเสียดาย ก่อนจะรีบเดินกระทืบเท้าปึงปังแล้วสะบัดก้นหนีกลับบ้านด้วยความเจ็บใจ อาหารดีๆทั้งนั้นน่าเสียดายจริงๆเลย!
เธอที่เห็นว่าคนก่อเรื่องออกไปแล้วก็หันมายกมือชื่นชมท่านป้า ก่อนจะหันกลับมาสนใจกับการแจกจ่ายอาหารต่อ และเมื่อแจกจ่ายอาหารหมดแล้วก็เริ่มเก็บของเข้าบ้านทำความสะอาด
“เอ่อ… ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?” เธอหันไปมองหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านด้วยความสงสัย ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
“ได้สิเจ้าคะ ท่านลุงมีอันใดหรือเจ้าคะ?”
เขาทำท่าทีเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “คือว่า… พวกเจ้าจะแจกจ่ายอาหารแบบนี้กันอีกหรือไม่?”
“อ้อ” เธอได้ยินคำถามก็ยิ้มตอบ “แจกสิเจ้าคะ แต่ว่าคงจะแจกอีกทีอาทิตย์หน้าน่ะเจ้าค่ะ ข้ากับท่านลุงท่านป้าตัดสินใจว่าจะแจกจ่ายอาทิตย์ละ1ครั้งเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“โอ้! อย่างนั้นหรือ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณน้ำใจของพวกเจ้ามากๆ ข้าจะกระจายข่าวให้พวกชาวบ้านคนอื่นๆอีก”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านลุงอล้วเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นชาวบ้านก็เริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับออกไป ส่วนพวกเธอก็เริ่มช่วยกันเก็บของกลับเข้าบ้าน ส่วนกระโจมก็ตั้งเอาไว้แบบนี้แหละเพราะอย่างไรก็ได้ใช้งานอีก จะมามัวเก็บๆแล้วค่อยนำออกมาตั้งอีกทีก็ดูจะยุ่งยากเกินไป
***
โจวจางเหว่ยนอนอยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องพัก ที่แม้อากาศด้านนอกจะหนาวเย็นมากเพียงใดทว่าบนร่างกายและกรอบหน้าของเขานั้นกับมีหยาดเหงื่อไหลเสียอย่างนั้น ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะค่อยๆลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสตรีที่เขาเห็นในฝันนั้นคือใคร และที่ที่นางอยู่นั้นคือที่ไหนมันช่างดูแปลกตาเหลือเกิน ไม่ว่าจนเป็นเหมือนรถม้าแต่กับไม่มีม้าคอยลากเลยสักตัว ไหนจะสิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่บนอากาศ หรือแม้แต่เรือที่มีรูปร่างใหญ่โตแปลกตานั่นอีก
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามนึกหาคำตอบอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ ซึ่งฝันทุกๆวันเขาก็ต้องฝันแบบนี้ติดต่อกันอยู่ทุกค่ำคืน จนกระทั่งหัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงกับนางและเริ่มรู้สึกเป็นห่วงในทุกครั้งที่นางจะต้องออกไปทำภารกิจที่เสี่ยงอันตราย และใช่ครั้งสุดท้ายสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้นนางถูกลอบทำร้ายจากกลุ่มคนที่นางไว้เนื้อเชื่อใจจนทำให้ตายตกไป
“นางเป็นใครกันแน่?” เขาพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น เพื่อเรียกสติที่กำลังฟุ้งซ่านของตัวเองกลับคืนมา
“ท่านลุงเหตุใดยังไม่นอนอีกล่ะเจ้าคะ?” เธอเดินออกมาข้างนอกเพื่อจะดื่มน้ำ ทว่ากับเห็นท่านลุงนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“อะอ้าว! อาเมิ่ง ออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆเล่า?”
“ข้าจะออกมาดื่มน้ำน่ะเจ้าค่ะ แล้วท่านลุงเล่ามานั่งทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ?” เธอเทน้ำใส่แก้ว ก่อนจะฟุบนั่งลงตรงข้ามกับท่านลุง
“ไม่มีอะไรหรอก ลุงก็นั่งแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” เขาเอ่ยตอบก่อนจะเงยหน้ามองเด็กสาวตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะนางป่านนี้เขาก็คงจะต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ ลำบากเหมือนกันกับชาวบ้านพวกนั้นไปแล้ว
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป