เธอมองดูก็รู้ว่าท่านลุงคงจะเรื่องให้คิดอยู่ภายในใจ แต่ในเมื่อท่านลุงไม่พร้อมที่จะพูดเธอก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้ให้ท่านลุงต้องลำบากใจ จึงตัดสินใจเอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องแทน
“ท่านลุงเจ้าคะ หากหมดหนาวแล้ว ท่านลุงอยากจะทำบ้านใหม่หรือไม่เจ้าคะ?” เธอรู้ดีว่าอย่างไรท่านลุงกับท่านป้าก็ต้องการที่จะกลับไปอยู่ที่บ้านมากกว่าอยู่ที่บ้านหลังนี้กับเธอ เธอเข้าใจคนแก่ที่รักและหวงแหนที่ที่ตนเองสร้างมาดี
“อืม ลุงก็อยากจะทำให้มันดีกว่าตอนนี้เหมือนกัน แต่อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละอาเมิ่งจะสร้างหรือซ่อมแซมบ้านก็ย่อมต้องใช้เงินทองไม่น้อย”
“เอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ ถ้าหากว่าข้าจะให้ท่านลุงกับท่านป้าไปเป็นเถ้าแก่ช่วยดูแลร้านบะหมี่ให้ข้า ข้าจะให้ค่าจ้างท่านลุงกับท่านป้าท่านลุงคิดว่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ?” อย่างไรหากจะให้เธอคอยเข้าไปตรวจดูร้านบะหมี่บ่อยๆเธอก็คงจะไม่เข้าไปหรอก หากได้คนที่ไว้ใจอย่างท่านลุงกับท่านป้าไปช่วยดูแลก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี
“เพ้ยๆๆ จะให้ลุงรับเงินค่าจ้างจากเจ้าได้อย่างไรกันเล่า แบบนั้นลุงไม่เอาด้วยหรอก!”
“แต่ว่า… ทำงานก็ต้องได้รับเงินค่าจ้างสิเจ้าคะถึงจะถูก หากท่านลุงไม่รับข้าจะกล้ารบกวนท่านลุงกับท่านป้าได้อย่างไร อีกอย่างท่านลุงกับท่านป้าก็เป็นคนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุดด้วยหากจะให้ไปจ้างคนอื่นเห็นทีคนจะ…” เธอเงียบลงก่อนจะเหล่ตามองไปทางท่านลุง เมื่อเห็นท่าทางของท่านลุงก็ได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้
“เฮ้อ เอาไว้ลุงจะลองไปคุยกับท่านป้าก่อนแล้วเดี๋ยวลุงจะมาบอกกับเจ้าอีกที แต่ตอนนี้เจ้าเข้าไปนอนได้แล้วตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว” เขาทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างคิดหนัก ก่อนจะโบกมือไหล่หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้รีบไปเข้านอน
“เจ้าค่า ท่านลุงก็รีบเข้านอนนะเจ้าคะ ตื่นสายระวังจะโดนท่านป้าดุเอานะคิกคิก” เธอพูดพลางหยอกล้อกับท่านลุง ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าห้องทิ้งให้ชายแก่นั่งฟึดฟัดอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
เช้าวันต่อมา
วันนี้หิมะตกหนักกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา และอากาศยังหนาวเย็นถึงขั้วกระดูกเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าอากาศของวันนี้ทรมานร่างกายของพวกเราชาวบ้านไม่น้อย
“อาเมิ่งตื่นแล้วหรือ? รีบมากินข้าวเช้าเร็วเข้าป้าทำอาหารเก็บไว้ให้ในห้องครัวแล้ว”
“ท่านป้ากับท่านลุงกินข้าวกันไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
“กินแล้วล่ะ เจ้าก็รีบไปกินเสียเถอะอาเมิ่งอาหารตอนนี้น่าจะยังอุ่นๆอยู่” เธอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไปหาอาหารเช้ากิน
ทว่าหลังจากที่เธอกินอาหารเสร็จเสี่ยวเปาก็ส่งเสียงเตือนให้เธอระมัดระวังเรื่องพายุหิมะที่กำลังจะมาถึงอีกครั้ง ซึ่งตอนแรกที่เธอได้ยินก็รู้สึกตกอกตกใจไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าฤดูหนาวปีนี้จะรุนแรงได้มากถึงขนาดนี้ เธอน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะเธอได้เพรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง หรือจะเป็นอาหารที่มีให้กินได้ไม่จำกัด แต่ที่น่าห่วงตอนนี้ก็คงจะเป็นพวกชาวบ้านน่ะสิ… ไม่รู้ว่าชาวบ้านพวกนั้นจะเอาชีวิตรอดจากหน้าหนาวนี้กันไปได้อย่างไร?
[ข้าว่าเจ้าระวังเรื่องพายุหิมะหน่อยก็ดีนะ อีกไม่นานจะเกิดพายุหิมะอาจทำให้ผู้คนล้มตายไม่น้อย]
‘แล้วข้าควรจะทำยังไงดีเสี่ยวเปา? มีทางไหนที่ข้าพอจะช่วยเหลือพวกชาวบ้านได้บ้างไหมนะ’ ความคิดในหัวของเธอตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด เพราะไม่รูัว่าควรจะตัดสินใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร
[ทางที่ดีข้าว่าเจ้าควรที่จะหาวิธีการที่จะเตรียมรับมือไว้ก่อนดีกว่า ส่วนพวกเรื่องชาวบ้านข้าว่าเจ้าควรจะตัดใจดีกว่า…] เสี่ยวเปาเงียบลงเพื่อรอดูปฏิกิริยาของนาง [ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เห็นด้วยที่เจ้าคิดขะช่วยเหลือพวกชาวบ้านนะ แต่หากการช่วยเหลือพวกนี้มันจะทำให้เจ้าเดือดร้อนข้าก็คงไม่มีทางที่จะเห็นด้วย]
“…” เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ในเมื่อเธอนั้นรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เธอไม่รู้ว่าควรจะหาวิธีใดที่จะช่วยเหลือพวกชาวบ้าน
[เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าก็ลองไปบอกลี่คุนสิว่าสหายของเจ้าที่อยู่ในเมืองส่งจดหมายมาเตือนว่าให้เฝ้าระวังเรื่องพายุหิมะ ในเมื่อเตือนไปแล้วชาวบ้านคนไหนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องแล้วแต่คนพวกนั้นแล้วล่ะ]
เมื่อเธอได้ฟังคำพูดของเสี่ยวเปาหัวใจของเธอก็เต้นแรงระรัวด้วยความดีใจ เพราะอย่างน้อยแล้วเธอก็ได้หาวิธีที่จะช่วยเตือนพวกชาวบ้านกันไปแล้วล่ะนะ ทีนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็คงจะต้องแล้วพวกเขาแล้วล่ะ
‘จริงด้วย! ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวเปา ข้าจะรีบไปบอกท่านลุงเดี๋ยวนี้ล่ะ’
[อืม รีบๆไปเถอะ] เธอไม่ได้ตอบอะไรรีบวิ่งออกไปหาท่านตาที่กำลังนั่งเก้าอี้โยกเหม่อมองอากาศด้านนอกอยู่
“ท่านลุงเจ้าคะ!” เธอส่งเสียงเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก จนทำให้ชายแก่อย่างลี่คุนตกใจจนเก้าอี้เกือบหงายหลัง
“เพ้ยๆๆ! ส่งเสียงดังอะไรขนาดนี้ตาแก่อย่างข้าหัวใจเกือบจะวายแล้วรู้หรือไม่…” เมื่อตั้งตัวได้เขาก็รีบหันมาบ่นอุบด้วยความตกใจ
เมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำให้ท่านลุงตกใจเธอก็เกาท้ายทอยอย่างเก้อๆ ก่อนจะรีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมา “อ่า ขอโทษเจ้าค่ะท่านลุงข้าเสียงดังมากไปหน่อย” เมื่อเห็นว่าท่านลุงไม่ได้เอ่ยต่อว่าอะไรออกมาอีก เลยรีบเอ่ยเข้าเรื่องที่เธอตั้งใจจะมาคุยทันที
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป