ตอนนี้เธออยู่ภายในห้องครัวกำลังเตรียมทำอาหารเย็นรอท่านลุงกับท่านป้าอยู่ แต่ทว่าก็ต้องชะโงกหน้าออกไปมองดูเพราะได้ยินเสียงกุกๆกักๆมาจากภายในตัวบ้าน
“อ้าว กลับกันมาแล้วหรือเจ้าคะ?” เธอเอ่ยปากถามทั้งสองคนด้วยความแปลกใจ เพราะเวลานี้เพิ่งจะกี่โมงเอง
“อืม กลับมาแล้วล่ะอาเมิ่ง ตาแก่พวกนั้นคุยอะไรกันก็ไม่รู้ไม่เห็นจะรู้ความกันเลยสักคน” ลี่คุนส่ายหัวตอบอย่างเบื่อหน่าย ตาแก่พวกนั้นเอาแต่ขอจับเสื้อคลุมที่อาเมิ่งให้ เขาล่ะเบื่อเต็มทนเลยหนีกลับบ้านดีกว่า
เธอพยักหน้ารับคำพูดของท่านลุงด้วยความมึนงง “อ่อ… อย่างนี้นี่เอง” ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปทางท่านป้า “แล้วท่านป้าล่ะเจ้าคะ ไหนบอกว่าจะกลับเย็นๆอย่างไรเล่า? ข้าก็เลยเพิ่งจะเตรียมตัวทำอาหารเย็น”
นางลี่จูโบกมือตอบอย่างไม่ได้สนใจอะไร “ไม่เป็นไรหรอกอาเมิ่ง ป้ารีบกลับบ้านมาก่อนเอง แล้วนี่มีอะไรให้ป้าช่วยทำหรือไม่เล่า?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านป้า ข้าว่าท่านลุงกับท่านป้ารีบไปนั่งพักกันก่อนดีกว่า”
“เอาอย่างนั้นหรือ?” เธอไม่ได้เอ่ยตอบ แต่พยักหน้าพลางผลิยิ้มตอบ กก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในของห้องครัว
และเมื่อเธอทำอาหารเสร็จก็เริ่มลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่กลางเดือนของฤดูหนาว ตอนนี้อากาศหนาวเย็นติดลบอย่างรุนแรง บางครอบครัวก็ไม่สามารถที่จะขึ้นเขาหาอาหารเพื่อเติมเต็มเสบียงหรือฟืนกันได้อีก จะต้องอยู่กินกันอย่างประหยัดและน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซึ่งบางครอบครัวก็ถึงขั้นยอมขับไล่ หรือปล่อยคนที่ตนเองคิดว่าไร้ประโยชน์ที่สุดให้ต้องอยู่อย่างอดอยาก เพราะหวาดกลัวกันว่าคนพวกนั้นจะทำให้เสบียงอาหารของตนเองนั้นต้องหมดลง และเป็นการสิ้นเปลือง… ทว่าเรื่องพวกนี้เธอก็ไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรใครได้มากนัก จึงทำได้แค่ช่วยเหลือคนบางกลุ่มเท่าที่จะทำได้แค่นั้น
“ท่านลุงตั้งกระโจมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” เธอที่เห็นท่านลุงเดินกลับเข้ามาก็รีบเอ่ยปากถาม ซึ่งกระโจมที่เธอให้ท่านลุงติดตั้งนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรเลยสักนิด เพราะนั่นคือกระโจมจากยุคอนาคตที่เธอจากมา และมีผ้าใบปิดกั้นลมหนาวรอบกายได้อย่างดีอีกด้วยล่ะ!
“เสร็จแล้วล่ะอาเมิ่ง ตอนแรกลุงก็สับสนไม่น้อยแต่พอได้ลองติดตั้งจริงๆก็รู้ได้เลยว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดจริงๆ” ลี่คุนพูดยกยอออกมาด้วยความชื่นชม เขาไม่เคยเห็นกระโจมที่ติดตั้งง่ายและยังกันลมหนาวได้ดีมากอีกด้วย
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะเข้าไปช่วยท่านป้าเตรียมอาหารแจกจ่ายพวกชาวบ้านก่อนดีกว่า”
“อือๆ รีบไปเถอะ” เธอเดินกลับเข้ามาในห้องครัวที่ตอนนี้มีท่านป้ายืนทำอาหารอยู่อย่างกระฉับกระเฉง
“ข้าช่วยเจ้าค่ะท่านป้า” เธอเข้าไปช่วยท่านป้าทำอาหารอย่างกระตือรือร้น เพราะรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้แจกจ่ายอาหารให้แก่ชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจริงๆ
แผนการเรื่องที่จะแจกจ่ายอาการนี้เธอได้ลองให้ท่านลุงไปคุยกับท่านผู้นำหมู่บ้านแล้ว ซึ่งท่านผู้นำหมู่บ้านก็เห็นดีเห็นงามด้วยไม่น้อย เพราะมันเป็นประโยชน์และผลดีต่อคนในหมู่บ้านไม่น้อย ขอแค่ครอบครัวเธอที่เป็นผู้ริเริ่มที่จะแจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านไม่เดือดร้อนทีหลังก็พอ และแน่นอนว่าครอบครัวเธอไม่มีทางที่จะเดือดร้อนเรื่องอาหารอย่างแน่นอน
วันนี้เธอกับท่านลุงท่านป้าตัดสินใจกันว่าจะทำข้าวต้มหมูสับ กับผักดองแจกจ่ายให้แก่พวกชาวบ้าน แม้จะดูเหมือนเป็นอาหารง่ายๆแต่ทว่าเนื้อหมูก็ใช่ว่าจะกินได้ง่ายๆ อาหารที่ไม่ได้หรูหราแต่ทำให้อุ่นท้องและอิ่มท้องได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
และทันทีที่พวกเธอช่วยกันยกหม้ออาหารที่มีฝาปิดอยู่ออกไปไว้ที่กระโจมด้านนอกรั้วที่มีท่านลุงนั่งเฝ้าอยู่ ก็ได้เห็นว่าตอนนี้บริเวณภายในกระโจมอีกฝั่งมีชาวบ้านยืนรอกันอยู่มากมายหลายคนเลยทีเดียว ซึ่งสภาพแต่ละคนที่เธอได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเวทนา เพราะแต่ละคนนั้นมีสภาพที่ผอมโซ หรือเรียกได้ว่าผอมจนเนื้อแทบจะติดกระดูก และยังสวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ย หรือเสื้อผ้าเก่าๆที่ใส่ทับกันหลายๆชั้นเผื่อให้รู้สึกอบอุ่น แต่เธอเชื่อได้เลยว่ามันคงจะไม่ได้ช่วยให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นเท่าไหร่นัก
ท่านป้าที่หันมาเห็นเธอเอาแต่มองจ้องพวกชาวบ้านด้วยความสงสาร ก็ยื่นมือมาจับมือเธอด้วยความปลอบประโลม “อย่าเก็บไปคิดมากเลยนะอาเมิ่ง เราก็พยายามช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่เราจะทำกันได้ก็พอแล้วล่ะ ไม่ว่าอย่างไรชีวิตคนเราก็จะต้องดิ้ดรนกันต่อไป…”
เธอเงยหน้ามองท่านป้าก่อนจะพยักหน้ารับอย่าเข้าใจ “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะท่านป้า แต่ข้าก็ยังรู้สึกสงสารเวททนพวกเขาอยู่ดี”
“เอาล่ะๆ ป้าเข้าใจเจ้า แต่ตอนนี้ป้าว่าเรารีบไปแจกอาหารกันก่อนดีหรือไม่?” เมื่อเห็นว่าเธอพยักหน้ารับ นางลี่จูก็รีบหันไปหาสามี “มาเถอะตาแก่ มาเริ่มแจกจ่ายอาหารให้พวกชาวบ้านกันเถอะ”
หลังจากนั้นเธอ กับท่านลุงท่านป้าก็เริ่มช่วยกันแจกจ่ายอาหารให้แก่พวกชาวบ้าน ซึ่งเธอให้ชาวบ้านยืนต่อแถวกันอยู่ภายในกระโจมเพื่อความอบอุ่น “หากไม่อิ่มก็ไปขอเติมอาหารกันได้อีกนะเจ้าคะ”
“ขอบใจพวกเจ้ามากเลยนะ พวกข้าจะจดจำน้ำใจของพวกเจ้าในครั้งนี้เป็นอย่างดี” ชาวบ้านต่างพากันเอ่ยขอบคุณอย่างทราบซึ้ง
“อย่าเก็บไปคิดเรื่องเจ้าค่ะเรื่องเพียงแค่นี้เอง อย่างไรพวกเราก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน” เธอแย้มรอยยิ้มตอบชาวบ้าน ก่อนจะหันมาแจกจ่ายอาหารต่ออย่างขมักเขม้น ทว่าไม่นานก็มีเสียงดังโวยวายของกลุ่มคนผู้หนึ่งดังขึ้นมา
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป