ตอนที่ 1
เด็กในกรงเล็บเสือ
เสียงสลัดสายฝนกระทบหลังคากระจกของคลับใต้ดินอาลูร์ดังเป็นจังหวะกล่อมประสาท เทียนไขซิการ์หอมไหม้ส่งควันบางๆ ลอยคลุ้งเคล้ากลิ่นหนังแท้และวิสกี้อิซเลย์รสควันไม้ ทุกอย่างในห้องรับรองวีไอพีดูเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่โดนฉาบเงาแสงสีอำพัน สวยสมบูรณ์แบบจนไม่น่าจะมีเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ในนั้นได้ แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นจริงๆ
คิรินทร์ วัชรเมธา วัยสี่สิบสอง คาดแขนเสื้อเชิ้ตสีงาช้างข้างหนึ่งขึ้นเหนือข้อศอก ปล่อยกระดุมสองเม็ดแรกเปิดรับไอร้อนจากเตาผนังซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ ทั้งทรงผมถูกเสยเรียบ เสี้ยวกรามคมรับกับเงาไฟเขาจิบวิสกี้ช้าๆ รสขมของถังโอ๊คเก่าแก่ตีตลบข้างกระพุ้งแก้ม
เรียวนิ้วลูบคริสตัลข้างแก้วเป็นวงกลมเสียงแผ่วนั้นบรรเลงไปกับเสียงเพลงแจ๊สที่ไล้ยอดโน้ตอย่างเรื่อยเฉื่อย ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเหมือนกดสวิตช์ควบคุมอากาศให้ช้าลงได้ตามใจจนกระทั่งเธอก้าวเข้ามา
เด็กสาวร่างบางที่ทีมโฮสต์พาขึ้นมานั้นตัวสั่นเทาเป็นลูกนก เดรสซาตินสีเงินซึ่งควรดูเฟมินีนอย่างสง่า กลับกลายเป็นเกราะบางที่ต้านทานสายตานักล่าของแขกชายในห้องแทบไม่ไหว แววตาของเธอสะท้อนโคมไฟระย้าจนเป็นประกายหวาดกลัว ส้นสูงราคาถูกข้างหนึ่งกระทบพื้นพรมเบาๆ อย่างไม่มั่นคง ทุกอิริยาบถแผ่ซ่านความไม่ชำนาญ
คิรินทร์ไม่จำเป็นต้องหันทั้งตัว เขาเพียงเลื่อนสายตาจากขอบแก้วผ่านบ่ากว้างของบอดี้การ์ด มองไปยังร่างเล็กนั้นเสี้ยววินาทีที่แสงไฟเวทีสาดผ่านใบหน้าเธอ เขาก็เห็นปานสีชมพูจางรูปดอกกุหลาบใต้ท้ายทอย นั่นพอให้ชายผู้เชื่อว่าทุกอย่างมีราคาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจราวกับของล้ำค่าหายาก
“ชื่อ”
คำถามสั้นๆ หลุดจากริมฝีปากเขาไม่ดังไปกว่าเสียงน้ำแข็งละลาย เจ้าของคลับรีบก้มศีรษะ
“เธอชื่อมินตราครับ เด็กมหาลัยปีหนึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานคืนแรก”
คิรินทร์วางแก้วลงแสงไฟเตาผนังวาบผ่านดวงตาเขาเป็นประกายเขาเคาะเล็บกับโต๊ะไม้เนื้อแข็งสองครั้ง แล้วพูดสั้นๆ
“พาเธอมา”
ประโยคสั้นแต่ฟังดูเยือกเย็น คิรินทร์ออกคำสั่งให้บอดี้การ์ดไปนำตัวเธอมาที่ห้องรับรอง ชั้นวีไอพีที่ทางร้านเตรียมให้ เสียงส้นสูงกระทบลูกกรงบันไดเหล็กวนขึ้นสู่ห้องรับรองชั้นลอย มินตราเกือบสูดลมหายใจไม่เข้า
เธอพยายามสงบฝีเท้าแต่ร่างกายไม่เชื่อฟัง ความหนาวเย็นที่แทรกจากเท้าขึ้นสู่หัวเข่าถึงอกผลักให้มือทั้งคู่สั่นระริก ทันทีที่ประตูไม้โอ๊คเปิดออกโลกทั้งใบก็เหมือนหยุดหมุน
คนตัวสูงนั่งหันข้างให้เธอแขนข้างหนึ่งพาดพนักโซฟา อีกข้างถือแก้ววิสกี้ที่แกว่งน้ำสีทองอำพันช้าๆ เขาไม่ขยับไม่มอง แต่มินตรากลับรู้สึกเหมือนถูกมัดตรึงกลางอากาศ เพราะเพียงเงาร่างนั้นเพียงกลิ่นควันวิสกี้ปะปนกับโคโลญจ์เข้าครอบงำเธอจนหายใจไม่ออก
“อายุเท่าไหร่”
เสียงทุ้มแผ่วเหมือนขยี้ทับดอกไม้มินตราฝืนกลืนก้อนอะไรบางอย่างที่ขวางคอ
“สะ..สิบเก้าค่ะ”
“ครั้งแรก”
เธอพยักหน้าปลายผมงุ้มชี้เกาะข้างแก้มชื้นเหงื่อ น้ำตาร้อนสะท้อนแสงไฟวาวอยู่ตรงหางตาแต่เธอกัดไว้
“คะ…ครั้งแรก”
คิรินทร์หมุนตัวเพียงนิดดวงตาคมกริบสีน้ำเงินเทาใต้ไฟส้มทาบกับประกายกระจก ท่าทีสบาย ๆ ของเขาทำให้ร่างกายเล็กยิ่งสั่น เขายกข้อมือเช็กนาฬิกา ก่อนเอ่ยกับลูกน้องที่ยืนรอรับคำสั่งด้านหลัง
“เตรียมห้องฝั่งตะวันตกของ The Halo Residence ส่งบัตรเข้าลิฟต์ส่วนตัวให้เธอเติมเงินเดือนละห้าแสนและแจ้งแม่บ้านให้ซื้อชุดนักศึกษาไซซ์นี้”
คำสั่งไล่เรียงราบเรียบไร้อารมณ์แต่สำหรับมินตรา มันคือประโยคจองจำชีวิตหนึ่งปีในเสี้ยวนาที เธอเผลอก้าวถอย
ทว่าเสียงรองเท้ากระทบพรมเบาๆ ของเขาแค่หนึ่งก้าวก็ตามมาทัน ปลายนิ้วเย็นตวัดปลายคางเธอเชิดขึ้น ภายใต้ระยะห่างไม่ถึงสองฝ่ามือ หน้าผากเธอรับไอร้อนผสานกลิ่นหนังจากสูทของเขาจนลมหายใจขาดห้วง
“จำไว้นะเด็กดีต่อจากนี้ เธอเป็นของฉันแค่คนเดียว”
ลมหายใจที่ร่วงลงข้างแก้มทำให้สติเธอวูบฝังเสียงหัวใจตัวเองดังสนั่น เธอไม่ทราบว่าเป็นเพราะกลัวหรือเพราะเขาใช้แค่ประโยคเดียวก็ซื้อทุกอย่างในชีวิตเธอได้ ไม่ต่างจากกดบัตรเครดิต แต่เธอไม่มีอาวุธสักชิ้นจะใช้ต่อกร ที่หนักกว่านั้นเธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธตั้งแต่แรก
กลอนประตูห้องรับรองถูกล็อค เหมือนประทับตราปั๊มพิพากษาชีวิตแล้ว แผ่นหลังเล็กถอยจนติดกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน แสงริงไลต์นวลสะท้อนภาพตัวเองซ้อนทับเงาคนสูงใหญ่ที่เดินเข้าหาอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวของเขาทิ่มลึกในกระดูกสันหลังเธอเหมือนค้อนใหญ่ทุบเสียงตุบๆ ใต้หนัง
คิรินทร์หยุดระยะห่างเพียงความยาวฝ่าเท้า มือหนาช้อนเข้าที่สายเดรสข้างหนึ่ง ลูบมันปลิ้นจากหัวไหล่ขาวสั่นระริก แล้วปล่อยให้ไหลลงพื้นอย่างละเอียดอ่อนราวไม่ต้องออกแรง
สายตาเขากวาดไล่จากต้นคอเรียวต่ำลงผ่านเนินอกที่สั่นตามจังหวะหายใจ ไปหยุดตรงปานรูปดอกกุหลาบท้ายทอยที่เขาเห็นตั้งแต่แรก รอยยิ้มบางโค้งตรงมุมปากเหมือนนักสะสมเจอของล้ำค่า
“พูดสิว่าเธอต้องการฉัน”
ประโยคสั้นเรียบแต่หนักลงโทนต่ำกดลึกลงช่องท้อง มินตราสั่นใบหน้าไหวแต่เมื่อปลายนิ้วของเขาลากลูบแก้มเย็นครั้งหนึ่ง ร่างกายกลับปล่อยเสียงสะอื้นเบาออกมาอย่างทรยศ เธอเม้มปากจนเลือดฝาดระเรื่อ แต่มือหนาของเขาประคองท้ายทอยนิ่ง
“พูด”
เสียงคำสั่งนุ่มแต่แฝงไปด้วยการบังคับ เธอเจ็บคอเหมือนกลืนเข็มทว่า สุดท้ายก็กลั้นใจเปล่งคำนั้นที่เขาต้องการให้พูดออกมาอย่างว่าง่าย
“ฉัน…ต้องการคุณ”
คำง่ายๆ แค่สองพยางค์กลับสั่นสะเทือนห้องทั้งห้อง คิรินทร์ก้มลงแนบริมฝีปากบดจูบเธอทันที จูบลึกหนักแน่นและไม่เปิดช่องให้เธอหายใจ
จ้วบบ
“อื้ออ”
ลิ้นร้อนกวาดซับเสียงสะอื้นราวกับจะขโมยลมหายใจทั้งหมดไปเก็บไว้คนเดียว แขนแกร่งรั้งเอวบางอย่างหวงแหน เนินอกแอ่นแนบอกกว้าง หลอมสองร่างไร้ช่องว่าง เมื่อปลายนิ้วเขาลากเลื่อนผ่านผิวสีอ่อนโลกทั้งใบของมินตราก็พลันสว่างจ้าจนตาพร่า
เสียงครางแผ่วหลุดจากลำคอ เธอพยายามปิดมันไว้ แต่คิรินทร์กลับขบมุมปากล่างเธอเบา ๆ และออกคำสั่ง
“เร็วสิ ส่งเสียงให้ฉันรู้ทีว่าเสียงของเธอหวานพอสำหรับคืนนี้ไหม”
เธอสั่นเครือยามปลายนิ้วเขารุกล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ อย่างชำนาญ เปี่ยมความอดทนทรมานกึ่งปรนเปรอจนลมหายใจ
เธอขาดช่วงเมื่อเขาพึมเสียงคำว่าเด็กดีข้างใบหู พร้อมจังหวะกระชากสะโพกให้อิงกระจก เสี้ยววินาทีนั้นทะเลอารมณ์ก็ซัดครืน เธอปล่อยเสียงครางหวานลั่นไม่อาจเก็บ มือหนาดึงร่างเล็กแนบตึง ริมฝีปากซุกซอกคอขาวประทับรอยแดงเข้มราวตราประทับกรรมสิทธิ์
“อ๊ะ..อ๊าาา”
มินตราครางเผื่อแผ่เสียงสั่นเครือจนช่องท้องหดเกร็ง หัวสมองสว่างวาบ เธอเห็นประกายไฟหลังเปลือกตาสาดซัดเหมือนดาวแตก และสุดท้ายเสียงหอบหายใจของเขากับเธอพันถักกันเหมือนคลื่นสองระลอกซัดเข้าหากันไม่ยอมถอย
เช้าวันรุ่งขึ้นกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยแตะปลายจมูกก่อนที่เปลือกตาจะยอมเปิด มินตราพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงคิงไซซ์ผ้าปูผืนแพรสีงาช้าง ผ้าไหมลื่นราวน้ำหวานไหลผ่านแผ่นหลังเปลือยจนเธอต้องซุกตัวหนีความเย็น ทุกจุดบนร่างเป็นรอยจูบ รอยฟัน และรอยลมหายใจร้อนวาบเมื่อคืน ไม่ว่าเธอขยับส่วนไหนก็เจอตราปรารถนาของเขาชัดเจน เตือนว่าเมื่อคืนไม่ใช่แค่ฝัน และเธอไม่มีวันลืมไม่ว่าร่างกายหรือหัวใจ
บนโต๊ะข้างเตียงมีถาดอาหารเช้าครัวซองต์ฝรั่งเศสร้อนกรอบกับไข่ออมเล็ตไส้ชีสทรัฟเฟิล ข้างกันคือสมุดบัญชีใหม่สีครีม เปิดหน้าแรกมีตัวเลขเจ็ดหลักเรียงห้าหน้า และซองเอกสารปึกหนาผูกริบบิ้นแดงเลือดนก บนกระดาษโน้ตขาวสะอาด มีลายมือคมคายของเขาเพียงประโยคสั้น
[ไปเรียนแล้วก็กลับให้ตรงเวลา อย่าได้คิดชิ่งหนีไปไหน ไม่งั้นฉันจะลงไปลากตัวเธอขึ้นมาจากปรโลก]
มินตราสั่นมือวางกระดาษลงเธอลูบแผ่นท้องแบนราบใต้ผ้าห่มก่อนถอนหายใจยาวเหยียด น้ำตาหนึ่งหยดตกบนลายมือเขา เธอไม่แน่ใจว่าหยดนั้นคือความหวาดกลัวความสิ้นหวัง หรือความวูบไหวแปลกประหลาดในอกเมื่อรู้ว่ามีใครสักคนต้องการเธอจนยอมซื้อชีวิตทั้งหมดไว้
แสงแดดยามสายทาบผ้าม่านงาช้างเป็นลายหยัก ฝนหยุดร้องไห้แล้ว แต่ในอกเธอยังคล้ายสายฝนค้างฟ้าไม่รู้จะตกลงมาอีกเมื่อไร เธอกุมเสื้อนักศึกษาที่แขวนไว้ปลายเตียง
ป้ายราคาแสนแพงห้อยเคียงโลโก้มหา’ลัย ผู้ชายคนนั้นซื้อแม้แต่คุณค่าการศึกษาเธอในชั่วคืนเดียว เธออยากร้องไห้แต่กลับหัวเราะเบาๆ เพราะถ้าโลกยอมขายทุกอย่างเพื่อเงินเธอก็คงต้องเรียนรู้วิธีเอาชีวิตรอดในกรงทองของเขาไม่ว่ากรงนั้นจะโดดเดี่ยวเพียงใด
เสียงมือถือใหม่เอี่ยมสีเทาด้านดังสั่นบนโต๊ะ ข้อความแรกจากเบอร์ไม่บันทึกขึ้นแจ้งเพียงสติ๊กเกอร์ตุ๊กตาหมีถือดอกกุหลาบ ตามด้วยข้อความสั้นๆ อีกบรรทัด
> ถ้าอาหารเย็นแล้วก็อุ่นกินก่อนไปเรียน เดี๋ยวมันไม่อร่อย
มินตราเผลอยิ้มทั้งน้ำตาก่อนรีบเช็ดมันออกเธอเข้าใจในวินาทีนั้นว่าตำแหน่ง เมียลับไม่ได้จบแค่เตียงคืนแรกแต่มันเริ่มต้นจะค่อยๆ กลืนกินชีวิตเธอทีละคำ และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น คือหัวใจเธอกลับยอมก้าวเข้าไปในพื้นที่ของเขาอย่างเต็มใจ
“ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็จงทำสิ่งที่เลือกแล้วอย่างเต็มใจ อย่ารังเกียจในสิ่งที่ตัวเองเลือกแล้ว”
คำพูดของเพื่อนรุ่นพี่เคยพูดในวันรับน้องผุดขึ้นกลางหัว มินตราหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะหยิบส้อมตักไข่ออมเล็ตเข้าปาก แสงเช้าในคอนโดหรูหวานละมุนขึ้นราวกับน้ำผึ้งเคลือบลิ้นขณะแกนหัวใจยังสั่นสะท้านอยู่กับรสสัมผัสของเขาที่ไม่จางไปไหน
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเด็กสาวธรรมดาที่จะกลายเป็นเมียลับนายทุนผู้สั่นคลอนโลกเย็นชาในหัวใจชายที่ซื้อมาทุกอย่างได้ด้วยเงินยกเว้นความรัก แต่เธอกำลังทำให้ราคานั้นพังทลายอย่างไม่รู้ตัว