“หิวหรือเปล่า อยากกินอะไรมั้ย” ปราณต์หันมาถามหลังออกจากร้านเสื้อผ้าแล้ว
“ไม่ค่ะ” นัสรินตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดอะไรกับเขาในตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับ”
มือข้างหนึ่งตวัดมากระชับมือของเธอแล้วจูงให้เดินตาม อีกมือถือถุงเสื้อผ้าที่เขาบอกพนักงานขายให้รวมใส่ถุงแค่สามถุงเพื่อจะได้ไม่พะรุงพะรัง แล้วเดินเคียงคู่กันออกไปยังรถ ทำให้นัสรินอดคิดไม่ได้ ตอนนี้ท่าทางที่เขากำลังปฏิบัติกับเธอคงทำให้คนมองเข้าใจว่า เธอกับเขาเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่มาเดินเที่ยวห้างซื้อของด้วยกันในวันหยุด มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เธอเป็นเมียเก็บและนางบำเรอของเขาเต็มตัวแล้ว
นัสรินแปลกใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าปราณต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านของเขาอย่างที่เธอคิด แต่เบนจุดหมายไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขามีธุระจะทำต่อ ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้างเขาบอกเธอว่าจะพากลับ
ตาคู่สวยมองถนนเส้นนั้นอย่างคุ้นเคย เพราะมันเป็นถนนที่ไปยังบ้านของเธอ และเมื่อปราณต์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอจริงๆ เธอก็หันไปมองเขาอย่างหวาดหวั่น
“คุณพานัสมาที่นี่ทำไมคะ” นัสรินรีบถามอย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรห่ามๆ ให้เธอได้อับอายขายหน้าพ่อแม่อีก แต่ก็ผิดคาดเพราะเขาแค่หันกลับมาพูดด้วยประโยคที่นัสรินไม่คิดว่าจะได้ยิน
“คืนนี้อนุญาตให้ค้างคืนที่บ้านได้วันหนึ่ง”
“นัสนึกว่าคุณจะพานัสกลับไปที่บ้านคุณเสียอีก” นัสรินพึมพำความคิดของตัวเองออกมา
“ก็อยากพาไปนะ แต่ก็ไม่อยากให้คุณกรำศึกหนักเกินไป หรือว่าคุณไหว” เขาหันมาถามพลางจ้องหน้าเนียนของเธอจนคนมองหน้าร้อน
“นัสไม่ได้หื่นเหมือนคุณนี่คะ จะได้อยากตลอดเวลา”
“ผิดแล้วละนัสริน คุณเองก็หื่นพอกัน หรือต้องให้ผมสาธยายว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรกับร่างกายของผมบ้าง”
นัสรินหน้าแดงก่ำเมื่อถูกย้อนเช่นนั้น ภาพเมื่อคืนยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ แม้เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มแต่ในระหว่างทางเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ให้ฝ่ายเดียว เขายังสอนและใช้ประสบการณ์ที่มากกว่าบีบบังคับให้เธอเป็นฝ่ายทำในสิ่งที่เขาต้องการจะให้ทำ ซึ่งแรกๆ ก็เหมือนจะถูกบังคับ ทว่าตอนหลังนัสรินรู้ดีว่าตัวเองทำไปเพราะความปรารถนาในส่วนลึกและพอใจที่ได้เห็นเขาครางระส่ำจากฝีมือตัวเอง
“คนบ้า! ชอบพูดอะไรให้คนอื่นขายหน้าอยู่เรื่อย”
“ผมไม่ได้ถนัดแค่พูดนะ ทำผมก็ถนัด”
“นัสรู้ซึ้งดีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าบ้านเถอะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะเด็กดี” เขาบอกเสียงนุ่มและทำให้สิ่งที่นัสรินต้องวาบหวามด้วยการยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มใสของเธอ คนถูกหอมแก้มได้แต่มองค้อน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากผลักประตูรถลงไป แล้วเดินเข้าบ้านไปหาพ่อแม่ โดยไม่ยอมหยิบถุงเสื้อผ้าไปด้วย ใครเป็นคนซื้อก็ถือกลับไปเชียงใหม่เอาเองก็แล้วกัน
พลตรีชยุตและคุณนิภาต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ โดยที่คุณนิภาเป็นฝ่ายอุทานออกมาเมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวเดินเข้ามาในบ้าน หญิงสาวตรงเข้าไปกราบที่ตักพ่อกับแม่ จากนั้นร่างบางก็ถูกมารดาดึงเข้าไปกอดและหอมแก้มซ้ายขวาอย่างคิดถึง
“มาได้ไงยัยนัส ทำไมไม่โทร.มาบอกพ่อกับแม่ก่อน”
“ก็กะจะมาเซอร์ไพรส์ไงคะ” นัสรินตอบพลางยิ้มอย่างร่าเริงกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง
“แล้วนี่เพิ่งมาถึงเหรอ มายังไงทำไมไม่โทร.บอกให้พ่อกับแม่ไปรับ” คุณนิภาซักต่อ นัสรินพยายามจะไม่สบตามารดาโดยซบหน้าลงที่อก ก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่ตรงกับความจริงเลยสักนิด
“นัสไม่อยากกวนคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ก็เลยนั่งรถแท็กซี่มา” ตอบเสร็จก็กล่าวขอโทษมารดาในใจที่พูดจามดเท็จ
“แล้วเป็นยังไงไปอยู่เชียงใหม่ มีเรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า เล่าให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยซิ”
“ก็เรื่อยๆ ค่ะคุณแม่ ไม่มีอะไรมาก”
“แล้วได้พบแม่เลี้ยงลักษิกาบ้างหรือเปล่า” มารดาถามถึงอดีตคนที่เคยเกี่ยวดองกัน อย่างน้อยแม่เลี้ยงลักษิกาก็เป็นผู้ใหญ่ที่นับว่าเมตตาลูกสาวของตนมาก ถึงแม้ว่าชีวิตการแต่งงานของลูกสาวของตนกับลูกชายของแม่เลี้ยงจะพังลงไม่เป็นท่าก็ตาม
“พบค่ะ ท่านยังเมตตานัสเหมือนเดิม”
“แล้วหมอปราณต์ล่ะลูก ได้เจอกันบ้างไหม”
คำถามนั้นของมารดาทำให้นัสรินที่โกหกไม่เก่งเริ่มอึกอักและนิ่งงันไปชั่วขณะ เพราะหาคำพูดมาตอบไม่ได้
“ว่าไงล่ะยัยนัสทำไมเงียบไป” คุณนิภาถามซ้ำและหลุบตาลงมองลูกสาวอย่างสงสัย
“เปล่าค่ะ...ที่นัสเงียบก็เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง”
“ตอบตามตรงสิ หรือว่าเดี๋ยวนี้มีความลับกับพ่อแม่”
เป็นอีกครั้งที่นัสรินไม่กล้าสู้สายตามารดา หากเป็นแต่ก่อนเธอเองคงไม่มีความลับใดๆ และกล้าที่จะพูดจากับพ่อแม่ตรงๆ แต่ในยามนี้เรื่องจริงบางเรื่องเธอก็ไม่อาจเอ่ยถึงได้ เพราะมันจะนำมาซึ่งความไม่สบายใจต่อบุพการีทั้งสอง
“ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็ได้เจอกันบ้างค่ะ”
“แล้วหมอปราณต์มีท่าทียังไง”
“ก็ไม่มีอะไรค่ะ ทักทายกันตามปกติ”
“แค่นั้นน่ะเหรอ” คุณนิภาถามอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อนัก นัสรินจึงต้องรีบฉีกยิ้มพร้อมกับทำสีหน้าและแววตาให้ดูสดใสร่าเริง
“แค่นั้นจริงๆ ค่ะคุณแม่”
คุณนิภาไม่ค่อยอยากเชื่อนัก ธรรมชาติของนัสรินเป็นคนโกหกไม่เก่ง แม้จะเป็นห่วงแค่ไหนแต่ในยามนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักไซ้ไล่เรียงหรือบีบคั้นลูกสาว เพราะนัสรินโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณนิภาจึงคิดว่าจะให้นัสรินเป็นคนตัดสินใจในทุกๆ เรื่องด้วยตัวเอง หากเรื่องไหนที่ลูกสาวเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงแล้วมาขอคำปรึกษาก็ค่อยว่ากัน
บทที่ 40ทันทีที่กลับมาทำงานเชียงใหม่ในเช้าวันจันทร์ นัสรินก็ได้รับโทรศัพท์จากกิตติ บอกว่าทางโรงพยาบาลจะจัดงานเลี้ยงราตรีสโมสรเพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ บริษัทของเธอในฐานะซัพพลายเออร์จึงต้องไปร่วมงานดังกล่าวและนำทุนส่วนหนึ่งไปมอบให้เพื่อแสดงไมตรีจิต และนัสรินก็ถูกมอบหมายจากกิตติให้ไปร่วมงานดังกล่าวนัสรินรับปากแต่ก็คิดหนัก เพราะคาดว่าต้องเจอปราณต์ในงานนั้นแน่ๆ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่า คนในงานน่าจะเยอะอยู่พอสมควร หากเธอหลบเลี่ยงดีๆ ก็คงหนีสายตาของปราณต์พ้น ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นปัญหาก็คือเรื่องชุดที่จะใส่ไปร่วมงาน เธอไม่ได้เตรียมชุดเพื่อจะออกงานกลางคืนมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจะต้องได้ไป ดังนั้นหลังจากเคลียร์งานที่โต๊ะเสร็จ นัสรินจึงขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเชียงใหม่ เพื่อหาชุดราคาจับต้องได้สักชุดสำหรับใส่ไปร่วมงานร่างบางเดินแค่มองสำรวจ ยังไม่ได้แวะร้านไหน เพราะอยากดูโดยรวมก่อน เดินดูชุดร้านนั้นร้านนี้ผ่านกระจกหน้าร้านไปเรื่อยๆ ก็คิดถึงเสื้อผ้าที่ปราณต์พาไปซื้อ ชุดที่เขาซื้อให้มีแต่ชุดแพงๆ วันนั้นเขาหมดไปหลายหมื่นเหมือนกัน ทว่าเธอก็ทิ้งชุดพวกนั้นไว้ในร
บทที่ 41“จะไปงานอะไรคะแม่เลี้ยง”“หนูนัสจะไปงานเลี้ยงราตรีสโมสรของโรงพยาบาล น่าจะจัดที่หอประชุมจังหวัดนั่นแหละ แต่ฉันอยากให้ลูกสะใภ้ของฉันสวยและเด่นที่สุดในงาน คุณวรรณจัดให้ได้ไหม”“ไม่มีปัญหาค่ะแม่เลี้ยง เชิญวัดตัวค่ะคุณนัส”“คุณแม่คะ...” นัสรินกำลังจะเอ่ยแย้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่แม่เลี้ยงลักษิกาไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธใดๆ“แม่เองก็ถูกเชิญให้ไปงานนี้เหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ใครไปแทน เห็นหนูนัสว่าจะไปแม่ก็เลยคิดออก ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกันนะ แม่จะให้หนูนัสเอาซองของแม่ไปด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทด้วย ของแม่ด้วย พอดีช่วงนี้แม่ขี้เกียจออกงาน แก่แล้วก็อยากอยู่กับลูกกับหลานสบายๆ บ้าง”เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับเช่นนั้น นัสรินจึงจำต้องยอมให้เจ้าของห้องเสื้อวัดตัวและเลือกแบบชุดให้ตามที่เห็นสมควร พอวัดตัวและเลือกแบบชุดเสร็จแม่เลี้ยงก็สั่งกำชับวรรณาว่า ขอให้เร่งตัดชุดและนำชุดไปส่งให้กับนัสรินที่อพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากวรรณากลับไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็ไปเปิดเซฟ เขียนเช็คใส่ซองสำหรับบริจาคสมทบทุนให้กับโรงพยาบาล พร้อมกับถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ ติดมือมาด้วยกล่องหนึ่ง“นี่เป็นซองที่แม่จะฝากไป
บทที่ 42“ไปเต้นรำกันมั้ยครับคุณนัสริน” หมออรรณพเอ่ยชวน ซึ่งนัสรินตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอเหลือบไปเห็นว่าตอนนี้ปราณต์กับเมธาวีควงกันออกไปเต้นรำ เธอจึงตอบรับคำเชิญของหมออรรณพภาพที่นายแพทย์หนุ่มหล่อเนื้อหอมอย่างปราณต์ โอบกอดเมธาวีขยับไปตามจังหวะเพลง ทำให้เมธาวีกลายเป็นที่อิจฉาของผู้หญิงทั้งงาน เพราะปราณต์เป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในงานนี้ แถมทุกคนก็รู้ดีว่าเขาเป็นทายาทคนโตของแม่เลี้ยงระดับเศรษฐีนีอันดับต้นๆ ของเชียงใหม่ จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นที่หมายปองของสาวๆ นัสรินเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มองไปยังคู่เต้นรำนั้นอย่างอดไม่ได้ หมออรรณพซึ่งพอจะมองออกว่าหญิงสาวที่กำลังเต้นรำกับตนอยู่ตอนนี้ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสนใจกับหมอปราณต์ เขาจึงรีบพูดหยั่งเชิงพร้อมกับกันท่าไปในคราวเดียวกัน“คุณนัสรินกำลังมองคู่ของหมอปราณต์กับหมอเมธาวีอยู่เหมือนกันเหรอครับ”“ค่ะ...” นัสรินไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเพราะตัวเองก็กำลังมองไปยังทั้งคู่อยู่จริงๆ จึงได้แต่ยอมรับสั้นๆ“ไม่แปลกหรอกครับที่คุณนัสรินจะมอง คู่นี้หล่อสวยแถมรวยทั้งคู่ ผมได้ยินทุกคนในงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคู่นี้ช่างสมกันเหลือเกิน ไม่นานก็น่าจะมีข่าวดี”“งั้น
บทที่ 43น้ำเสียงนั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธและดูแคลน จบคำปราณต์ก็ก้มลงระดมจูบมาตามใบหน้างดงามอย่างรุนแรงดิบเถื่อน นัสรินพยายามจะเบี่ยงศีรษะหนี แต่ก็ไม่พ้นเพราะปราณต์สอดมือเข้าใต้ท้ายทอยของเธอตรึงเอาไว้ให้อยู่กับที่ ทำให้กลีบปากนุ่มต้องรับแรงบดขยี้จากปากของคนที่กำลังถูกความโกรธครอบงำอย่างเต็มๆนัสรินได้แต่ร้องครางประท้วงในลำคอ ทั้งเจ็บกาย ทั้งเจ็บปวดในใจที่ถูกเขากระทำราวกับเป็นผู้หญิงข้างถนนที่ใครจะแสดงกิริยาป่าเถื่อนใส่ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เธอพยายามดิ้นและเบี่ยงหน้าให้พ้นจากปากเขา แต่มือที่ประคองอยู่นั้นกลับแน่นราวกับปลอกเหล็ก และยิ่งเธอดิ้นแรงมากเท่าไหร่ ปราณต์ก็ยิ่งบดขยี้ปากลงมาแรงมากเท่านั้น จนในที่สุดนัสรินก็รู้สึกว่าปากของตัวเองบวมช้ำไปหมด เธอจึงยืนนิ่งให้เขารังแกเอาตามชอบใจ และตอนนั้นปราณต์จึงหยุดการกระทำของตัวเอง“คนใจร้าย...มากับคนรักแท้ๆ ทำไมไม่ไปยุ่งกับคนรักของตัวเอง...ตามมาระรานนัสทำไม” นัสรินถามเสียงเครือเจือไว้ด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา“ก็เพราะผู้หญิงบางคนมีค่าน่าทะนุถนอม แต่กับบางคนก็มีค่าเพียงเพื่อใช้ระบายอารมณ์ไงล่ะนัสริน”“แล้วพอใจหรือยังคะ อยากทำอะไรนัสอีกก็เชิญ”“
บทที่ 44รถญี่ปุ่นยี่ห้อดังแล่นฉิวไปตามถนนที่ค่อนข้างโล่ง เพราะเป็นเวลากลางคืนซึ่งมีการจราจรบางเบา นัสรินพยายามจะห้ามน้ำตา แต่มันก็ยังไหลรินออกมาตลอดเวลา และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หญิงสาวมัวแต่ว้าวุ่นกับความคิดของตัวเองจนลืมหยุดรถ ทั้งที่ตอนนี้ไฟจราจรตรงหน้าเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงแล้ว รถที่แล่นออกไปกลางสี่แยกจึงถูกกระแทกด้วยรถกระบะที่พุ่งออกมาจากอีกฟากถนนอย่างแรง เสียงกระแทกของรถดังโครมสนั่นกลางสี่แยก ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของคนที่เห็นเหตุการณ์ โชคยังดีเหลือคณาที่รถกระบะคันนั้นไม่ได้กระแทกเข้าที่ตอนหน้าของรถ แต่กระแทกเข้าที่ตอนหลังของรถเท่านั้น ทว่าแรงกระแทกก็ทำให้รถของนัสรินเสียหลักและหมุนติ้วๆ ก่อนจะพุ่งไปชนกับเกาะกลางถนน ตอนนั้นเองรถจึงหยุดการเคลื่อนไหวนัสรินรู้สึกมึนงงอยู่ชั่วขณะ เธอพยายามตั้งสติ แต่ก็แพ้ต่อการกระทบกระเทือนทางร่างกาย แม้ว่าถุงลมนิรภัยจะพองตัวออกมาป้องกันการกระแทก แต่เธอก็รู้สึกแน่นหน้าอกราวกับจะขาดอากาศหายใจ จนกระดิกตัวช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จมูกเหมือนมีของเหลวหนืดข้นไหลออกมา เมื่อยกมืออันสั่นเทาจับดูจึงรู้ว่ามันคือเลือด หรือว่าเธอกำลังจะตาย ความ
บทที่ 45ตาคู่สวยหลับลงเพราะไม่อยากรับรู้เรื่องของเขาอีกแล้ว หากแต่คนมาเยี่ยมกลับเข้าใจว่าเธอต้องการพักผ่อน จึงบอกให้เธอหลับและออกไปจากห้องคล้อยหลังทุกคนน้ำตาหยดใสๆ ก็ไหลรินออกมาจากหางตา เพื่อระบายความเจ็บปวดลึกๆ ในหัวใจที่ตัวเองพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่น้ำตาที่เพิ่งไหลออกมาได้ไม่นานนั้นก็ถูกเช็ดด้วยมือบางข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือเสียบอย่างรวดเร็ว เมื่อมีเสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตู คล้ายกับมีคนกำลังจะเข้ามา เธอไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเองจึงรีบเช็ดน้ำตาให้แห้งร่างสูงของคนที่ก้าวเข้ามายืนข้างเตียง ทำให้นัสรินต้องเมินหน้าหนี พร้อมกับพูดขึ้นอย่างอดประชดประชันไม่ได้“มาดูเหรอคะว่าสมบัติส่วนตัวมีส่วนไหนบุบสลายหรือเปล่า ถ้ามาดูแค่นั้นก็สบายใจได้ค่ะ นัสยังอยู่ครบสามสิบสองประการ สามารถใช้งานได้อีกนาน”“ผมสบายใจตั้งแต่แรกแล้วละ เพราะผมเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ”ปราณต์ยิ้มเยือนอย่างที่เธอไม่อยากเห็น นั่นคงเป็นเพราะตอนนี้นอกจากที่เธอติดหนี้แค้นในเรื่องมัดมือชกเขาให้แต่งงานด้วยแล้ว เธอยังติดหนี้บุญคุณที่เขาช่วยชีวิตของเธอเอาไว้อีก“ฮึ” นัสรินทำเสียงในลำคออย่างเจ็บใจตัวเอง“ขั
บทที่ 46วันนี้เป็นวันที่สามที่นัสรินได้รับอนุญาตจากหมอให้ออกจากโรงพยาบาล อาการของเธอเป็นปกติเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว กิตติหัวหน้าของเธอโทร.มาไถ่ถามอาการ และบอกว่าบริษัทจัดเตรียมรถคันใหม่สำหรับให้เธอขับไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนคันเก่าและรถของคู่กรณีก็ส่งซ่อมโดยใช้สิทธิ์เคลมกับประกัน นัสรินจึงไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายใดๆ แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดกับความประมาทของตัวเองจนทำให้ทรัพย์สินของบริษัทเสียหาย และทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี ดังนั้นเมื่อร่างกายไหว เธอจึงไม่รีรอที่จะเดินทางไปพบคู่กรณี กล่าวขอโทษกับความประมาทของตัวเอง พร้อมกับมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าทำขวัญ ฝ่ายคู่กรณีจะไม่รับเพราะเห็นว่าเธอเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ส่วนเขาแค่เพียงรถเสียหายเท่านั้น แต่นัสรินก็คะยั้นคะยอให้รับจนได้ ทั้งสองฝ่ายจึงจบปัญหากันด้วยดีหลังจากนั้นนัสรินก็ออกไปทำงานตามปกติ เธอตั้งใจจะทำงานให้เต็มที่ เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้ชดเชยให้กับบริษัทบ้างตามที่ตัวเองมีกำลังจะทำได้ร่างบางนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง โดยก่อนเข้ามาทั้งแม่บ้านและรปภ.ต่างก็ไถ่ถามด้วยความห่วงใย นัสรินได้แต่บอกเธอเองไม่เป็นอะไรมาก แ
บทที่ 47“ถามแต่ออยว่าแต่คุณปราณต์เถอะค่ะ มาทำอะไรที่นี่คะ อย่าบอกนะว่ามาหายัยนัส”“ครับตอนแรกก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น เขาลืมของไว้ในรถผมก็เลยจะเอามาให้”“เอ...คุณกับยัยนัสนี่มันยังไงกันคะ ออยได้ยินมาว่าคุณกับยัยนัสหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าจะรีเทิร์นคะ” พินทุสรถามตรงๆ อย่างไม่คิดจะอ้อมค้อมใดๆ“เรื่องมันยาวน่ะครับ ยืนพูดตรงนี้คุณก็คงจะยืนฟังขาแข็ง แล้วนี่คุณออยกำลังจะไปไหนครับ” ปราณต์เปลี่ยนประเด็นโดยไม่ให้คนฟังรู้ว่าเขายังอยู่ในประเด็น“พอดีออยหิวน่ะค่ะ ก็เลยว่าจะขับรถไปหาอะไรกินแถวๆ นี้หน่อย ชวนยัยนัสแต่เห็นว่าต้องเคลียร์งานต่อ ออยก็เลยต้องไปคนเดียว”“งั้นไปรถผมดีกว่า ผมเป็นเจ้าถิ่น ขอเลี้ยงเพื่อนเก่าของอดีตภรรยา หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”“เอางั้นก็ได้ค่ะ ออยชิลชิลไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ท่าทางคุณปราณต์ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่อย่างนั้นครั้งหนึ่งยัยนัสคงไม่ยอมแต่งงานด้วยง่ายๆ หรอกค่ะ”ปราณต์แค่ยิ้มนิดๆ ไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไรในตอนนั้น แต่ยังไงเสียเขาก็ต้องพูดจาแบบเปิดใจกับผู้หญิงตรงหน้านี้อยู่แล้วนัสรินเหลือบตามองเวลาที่หน้าจอแล็ปท็อปอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วงเพื่อน พินทุส
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน