“พี่มนครับ ทางนี้”
เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นเมื่อมนลิตามาถึงโต๊ะทำงาน เธอหันซ้ายหันขวาจึงเห็นว่าเจ้าต้นยืนหลบอยู่หลังประตูพลางกวักมือเรียกไว ๆ เธอจึงเร่งฝีเท้าไปหาเพราะกำลังอยากเจอตัวอยู่พอดี
“กุญแจรถพี่ล่ะ”
หญิงสาวแบมือป้อมออกไปตรงหน้า ต้นรีบยื่นให้พลางค่อมหัวเล็กน้อยหลังจากนอนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนและประติดประต่อเรื่องราวประกอบกับสังเกตเห็นแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพี่มนน่าจะมีความสัมพันธ์กับท่านประธานมากกว่าเจ้านายลูกน้องแน่นอน
“ไอ้ต้น ทำไมต้องทำท่าเกรงอกเกรงใจฉันแบบนั้นด้วย”
มือยื่นออกไปคว้าคอเสื้อของผู้ชายร่างสูงกว่าจนแทบหงายหลัง แม้จะหลบสายตาแต่ก็ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ จึงทำได้เพียงแค่ส่งรอยยิ้มไปให้
“เอ้า พูดมาสิ มัวแต่มายืนมองหน้าฉันเดี๋ยวก็เข้างานไม่ทันหรอก”
มนลิตาขึ้นเสียงอีกครั้งพลางเท้าสะเอว ต้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเปิดปากพูดออกมาด้วยท่าทีเกรงใจ
“ก็พี่กับท่านประธานเป็นผัว...”
“ไอ้ต้นหยุด!”
หญิงสาวรู้ว่าช่างกล้องหนุ่มกำลังจะพูดอะไรจึงรีบกระโดดเอามือปิดปากเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะหลุดพูดความลับทั้งหมดออกมา เพราะว่าพนักงานอยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช่น้อย
ต้นได้แต่ตีมืออวบแป๊ะเพื่อบอกว่าให้ปล่อยเพราะเจ้าตัวหายใจไม่ออกแล้ว พี่เขาเล่นปิดทั้งปากปิดทั้งจมูกก็เลยหายใจไม่ออก
“อย่าคิดพูดเรื่องนี้หรือเล่าให้ใครฟังเด็ดขาดไม่อย่างนั้น ฉันเอาแก
ตายแน่”
ชายหนุ่มรีบพยักหน้ารับปากเพราะไม่อย่างนั้นได้ขาดอากาศหายใจตายก่อนพอดี มนลิตาจึงลดมือลง ต้นรีบอ้าปากสูดเอาออกซิเจนทันที
“เรื่องจริงเหรอพี่ ผมแค่คาดเดาเอาจากสถานการณ์แล้วก็แหวนนิ้วนางข้างซ้ายพี่เองนะ”
ยังคงไม่หายสงสัย ใครจะไปคิดล่ะว่าผู้ชายเพรียบพร้อมทุกอย่าง
ทั้งหน้าตาและฐานะจะมาแต่งงานแล้วกับผู้หญิงตัวอ้วน หน้าตาก็ธรรมดา ๆ อย่างพี่มนลิตาได้
“เรื่องบางเรื่องพี่ก็เล่าให้ฟังไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าพี่ขอร้องก็แล้วกัน”
แววตาหม่นลงของมนลิตาทำให้ต้นนึกเห็นใจจึงพยักหน้ารับปากอีกครั้ง ระหว่างนั้นพี่ท๊อปเดินผ่านมาทางนี้พอดีบทสนทนาเมื่อครู่จึงหยุดลง
“สวัสดีคนดัง มาทำงานแต่เช้าเลยนะ”
“คนดังอะไรกันล่ะพี่ท๊อป ก็แค่หาศพเจอหาหลักฐานเจอก็เท่านั้น”
ทั้งพูดทั้งก้าวเดินเคียงข้างกันไปอย่างอารมณ์ดีเพราะเรตติ้งข่าวเมื่อวานพุ่งปรี๊ดจนแทบทะลุเพดาน ก่อนฝีเท้าจะชะงักลงเมื่อประธานบริหารช่องเดินผ่านมาทางนั้นพอดี
เวทัศเพียงแค่ชำเลืองตามองร่างอ้วนของคนเป็นเมียเท่านั้นก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่หูก็ยังแว่วได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ต่อจากนั้น
“เออ ไปไหนมาไหนช่วงนี้ก็ระวังตัวหน่อยนะมน”
“ทำไมเหรอพี่ท๊อป หรือฉันไปทำข่าวเหยียบตาปลาขาใหญ่ที่ไหนเข้าเหรอ”
มนลิตาพูดหยอกเล่น สีหน้าของท๊อปไม่เล่นด้วยหัวคิ้วย่นเข้าหากันแทบชิดพลางส่ายหน้าไปมา
“ไม่ใช่เรื่องเส้นสายหรอก แต่เป็นเรื่องของเหยื่อที่แกไปเจอมาเมื่อวานนั่นแหละ สารวัตรโทรมาบอกว่าคนร้ายเห็นข่าวและไหวตัวทัน ตอนนี้หนีไปแล้ว อีกอย่างมันแค้นแกมากและจำหน้าแกได้”
เป็นเรื่องที่ท๊อปเป็นกังวลมากกว่าสิ่งอื่นใดเพราะตั้งแต่เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวอาชญากรรมมาไม่เคยเจอลูกน้องลุยทำข่าวหนักขนาดนี้มาก่อนและที่สำคัญเลยตัวฆาตกรเองก็อาฆาตแค้นอยู่ไม่ใช่น้อย
ไม่อย่างนั้นไม่ทิ้งจดหมายขู่ฆ่าเอาไว้อย่างนั้นหรอก เขาไม่อยากให้น้องในทีมเป็นกังวลจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ฟัง
“พี่ท๊อปไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันทำงานเป็นนักข่าวยังไงเรื่องพวกนี้มันก็มีบ้างที่จะต้องเสี่ยง ฉันจึงพก...”
มนลิตาหันมองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน ต้นเบิกตากว้างยกมือขึ้นอุดปาก
“ถูกกฎหมายไหม”
หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านไปพร้อมกับHRของบริษัท
“คุณอินทุภารอตรงนี้ก่อนนะคะ ฉันจะเข้าไปถามท่านประธานก่อนว่าพร้อมสัมภาษณ์งานคุณแล้วหรือยัง”
“ค่ะ”
อินทุภาตอบรับแล้วเบือนสายตามองไปยังป้ายชื่อหน้าห้องทำงานด้านหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้น ฉันกลับมาแล้วนะคะเวย์ ขอโทษที่ทิ้งเพชรอย่างคุณไปคว้าเอาก้อนกรวด
HR สาวเดินไปบอกเลขาฯ ไม่นานก็เดินกลับมาเชิญเธอเข้าไปในห้องทำงาน ร่างระหงลุกขึ้นสำรวจร่างกายตัวเองและผมเผ้าว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องและสูดหายใจเข้าปอดครู่หนึ่งเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากเลขาฯ โทรเข้ามาแจ้งว่าจะมีผู้มาสัมภาษณ์ตำแหน่งผู้ประกาศข่าวคนใหม่ เวทัศขานรับว่าให้เข้ามาได้โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งปลายรองเท้าส้นสูงมาหยุดอยู่ระดับสายตาเขาพอดี
“เชิญนั่ง...”
เขาบอกกับผู้สัมภาษณ์งานพร้อมกับผายมือเชิญแต่แล้วก็ต้องชะงักลงเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก เกือบสี่แล้วที่เขากับเธอไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่ถูกบอกเลิก
“ดีใจที่ได้เจอนะคะ คุณเวย์”
รอยยิ้มหวานยังคงเหมือนเดิม ใบหน้าหล่อเอาแต่จับจ้องไม่วางตาจนอินทุภาเริ่มทำตัวไม่ถูกจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นใหม่อีกครั้ง
“สบายดีใช่ไหมคะ”
“ครับ สบายดี”
แฟ้มงานในมือถูกพับเก็บเพื่อโฟกัสกับคนตรงหน้า เขาไม่ถามกลับว่าเธอสบายดีไหม เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาพอจะรับรู้เรื่องเธอผ่านภูริอยู่บ้าง ซึ่งภูริเป็นเพื่อนสนิททั้งอินทุภาและเวทัศ
หลังจากเลิกกันไปเพื่อนเขาก็บินไปเรียนต่อและทำงานต่างประเทศ ส่วนอินทุภาก็โชคดีได้ทำตามฝันคือได้ไปเป็นผู้ประกาศข่าวอยู่ช่องทีวีของต่างประเทศเหมือนกัน
“ถ้างั้นเรามาสัมภาษณ์งานกันเลยนะครับ”
แม้จะดีใจที่ได้พบหน้าแต่สถานนะตอนนี้ยังทำให้ทั้งคู่ทักทายกันแบบสนิทสนมไม่ได้
“คุณมีแฟนแล้วหรือยัง” คำถามแรกทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“อันนี้มันเกี่ยวกับเรื่องงานด้วยเหรอคะ”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย”
“ยังไม่มีค่ะ ตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าไปฉันไม่เคยมีใครเลย”
เธอจ้องหน้าเขานิ่ง มองลึกเข้าไปในแววตาเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธอไม่เคยลืมเขาไปเลย และพร้อมแล้วที่จะกลับมาทวงเขาคืนแม้จะต้องปีนต้นงิ้วก็ตาม
หัวใจด้านชากระตุกวูบเล็กน้อย มันรู้สึกดีใจแปลก ๆ ชอบกล หากใครเอาหูมาแนบฟังคงได้ยินว่ามันเต้นดังและไม่เป็นจังหวะแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้น ผมรับคุณเข้าทำงาน”
“ฮะ คุณเวย์ไม่คิดจะถามเรื่องงานหรืออย่างอื่น เช่นทัศนคติของดิฉันหน่อยเหรอคะ”
“ไม่หรอก เพราะเรื่องของคุณผมติดตามมาตลอด ส่วนทัศนคติและนิสัยของคุณผมรู้ดียิ่งกว่าใครเสียอีก”
เขาทอดมองคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน ซึ่งสายตาแบบนี้อินทุภามักจะเห็นมันอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่ยังคบหากันอยู่
การสัมภาษณ์งานที่ไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องงานเสียด้วยซ้ำ ถูกตอบรับด้วยการตกลงให้เข้ามาทำงานให้เร็วที่สุดโดยไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้บริหารคนอื่นแม้แต่คนเดียวและแน่นอนว่าเรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวนินทาไปทั่วบริษัทภายในชั่วข้ามคืน
‘ประกาศแต่งฟ้าแลบ! รอบสองกับภรรยาคนเก่ากับไฮโซเวทัศ’พาดหัวข่าวหราทุกแพลตฟอร์มและกลายเป็นประเด็นร้อนทุกออนไลน์กับความรักของทั้งคู่ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงและที่สำคัญเจ้าสาวในวันนี้ไม่ใช่ดาราดังหรือผู้หญิงสวยหน้าตาดีรูปร่างสวยเลย เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาแต่มัดหัวใจของชายหนุ่มได้อยู่หมัด“ยินดีด้วยนะ”เสียงแจ้วของกลุ่มก้อนเดิมดังขึ้นนำทีมโดยพี่ท้อปและตามด้วยน้องเล็กของทีมอย่างเจ้าต้น ก่อนหน้านั้นเจอกันแล้วรอบหนึ่งตอนเธอแวะไปแจกซอง พวกเขายังสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นเงียบ ๆ เหมือนเดิมแขกที่เชิญมามีแทบทุกวงการทั้งบันเทิง การเมือง และสายนักข่าว แต่คนที่เจ้าสาวรอมากที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ชายสวมสูทสีครีมกำลังเดินมา“พี่ตุลย์ ขอบคุณนะคะที่มา”“ต้องมาอยู่แล้วน้องสาวคนสวยของพี่แต่งงานทั้งที” กำลังจะยกมือขึ้นยีหัวด้วยความเคยชิน แต่คราวนี้มนลิตาหลบทัน“ฮันแน่ ไม่ได้กินหรอก พี่ยังติดยีหัวเหมือนเดิมเลยนะคะ”“นั่นสิ เป็นสัญชาตญาณของมือมั่ง” ทั้งคู่หัวเราะกันคิกคักจนมองไม่เห็นหัวเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ตรงนั้น“อะแฮม”“อ้าว เจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนี้เหรอ นึกว่ารูปปั้
‘ปัง’เสียงกัมปนาทดังขึ้นสนั่นจนหูอื้อเพราะมันอยู่ใกล้แค่ไม่กี่เมตร ร่างสูงสะดุ้งสุดตัวเขาผลักคนตัวอ้วนไปอีกทางที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาตรงหัวไหล่เขาชำเลืองมองเลือดสีแดงสดกำลังไหลซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวผืนบาง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น“กรี๊ดดดด พี่เวย์ ๆ”มนลิตาแทบคุมสติไม่อยู่รีบถลาตัวเข้าไปประคองเวทัศเอาไว้พร้อมกับตะโกนบอกคนแถวนั้นให้เรียกรถพยาบาล ชายหนุ่มเห็นอาการคนรักสติกระเจิงจึงจับมืออวบที่กำลังสั่นระริกเพราะความตกใจมากุมไว้“มน ใจ...เย็น ๆ นะพี่ไม่เป็นไร”“ไม่เป็นไรได้ยังไง เลือดออกขนาดนี้” น้ำตาร่วงหล่นลงแก้ม ความกลัววิ่งเข้ามาแทนที เธอไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บแต่กลัวว่าเขาจะตาย“พี่ยังไหว แผลแค่นี้เอง” เวทัศพยายามปลอบเธอ แต่นั้นยิ่งทำให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดแทบไม่เป็นภาษา“พี่เวย์ ห้ามเป็นอะไรนะ นี่เป็นคำสั่ง ไหนว่าอยากอยู่กับมนและลูกไง ถ้าเป็นอย่างนี้มนจะอยู่ยังไง”“พี่จะไม่เป็นไร มนอย่าร้องนะ” เขาบีบมือเธอแน่นขึ้น ไม่นานเท่าไรหูก็ได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วมาเจ้าหน้าที่ทำงานเคลื่อนย้ายร่างของเวทัศขึ้นบนเตียง มนลิตากระโดดขึ้นไปบนรถอ้างความเป็นภรรยาทันที รถพยาบ
ในที่สุดวันเวลาของการรอคอยก็มาถึงสักที ทั้งหมดเดินทางมาถึงภูเก็ตด้วยเครื่องบิน พอมาถึงคนของเวทัศก็นำรถมารับถึงสนามบิน“คุณท่านรออยู่ที่โรงแรมแล้วครับ” คนขับรถบอกกับเวทัศแล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ทุกคนนั่ง รถยนต์เคลื่อนตัวตรงไปโรงแรมทันทีโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหาดกะตะบนแนวสันเขาของเกาะบริเวณหน้าโรงแรมเป็นหาดทรายขาวละเอียด มีลักษณะเป็นวงกว้างและมีความโค้ง คลื่นลมสงบ น้ำนิ่งสามารถลงเล่นน้ำได้และที่นี่ยังมีแนวปะการังแปลกตา ยาวไปจนถึงเกาะปู ทำให้เป็นที่ฝึกดำน้ำ และจุดดำน้ำยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสวยงามใต้ทะเล“หูววว พ่อขาทะเล” รถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าโรงแรมเมทิตาชะเง้อคอขึ้นมองแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยความตื่นเต้นตายายหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของหลานแล้วบอกว่าให้รถจากรถก่อนจะได้เห็นชัด ๆ พอก้าวเท้าลงมาคนเป็นย่าก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้วทำให้หนูน้อยลืมน้ำทะเลใสไปเลย“หนูเมย์...”“คุณย่า”ขาสั้นป้อมวิ่งตรงลิ่วไปหาคุณหญิงระย้า แขนเหี่ยวย่นอ้าแขนรับเจ้าตัวเล็กสู่อ้อมกอดแล้วหอมซ้ายหอมขวาเหมือนเคย“คุณย่าขา หนูเมย์ได้นั่งเครื่องบินด้วย บนโน้นมีเมฆ มีนกด้วยค่ะ”เมทิตาเงยหน้าชี้
สองผู้เฒ่านั่งเล่นอยู่ข้างล่างหันมองหน้ากันเชื่อได้เลยไม่นานทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าลูกสาวพวกเขานั้นใจอ่อนตั้งนานแล้วตอนนี้แค่วางฟอร์มเท่านั้น“แม่มนขา พ่อเวย์ขา” น้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นมนลิตาพอจะเดาออกว่าลูกสาวต้องอยากได้หรืออยากไปที่ไหนสักที่แน่นอน“อ้อนจะเอาอะไรอีกคะ”“หนูเมย์อยากไปทะเล วันนี้เพื่อนหนูเมย์บอกว่าพ่อกับแม่พาไปทะเลหนูเมย์อยากไปบ้าง” เด็กหญิงทำหน้าอ้อน ๆ ใส่แม่ หันไปกระพริบตาปริบๆกับคนเป็นพ่อก่อนจะวิ่งอ้อมโต๊ะไปสวมกอดตากับยายเพื่อเอาใจมนลิตาแพ้ทางเวลาเมทิตามาอ้อนเพื่อขออะไรสักอย่าง แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตามใจเสียทุกเรื่องแต่เพราะลูกสาวเธอไม่เคยไปทะเลเลยตั้งแต่เกิดมากำลังจะอ้าปากพูดผู้ชายนั่งข้างก็เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมา“ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนกันทั้งครอบครัวดีไหมครับ ผมจะได้โทรบอกคุณแม่ด้วย”“ดีค่ะ ไปๆ ไปเที่ยวทะเลกัน” เมทิตาตอบรับแทนทุกคนแล้วชูสองแขนขึ้นกระโดดหมุนตัวไปมารอบโต๊ะกินข้าวเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกกับมนลิตาทำให้เขามีความสุขมากขึ้นไม่ต้องมานั่งทำหน้าอมทุกข์เหมือนแต่ก่อน“แล้วเราจะไปทะเลที่ไหนล่ะ ประเทศเรามีทะเลตั้งหลายจังหวัด” ตา
ว่ากันว่าคนเราไม่เคยมีใครเป็นพ่อกับแม่มาก่อนทุกคนมาเริ่มต้นนับหนึ่งเมื่อมีลูกคนแรก ต่างลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นสงสัยมันจะเป็นเรื่องจริง เหมือนกับเขาตอนนี้ที่กำลังฝึกหัดการเป็นพ่อคน คนอื่นโชคดีที่ได้ฝึกเป็นพ่อด้วยการอุ้มลูก เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมนอน แตกต่างจากเขาตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกค้าให้กับช่างแต่งหน้าตัวน้อย“พ่อเวย์สวยที่สุดเลยค่ะ” หนูเมย์ยื่นกระจกให้คนเป็นพ่อดูกับความภาคภูมิใจในการแต่งหน้า เขายิ้มรับให้ลูกแล้วทำท่าตื่นเต้นบนหัวผูกจุกเป็นต้นมะพร้าวสามต้น คิ้วถูกระบายหนาเป็นปลิง เปลือกตาทาด้วยสีฟ้าเข้ม ขนตางอนปัดด้วยมาสคาร่า โหนกแก้มแดงยิ่งกว่าตูดลิง ไฮไลท์ดั้งพุ่งโด่งจนแทบทิ่มตา ตบท้ายด้วยปากสีส้มเข้ากันกับแก้มสุดๆ“เฮ้ออออ” เวทัศพ่นลมหายใจออกมายาว ๆ“ถอนหายใจทำไมคะ ไม่สวยเหรอ” เด็กหญิงย่นคิ้ว เวทัศรีบฉีกยิ้มเอาใจลูกสาวเพียงคนเดียว“สวยค่ะ แต่พ่อว่ารอบหน้าเราลองลดความเข้มของสีตา แก้มลงกว่านี้ดีไหม มันจะต้องสวยมากกว่านี้แน่เลย เววี่คอนเฟิร์มคร๊า!”เวทัศดีดตัวสะดีดสะดิ้งราวกับว่าตัวเองเป็นเป็นสาวประเภทสอง แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นตรงประตูทางเข้าและที่น่าอับอา
ช่วงหลังเลิกงานเขาเอาแต่นั่งทำอาหารเกาหลีแทบทุกวันเพื่อที่อย่างน้อยมันก็บรรเทาความคิดถึงผู้หญิงตรงหน้าได้บ้าง และวันนี้เขาก็ได้มีโอกาสทำให้เธอได้กินแล้ว“กินสิ เดี๋ยวเย็นหมดนะ” ชายหนุ่มเลื่อนจานจาจังมยอนมาให้มนลิตาหลุดออกมาจากภวังค์ใช้ตะเกียบเหล็กคีบเส้นสีดำเข้าปาก ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับน้ำซอสสีดำดวงตากลมประกายวาววับขึ้นมาทันทีมุมปากของเวทัศหยักโค้งขึ้นแทบจะถึงติ่งหู หาเรื่องคุยกับง้อตั้งนานแทบจะไม่ได้ผลแต่พอทำของโปรดไว้ให้เขากลับเห็นความสดใสบนใบหน้าของเธออีกครั้งชายหนุ่มเท้าคางบนเก้าอี้มองหญิงสาวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายเฝ้ามองเธอก็กินอาหารไปจนเกือบหมดโดยลืมชวนคนทำกินเสียด้วยซ้ำ“ไม่กินด้วยกันเหรอคะ”“ไม่ล่ะครับ พี่เห็นมนกินได้ก็ดีใจแล้ว”เอื้อมมือไปหยิบทิชชูจากกล่องไปเช็ดมุมปากที่เปื้อนน้ำซอสสีดำให้แผ่วเบา ดวงตาทั้งคู่สบกันครู่หนึ่งจนเป็นฝ่ายมนลิตาได้สติขึ้นมาก่อน เธอเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเช็ดปากด้วยตัวเอง“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน...”“มนอยากคุยกับพี่เวย์เรื่องนี้พอดีเลยค่ะ”ยังไม่ทันจะบอกจุดประสงค์จบเลยว่าไม่ต้องรีบเขารอได้ ทว่าหญิงสาวก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาเ