ประตูรั้วเลื่อนอัตโนมัติเปิดออกคนเจ้าเนื้อเดินออกมาเหมือนไร้เรี่ยวแรง ใบหน้ายังคงซีดเซียวเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือคราบน้ำตาและนัยน์ตาขาวแดงก่ำซึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ก้าวยังไม่ทันถึงตัวรถก็เหมือนว่าจะล้มลงตุลย์ธรรีบวิ่งเข้าไปประคอง
“มน! เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มนแค่เวียนหัวนิดหน่อยเราไปกันเถอะค่ะ”
หญิงสาวฝืนตัวเองเดินไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง ระหว่างทางดวงตาคู่สวยคลอไปด้วยหยดน้ำใสเหมือนคนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
ตุลย์ธรไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพราะดูจากสภาพจิตใจแล้วคนตัวกลมคงเสียใจจากเรื่องอะไรบางอย่างมา หากอยากเล่าหรือระบายอะไรก็คงเล่าออกมาเองโดยที่เขาไม่ต้องถามให้กระทบกระเทือนจิตใจหรอก
“พี่ตุลย์”
“หืม” สลับสายตาจากท้องถนนหันไปหาคนเรียก
“ช่วยขับรถให้ช้าลงได้ไหมคะ ทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงพิษณุโลกตอนสายของวันพรุ่งนี้ มนไม่อยากตอบคำถามพ่อกับแม่ว่าทำไมถึงกลับบ้านกะทันหันช่วงดึก ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าน้ำมันนะคะ เดี๋ยวมนจัดการทุกอย่างให้เอง”
เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก่อนจะยกกำปั้นทุบหัวตัวเองเบา ๆ ที่เพิ่งนึกได้ว่าไปรบกวนพี่เขานอกเวลาทำงานแถมยังไหว้วานให้พากลับบ้านที่ต่างจังหวัดอีกด้วย
ตุลย์ธรอมยิ้มให้กับความแปรปรวนอารมณ์ของคนนั่งข้างแล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะผ่านลำคอ
“พี่ตุลย์หัวเราะอะไรเหรอคะ”
“ก็หัวเราะเรานั่นแหละ น่าเอ็นดูจริงเชียว ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เขามีงบให้เบิก แต่ถ้ามีส่วนต่างก็แค่จ่ายเอง แต่พี่ขอเป็นคนจ่ายนะเพราะถือว่ามาพักผ่อนไปในตัว”
“มันไม่มากไปเหรอคะ”
“จะมากอะไร ค่าน้ำมันไม่กี่บาท อีกอย่างพี่จำได้ว่าสมัยเรียนมนเคยบอกว่าบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นบ้านสวน พี่ก็เลยอยากไปเห็นกับตาสักครั้ง”
“โฮ นานขนาดนั้นพี่ยังจำได้อีกเหรอคะ”
ความโศกเศร้าหายไปจากแววตาเล็กน้อยเมื่อจุดสนใจเปลี่ยนมาเป็นความหลังของคนทั้งคู่ มนลิตาลืมเรื่องเจ็บปวดจากเวทัศไปชั่วขณะ
“จำได้สิ พี่จำได้ด้วยนะว่าบ้านสวนชื่อว่าลิตาที่มาจากชื่อน้องมน”
“จำเก่ง สมกับที่เรียนคณะนิติศาสตร์จริงเชียว”
หล่อนยิ้มกว้างออกมาก่อนจะอ้าปากหาว ดวงตาปรือลงจนแทบปิด ช่วงนี้เธออ่อนเพลียง่ายแถมยังง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาและก็เพิ่งรู้สาเหตุว่ามาจากที่ตัวเองตั้งครรภ์
“ถ้าง่วงก็นอนเถอะ เดี๋ยวพี่เปิดจีพีเอสไปเริ่มต้นที่ตัวเมืองพิษณุโลกก็แล้วกัน ไปถึงที่นั้นก็น่าจะหกโมงเช้า”
“ถ้าอย่างนั้นมนไม่เกรงใจแล้วนะคะ ง่วงนอนไม่ไหว” ทั้งพูดทั้งอ้าปากหาวกว้างจนแมลงแทบบินเข้าไปวางไข่
เพียงชั่วนาทีเสียงแจ้วเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจที่มาพร้อมกับเสียงกรนเบา ๆ เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
ค่ำคืนที่ต้องนอนโดดเดี่ยวอยู่บนเตียงขนาดคิงไซน์ทำเอาคนตัวโตนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาหลายตลบ คำพูดของมนลิตายังคงตามมารบกวนจิตใจทำให้คิดฟุ้งจนนอนไม่หลับอีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าเธอหายไปไหนทำไมถึงยังไม่ขึ้นมานอนทั้งที่เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะตีสามอยู่แล้ว
ร่างสูงตัดสินใจเดินลงมายังด้านล่างเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงนอนอยู่ตรงโซฟาเพื่อประชดเขาเหมือนอย่างที่เคยทำ ทว่าทุกอย่างกลับมืดมิดไร้เงาของคนตัวกลม
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินหารอบตัวบ้านแต่ก็ไม่เจอจึงตัดสินใจเดินไปยังห้องของป้ามาลัยซึ่งอยู่ด้านหลัง
“มีอะไรคะ คุณเวย์ปลุกป้ามากลางดึกแบบนี้”
ป้ามาลัยสีหูสีตาเปิดประตูออกมาด้วยอาการงัวเงีย แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกรบกวนยามวิกาล แต่เพราะเขาเป็นเจ้านายก็เลยแสดงอาการมากไม่ค่อยได้
“มนลิตา มานอนกับคุณป้าหรือเปล่าครับ”
“เปล่านี่คะ ก็เห็นขึ้นห้องไปรอคุณเวย์ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอคะ”
“เราทะเลาะกันนิดหน่อยครับ แล้วมนเขาก็เดินลงมาจากห้องผมคิดว่าคงลงมาสงบสติอารมณ์”
คิ้วเข้มเริ่มย่นชิดกันเกิดความกังวลขึ้นมาภายในใจและเปลี่ยนเป็นห่วงมากยิ่งขึ้นเมื่อป้ามาลัยยกมือทาบอกเบิกตากว้าง
“ตายแล้ว!”
“มีอะไรครับป้า”
“คุณเวย์อย่าลืมนะคะว่าช่วงนี้คุณมนถูกตามปองร้ายจากฆาตกรที่ไปทำข่าว”
ความร้อนรนคืบคลานเข้ามามากขึ้นเขาผละจากหน้าห้องป้ามาลัยแล้วรีบกลับไปคว้าโทรศัพท์โทรหาทันที แต่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับจนกระทั่งสายสุดท้ายถูกตัดไปพอโทรไปใหม่กลายเป็นปิดเครื่องเสียอย่างนั้น
เร็วเท่าความคิดเขารีบคว้ากุญแจรถขับออกจากบ้านไปทั้งชุดนอนเพื่อไปตามหา แต่พอรถเคลื่อนไปถึงประตูรั้วเขาก็แตะเบรกรถเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบ้านตัวเองติดกล้องวงจรปิดเอาไว้จึงถอยรถกลับเข้าบ้านและรีบไปเปิดจอดู
“หึ ที่แท้ก็ออกไปกับผู้ชาย”
มือหนากำเม้าท์เข้าแน่น ไม่รู้ว่าโกรธที่เธอไปไหนไม่ยอมบอกหรือว่ามีผู้ชายมารับถึงบ้านกันแน่ ความเป็นห่วงเมื่อครู่หายเข้ากลีบเมฆเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจขึ้นมาทันที
พอเขาไปกับอินทุภาหึงหวงแทบเป็นแทบตายไม่ยอมหย่า แล้วยังมาพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดี แต่ทีตัวเองกลับเรียกผู้ชายให้มารับดึก ๆ ดื่น ๆ แถมหายไปด้วยกัน ไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก
“ป่านนี้คงคุ้มครองกันจึงถึงเตียงนอนแล้วมั่ง”
กำปั้นใหญ่ทุบลงโต๊ะด้วยความหงุดหงิดยิ่งคิดยิ่งจินตนาการก็ยิ่งโมโห
รุ่งเช้าของวันเวทัศไปทำงานด้วยสภายไม่ต่างกันกับซากศพเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน สาเหตุก็มาจากการจินตนาการเรื่องของมนลิตากับตุลย์ธรไปไกลจนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
“วันนี้คุณมนลิตาโทรมาลางานหรือยัง” เขาถามเสียงห้วนกับท้อปทันทีเมื่อเดินเข้าไปในแผนก
“โทรมาแล้วครับ แล้วก็ขอลางานยาวเป็นสัปดาห์เลย ขอใช้สิทธิ์พักร้อนด้วย”
“ลาพักร้อนกะทันหันโดยไม่บอกล่วงหน้าเหรอ แล้วเขาบอกหรือเปล่า
ว่าไปไหน”
“ไม่ได้บอกครับ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็เลยไม่ได้ถาม”
ใบหน้าท้อปแทบหดเหลือแค่สองนิ้วเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของคนเป็นเจ้านายบูดมากกว่าปกติ แถมพักนี้ก็เทียวถามแต่เรื่องของมนลิตาจนน่าประหลาดใจ มีเพียงแค่ต้นเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นอะไรกันจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรเพราะเคยเห็นอารมณ์บูดใส่กันแบบนี้แล้วครั้งหนึ่ง
เวทัศถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น ทำเอาทั้งห้องผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกเพราะกลั้นเอาไว้ตอนเจ้านายเข้ามา
เวทัศพยายามกดโทรหามนลิตากี่ครั้งก็ไม่ติดปลายสายแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้ ทำเอาเขาหัวเสียอยู่ไม่น้อยโทรมาลางานแล้วปิดเครื่องเลยหรือไงกัน
อินทุภาผ่านมาเห็นพอดีและสัมผัสได้ว่าท่าทีแบบนั้นคืออาการความเป็นห่วง ช่วงคบกันกับเธอเวลาติดต่อไม่ได้และเป็นห่วงมากๆ เวทัศมักจะแสดงอาการหงุดหงิดแบบนี้อยู่เสมอ
หรือว่าเขาเป็นห่วงมนลิตา?
‘ประกาศแต่งฟ้าแลบ! รอบสองกับภรรยาคนเก่ากับไฮโซเวทัศ’พาดหัวข่าวหราทุกแพลตฟอร์มและกลายเป็นประเด็นร้อนทุกออนไลน์กับความรักของทั้งคู่ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงและที่สำคัญเจ้าสาวในวันนี้ไม่ใช่ดาราดังหรือผู้หญิงสวยหน้าตาดีรูปร่างสวยเลย เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาแต่มัดหัวใจของชายหนุ่มได้อยู่หมัด“ยินดีด้วยนะ”เสียงแจ้วของกลุ่มก้อนเดิมดังขึ้นนำทีมโดยพี่ท้อปและตามด้วยน้องเล็กของทีมอย่างเจ้าต้น ก่อนหน้านั้นเจอกันแล้วรอบหนึ่งตอนเธอแวะไปแจกซอง พวกเขายังสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นเงียบ ๆ เหมือนเดิมแขกที่เชิญมามีแทบทุกวงการทั้งบันเทิง การเมือง และสายนักข่าว แต่คนที่เจ้าสาวรอมากที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ชายสวมสูทสีครีมกำลังเดินมา“พี่ตุลย์ ขอบคุณนะคะที่มา”“ต้องมาอยู่แล้วน้องสาวคนสวยของพี่แต่งงานทั้งที” กำลังจะยกมือขึ้นยีหัวด้วยความเคยชิน แต่คราวนี้มนลิตาหลบทัน“ฮันแน่ ไม่ได้กินหรอก พี่ยังติดยีหัวเหมือนเดิมเลยนะคะ”“นั่นสิ เป็นสัญชาตญาณของมือมั่ง” ทั้งคู่หัวเราะกันคิกคักจนมองไม่เห็นหัวเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ตรงนั้น“อะแฮม”“อ้าว เจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนี้เหรอ นึกว่ารูปปั้
‘ปัง’เสียงกัมปนาทดังขึ้นสนั่นจนหูอื้อเพราะมันอยู่ใกล้แค่ไม่กี่เมตร ร่างสูงสะดุ้งสุดตัวเขาผลักคนตัวอ้วนไปอีกทางที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาตรงหัวไหล่เขาชำเลืองมองเลือดสีแดงสดกำลังไหลซึมผ่านเสื้อยืดสีขาวผืนบาง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น“กรี๊ดดดด พี่เวย์ ๆ”มนลิตาแทบคุมสติไม่อยู่รีบถลาตัวเข้าไปประคองเวทัศเอาไว้พร้อมกับตะโกนบอกคนแถวนั้นให้เรียกรถพยาบาล ชายหนุ่มเห็นอาการคนรักสติกระเจิงจึงจับมืออวบที่กำลังสั่นระริกเพราะความตกใจมากุมไว้“มน ใจ...เย็น ๆ นะพี่ไม่เป็นไร”“ไม่เป็นไรได้ยังไง เลือดออกขนาดนี้” น้ำตาร่วงหล่นลงแก้ม ความกลัววิ่งเข้ามาแทนที เธอไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บแต่กลัวว่าเขาจะตาย“พี่ยังไหว แผลแค่นี้เอง” เวทัศพยายามปลอบเธอ แต่นั้นยิ่งทำให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดแทบไม่เป็นภาษา“พี่เวย์ ห้ามเป็นอะไรนะ นี่เป็นคำสั่ง ไหนว่าอยากอยู่กับมนและลูกไง ถ้าเป็นอย่างนี้มนจะอยู่ยังไง”“พี่จะไม่เป็นไร มนอย่าร้องนะ” เขาบีบมือเธอแน่นขึ้น ไม่นานเท่าไรหูก็ได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วมาเจ้าหน้าที่ทำงานเคลื่อนย้ายร่างของเวทัศขึ้นบนเตียง มนลิตากระโดดขึ้นไปบนรถอ้างความเป็นภรรยาทันที รถพยาบ
ในที่สุดวันเวลาของการรอคอยก็มาถึงสักที ทั้งหมดเดินทางมาถึงภูเก็ตด้วยเครื่องบิน พอมาถึงคนของเวทัศก็นำรถมารับถึงสนามบิน“คุณท่านรออยู่ที่โรงแรมแล้วครับ” คนขับรถบอกกับเวทัศแล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ทุกคนนั่ง รถยนต์เคลื่อนตัวตรงไปโรงแรมทันทีโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหาดกะตะบนแนวสันเขาของเกาะบริเวณหน้าโรงแรมเป็นหาดทรายขาวละเอียด มีลักษณะเป็นวงกว้างและมีความโค้ง คลื่นลมสงบ น้ำนิ่งสามารถลงเล่นน้ำได้และที่นี่ยังมีแนวปะการังแปลกตา ยาวไปจนถึงเกาะปู ทำให้เป็นที่ฝึกดำน้ำ และจุดดำน้ำยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสวยงามใต้ทะเล“หูววว พ่อขาทะเล” รถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าโรงแรมเมทิตาชะเง้อคอขึ้นมองแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยความตื่นเต้นตายายหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของหลานแล้วบอกว่าให้รถจากรถก่อนจะได้เห็นชัด ๆ พอก้าวเท้าลงมาคนเป็นย่าก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้วทำให้หนูน้อยลืมน้ำทะเลใสไปเลย“หนูเมย์...”“คุณย่า”ขาสั้นป้อมวิ่งตรงลิ่วไปหาคุณหญิงระย้า แขนเหี่ยวย่นอ้าแขนรับเจ้าตัวเล็กสู่อ้อมกอดแล้วหอมซ้ายหอมขวาเหมือนเคย“คุณย่าขา หนูเมย์ได้นั่งเครื่องบินด้วย บนโน้นมีเมฆ มีนกด้วยค่ะ”เมทิตาเงยหน้าชี้
สองผู้เฒ่านั่งเล่นอยู่ข้างล่างหันมองหน้ากันเชื่อได้เลยไม่นานทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าลูกสาวพวกเขานั้นใจอ่อนตั้งนานแล้วตอนนี้แค่วางฟอร์มเท่านั้น“แม่มนขา พ่อเวย์ขา” น้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นมนลิตาพอจะเดาออกว่าลูกสาวต้องอยากได้หรืออยากไปที่ไหนสักที่แน่นอน“อ้อนจะเอาอะไรอีกคะ”“หนูเมย์อยากไปทะเล วันนี้เพื่อนหนูเมย์บอกว่าพ่อกับแม่พาไปทะเลหนูเมย์อยากไปบ้าง” เด็กหญิงทำหน้าอ้อน ๆ ใส่แม่ หันไปกระพริบตาปริบๆกับคนเป็นพ่อก่อนจะวิ่งอ้อมโต๊ะไปสวมกอดตากับยายเพื่อเอาใจมนลิตาแพ้ทางเวลาเมทิตามาอ้อนเพื่อขออะไรสักอย่าง แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตามใจเสียทุกเรื่องแต่เพราะลูกสาวเธอไม่เคยไปทะเลเลยตั้งแต่เกิดมากำลังจะอ้าปากพูดผู้ชายนั่งข้างก็เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมา“ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนกันทั้งครอบครัวดีไหมครับ ผมจะได้โทรบอกคุณแม่ด้วย”“ดีค่ะ ไปๆ ไปเที่ยวทะเลกัน” เมทิตาตอบรับแทนทุกคนแล้วชูสองแขนขึ้นกระโดดหมุนตัวไปมารอบโต๊ะกินข้าวเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกกับมนลิตาทำให้เขามีความสุขมากขึ้นไม่ต้องมานั่งทำหน้าอมทุกข์เหมือนแต่ก่อน“แล้วเราจะไปทะเลที่ไหนล่ะ ประเทศเรามีทะเลตั้งหลายจังหวัด” ตา
ว่ากันว่าคนเราไม่เคยมีใครเป็นพ่อกับแม่มาก่อนทุกคนมาเริ่มต้นนับหนึ่งเมื่อมีลูกคนแรก ต่างลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นสงสัยมันจะเป็นเรื่องจริง เหมือนกับเขาตอนนี้ที่กำลังฝึกหัดการเป็นพ่อคน คนอื่นโชคดีที่ได้ฝึกเป็นพ่อด้วยการอุ้มลูก เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมนอน แตกต่างจากเขาตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกค้าให้กับช่างแต่งหน้าตัวน้อย“พ่อเวย์สวยที่สุดเลยค่ะ” หนูเมย์ยื่นกระจกให้คนเป็นพ่อดูกับความภาคภูมิใจในการแต่งหน้า เขายิ้มรับให้ลูกแล้วทำท่าตื่นเต้นบนหัวผูกจุกเป็นต้นมะพร้าวสามต้น คิ้วถูกระบายหนาเป็นปลิง เปลือกตาทาด้วยสีฟ้าเข้ม ขนตางอนปัดด้วยมาสคาร่า โหนกแก้มแดงยิ่งกว่าตูดลิง ไฮไลท์ดั้งพุ่งโด่งจนแทบทิ่มตา ตบท้ายด้วยปากสีส้มเข้ากันกับแก้มสุดๆ“เฮ้ออออ” เวทัศพ่นลมหายใจออกมายาว ๆ“ถอนหายใจทำไมคะ ไม่สวยเหรอ” เด็กหญิงย่นคิ้ว เวทัศรีบฉีกยิ้มเอาใจลูกสาวเพียงคนเดียว“สวยค่ะ แต่พ่อว่ารอบหน้าเราลองลดความเข้มของสีตา แก้มลงกว่านี้ดีไหม มันจะต้องสวยมากกว่านี้แน่เลย เววี่คอนเฟิร์มคร๊า!”เวทัศดีดตัวสะดีดสะดิ้งราวกับว่าตัวเองเป็นเป็นสาวประเภทสอง แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นตรงประตูทางเข้าและที่น่าอับอา
ช่วงหลังเลิกงานเขาเอาแต่นั่งทำอาหารเกาหลีแทบทุกวันเพื่อที่อย่างน้อยมันก็บรรเทาความคิดถึงผู้หญิงตรงหน้าได้บ้าง และวันนี้เขาก็ได้มีโอกาสทำให้เธอได้กินแล้ว“กินสิ เดี๋ยวเย็นหมดนะ” ชายหนุ่มเลื่อนจานจาจังมยอนมาให้มนลิตาหลุดออกมาจากภวังค์ใช้ตะเกียบเหล็กคีบเส้นสีดำเข้าปาก ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับน้ำซอสสีดำดวงตากลมประกายวาววับขึ้นมาทันทีมุมปากของเวทัศหยักโค้งขึ้นแทบจะถึงติ่งหู หาเรื่องคุยกับง้อตั้งนานแทบจะไม่ได้ผลแต่พอทำของโปรดไว้ให้เขากลับเห็นความสดใสบนใบหน้าของเธออีกครั้งชายหนุ่มเท้าคางบนเก้าอี้มองหญิงสาวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายเฝ้ามองเธอก็กินอาหารไปจนเกือบหมดโดยลืมชวนคนทำกินเสียด้วยซ้ำ“ไม่กินด้วยกันเหรอคะ”“ไม่ล่ะครับ พี่เห็นมนกินได้ก็ดีใจแล้ว”เอื้อมมือไปหยิบทิชชูจากกล่องไปเช็ดมุมปากที่เปื้อนน้ำซอสสีดำให้แผ่วเบา ดวงตาทั้งคู่สบกันครู่หนึ่งจนเป็นฝ่ายมนลิตาได้สติขึ้นมาก่อน เธอเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเช็ดปากด้วยตัวเอง“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน...”“มนอยากคุยกับพี่เวย์เรื่องนี้พอดีเลยค่ะ”ยังไม่ทันจะบอกจุดประสงค์จบเลยว่าไม่ต้องรีบเขารอได้ ทว่าหญิงสาวก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาเ