บทที่ 2
คนรัก
ณิชาที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปในบ้านหยุดชะงัก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นรองเท้าสีสันสดใสแปลกตาคู่หนึ่งที่ถอดเอาไว้ข้าง ๆ เฉลียงบ้าน จำได้ว่าเมื่อเช้าก่อนจะออกไปซื้อของข้างนอก ไม่มีรองเท้าคู่นี้อยู่ในบ้านและไม่ใช่ของดวงใจอย่างแน่นอน
กันตยศที่เดินตามหลังมาติด ๆ ก็หยุดชะงักตาม ก่อนจะเอ่ยถามแกมบ่นเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ข้างหน้าหยุดยืนนานเกินไป
“มีอะไร รีบ ๆ เดินเข้าไปสิ มันหนักนะเนี่ย” ครั้นยังไม่เห็นเพื่อนสาวไหวติง กันตยศก็เดินไปส่องหน้า แล้วหันไปมองตามสายตาของณิชาที่จ้องอะไรบางอย่างอยู่ “รองเท้าใครวะ สีโคตรแจ่ม...” ชายหนุ่มรีบหุบปากฉับ เมื่อเห็นสีหน้าหม่นเศร้าของเพื่อน พอจะเดาได้ลาง ๆ ว่ารองเท้าส้นสูงคู่นี้เป็นของใคร
“โอเคปะเนี่ย” กันตยศยื่นมือไปแตะไหล่หญิงสาวเบา ๆ พร้อมถามด้วยความเป็นห่วง
“โอเคสิ” ณิชาหันมาพยักหน้าพลางฝืนส่งยิ้มให้ แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะดูไม่ออกว่าเธอไม่ได้รู้สึกโอเคอย่างที่พูด
“เขามาบ่อยไหม” ถามพร้อมบุ้ยใบหน้าลงไปยังรองเท้าสีสันสดใส เพื่อให้เธอรู้ว่าเขาหมายถึงใคร พลันนึกหงุดหงิดให้คนที่เป็นสามีของณิชา ทำไมถึงได้พาผู้หญิงอื่นเข้ามาในบ้านซึ่งเป็นการหยามศักดิ์ศรีของภรรยาขนาดนี้
เรื่องไม่รักก็พอจะเข้าใจ แต่ก็น่าจะถนอมน้ำใจกันบ้าง อย่างน้อย ๆ ครั้งหนึ่งทั้งคู่ก็เคยมีมิตรภาพดี ๆ ให้แก่กัน
“ไม่บ่อย” ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เปียวดีมาหาวินทร์ถึงบ้าน แน่นอนว่าณิชาไม่มีสิทธิ์พูดอะไร เพราะนี่คือบ้านของเขา เธอจึงทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มและต้อนรับอีกฝ่ายด้วยความยินดี “รีบเข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวนายจะไปพบลูกค้าสาย”
กันตยศพยักหน้า ถอดรองเท้าแล้วเดินตามเพื่อนสาวเข้าไปในบ้าน
วินทร์ที่กำลังนั่งคุยกับเปียวดีบนโซฟาในห้องรับแขกหันมามอง คิ้วเข้มขยับเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามีชายอีกคนเดินเข้ามากับภรรยาของตนด้วย
“พี่วินทร์ พี่เปียว หวัดดีฮะ” กันตยศยกมือไหว้หนุ่มสาวซึ่งเป็นรุ่นพี่ทั้งสองคนด้วยท่าทางเป็นกันเอง เพราะเคยเรียนมหา’ลัยที่เดียวกัน และตอนที่วินทร์ขับรถมารับณิชาที่คณะ เขาก็มักจะได้รับอานิสงส์ติดรถไปลงป้ายรถเมล์ใกล้บ้านเป็นประจำ บ่อยครั้งที่มีเปียวดีติดรถมาด้วย จึงทำให้เขาสนิทสนมกับรุ่นพี่ทั้งสองคน
และถึงแม้ว่าตอนนี้ในใจเขาจะมีความขุ่นเคืองเพราะเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้จากณิชาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ หากแต่เขาก็รู้ว่าควรวางตัวอย่างไร ที่จะทำให้เพื่อนสาวซึ่งเป็นคนกลางไม่รู้สึกอึดอัด
ครั้นเห็นว่าวินทร์กับเปียวดีมองกันตยศคล้ายจำไม่ได้ ณิชาจึงรีบแนะนำ “กันต์ค่ะ กันต์เพื่อนของชาตอนเรียนมหา’ลัย”
“อ๋อ...จำได้ละ ดูดีขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” เปียวดีลากเสียงยาวแล้วเอ่ยขึ้น ส่วนวินทร์นั้นยังคงนิ่ง สายตาจดจ้องไปที่กันตยศ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่นานเขาก็ละสายตาจากชายหนุ่มรุ่นน้อง หันไปพูดกับคนรักของตน
“ไปกันเลยไหม”
“ก็ได้ หิวแล้วเหมือนกัน ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย” เปียวดีว่าพลางลูบท้องของตัวเองไปด้วย เธอตั้งใจจะมาชวนวินทร์ออกไปกินข้าวข้างนอก และมาโดยไม่ได้บอกเจ้าของบ้านก่อน
หากพอมาถึงแล้วกลับพบว่าเขาไม่สามารถออกไปได้เพราะต้องอยู่กับลูกน้อย ถึงแม้จะมีแม่บ้านอยู่ด้วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่สบายใจ ถ้าต้องทิ้งลูกไว้บ้านแล้วตนออกไปกินข้าวข้างนอก เขาจึงบอกคนรักว่ารอให้ณิชากลับมาเสียก่อน
วินทร์พยักหน้าเบา ๆ แล้วบอกต่อ “นั่งรอวินทร์อยู่นี่แป๊บนึงนะ ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“เปียวขึ้นไปด้วยได้ไหม” เปียวดีเอ่ยขอ ด้วยอยากเห็นห้องนอนเขาสักครั้ง เพราะตั้งแต่ที่เขาย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ เธอยังไม่เคยได้เหยียบย่ำขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านเลย
ณิชาเผลอกำสายสะพายกระเป๋าตัวเองเมื่อได้ยินคำขอนั้น สายตาล่อกแล่กด้วยไม่รู้จะวางสีหน้าอย่างไร และคิดว่าควรพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว กันตยศที่มองออกว่าเพื่อนสาวรู้สึกอย่างไรรีบเอ่ยขึ้น
“ให้เอาวางไว้ไหนเนี่ย หนักนะเว้ย” ถามพร้อมเอียงไหล่กระทบกับไหล่หญิงสาวเบา ๆ เพื่อให้เธอได้สติ
“นะ...ในครัว เอาเข้าไปในครัวเลย” ณิชาบอกเสียงติด ๆ ขัด ๆ พลางรีบตั้งสติ
“ครัวอยู่ไหน เดินนำไปสิ”
“ทางนี้ ๆ” บอกจบ หญิงสาวก็รีบเดินนำกันตยศเข้าไปในห้องครัวทันที ก่อนจะยกมือไหว้แม่บ้านวัยกลางคนที่กำลังนั่งซักผ้าอ้อมอยู่ลานซักล้างหลังบ้าน พร้อมแนะนำให้ดวงใจได้รู้จักเพื่อนของตน “ขนมเอาเข้าตู้เลย ส่วนขอใช้อื่น ๆ เดี๋ยวเราถือขึ้นข้างบนเอง”
“ใช้เก่ง” กันตยศแขวะเพื่อนที่ได้ทีก็สั่งเอา ๆ หากแต่มือก็ทำตามที่หญิงสาวบอกแต่โดยดี ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเกี่ยวกับของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงสองชิ้นที่อยู่ในถุง แล้วถามออกไปทันที เพราะไม่อยากเก็บความสงสัยเอาไว้นาน “ชา เราข้องใจว่ะ ไอ้ผ้าอนามัยสองสีนี่มันต่างกันยังไง” ถามพร้อมชูห่อผ้าอนามัยให้อีกฝ่ายดู
ณิชาหน้าแดงแปร๊ด ถึงเธอจะสนิทกับกันตยศมาก แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นหยิบจับของใช้ส่วนตัวที่มันส่วนตัวจริง ๆ อย่างนี้ หากเธอก็ไม่ได้โกรธ เพียงแค่รู้สึกเขินอายเท่านั้น
“สงสัยอะไรของนายเนี่ย”
“เอ๊า ก็คนมันสงสัยนี่หว่า ตอบมาดิ” ชายหนุ่มเร่งเอาคำตอบ
“กะ...ก็กลางวันกับกลางคืนไง มันต้องใช้ต่างกัน”
“ทำไมอะ” เขายังคงถามต่อ อันที่จริงก็พอเข้าใจแล้วว่าขนาดและความหนามันต่างกัน แต่พอเห็นแก้มแดง ๆ ของเพื่อนสนิท หากมันพอจะช่วยให้เธอลืมเรื่องหมองเศร้าก่อนหน้านี้ได้ เขาก็อยากแกล้งต่ออีกสักหน่อย “ทำไมต้องใช้ต่างกันอะ กลางวันมันจะมาน้อย กลางคืนมันจะมามากงี้เหรอ”
“ชา” เสียงเข้มที่ดังมาจากประตูห้องครัว ทำให้ณิชาละความสนใจจากคำถามของเพื่อนสนิทแล้วหันไปมอง
“คะ ?”
วินทร์ปรายตามองกันตยศที่หันมามองเขาเหมือนกันแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองคนที่เขาเรียกอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงนิ่งเรียบ “ฉันจะออกไปข้างนอก เสร็จจากตรงนี้แล้วรีบออกไปดูลูกด้วย”
“อ๋อ...ได้ค่ะ” ณิชารับคำ แล้วเบียดริมฝีปากเข้าหากันนิด ๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เธออยากถามว่าเขาจะไปไหน หรือจะกลับกี่โมง หากแล้วเธอก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถาม เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
วินทร์ไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาปรายตามองเพื่อนสนิทของภรรยาอีกครั้ง เพียงครู่เดียวเขาก็เดินออกไปเลยทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดรั้วบ้าน ก่อนจะตามด้วยเสียงรถยนต์ที่ขับออกไป
“ไม่ไหวก็อย่าฝืน” กันตยศเอ่ยขึ้นคล้ายพูดลอย ๆ เมื่อเห็นแววตาหม่นเศร้าของเพื่อน พร้อมเก็บห่อผ้าอนามัยเข้าถุงตามเดิม เมื่อก่อนณิชาเคยสดใสมากกว่านี้ เขาไม่ชินและไม่ชอบเลยที่เห็นเธอไร้ความสดใสแบบนี้
“ขอบคุณนะ” ณิชาฝืนยิ้มให้ กล่าวคำขอบคุณออกมาอย่างจริงใจ ถึงแม้ว่ากันตยศจะปากเสียและทำตัวห่ามไปบ้าง แต่เธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เขามีให้เธอเสมอมา
“ชา” จู่ ๆ เขาก็เรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“หือ ?”
“เราขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ” หญิงสาวพยักหน้า มองหน้าอีกฝ่ายเพื่อรอว่าเขาจะถามอะไร
“คิดจะอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร”
ณิชาถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นคำถามที่เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครชอบและไม่อึดอัดหรอกที่ต้องอยู่ในสภาวะแบบนี้ เธอรู้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเธอ ไม่มีอะไรที่เป็นของเธอสักอย่าง
ทว่าเธอก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะทนอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน วินทร์ไม่ได้ใจร้ายกับเธอก็จริง แต่สายตาและความเย็นชาที่เขามอบให้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนใกล้จะขาดอากาศหายใจ หากเธอกลับมีลูกน้อยที่เปรียบเสมือนออกซิเจนถังเล็ก พอให้เธอได้มีอากาศหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเองให้มีแรงอยู่ที่นี่ต่อไป...เพื่อลูก
ตอนพิเศษ 3หลังจากตั้งครรภ์เด็กชายพัทธดลย์เข้าเดือนที่หก วินทร์ก็ขอให้ณิชาลาออกจากการเป็นผู้ช่วยของสุดโปรด โดยให้เหตุผลว่าอย่างไรก็ต้องลาคลอด อีกทั้งยังต้องเลี้ยงลูกและให้นมลูกเป็นเวลาหลายเดือน ณิชาซึ่งอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอยู่แล้วจึงยอมทำตามที่เขาบอกอย่างง่ายดายถึงแม้บริษัทจะมีสวัสดิการให้พนักงานลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร แต่ก็ลาได้ไม่เกินหกเดือน ทั้งยังเกรงใจหากต้องลาเป็นเวลานานขนาดนั้น เพราะฉะนั้นการลาออกจึงเป็นทางที่ดีที่สุด และเธอก็จะได้เลี้ยงลูกอย่างสบายใจโดยไม่ต้องพะวักพะวงอะไร“พี่วินทร์”“ครับ” คนถูกเรียกขานรับพร้อมเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังอ่าน มองไปยังภรรยาคนสวยที่นั่งทำหน้าคล้ายกำลังขบคิดอะไรสักอย่างอยู่บนโซฟากลางห้องทำงานของเขาวันนี้คุณวราพรกับคุณชาญวิทย์มารับเด็กชายพัทธดลย์ไปเล่นที่บ้านตั้งแต่เช้า ส่วนณิศราก็ไปโรงเรียน กลายเป็นว่าณิชาต้องอยู่บ้านคนเดียวเพราะดวงใจลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด วินทร์ก็เลยพาเธอมานั่งทำงานที่บริษัทด้วย“ชาอยากทำงานค่ะ”ชายหนุ่มนิ่วหน้า วางปากกาลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ คนที่เพิ่งบอกว่าอยากทำงานเมื่อสักครู่ “ไหน อา
ตอนพิเศษ 2เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่สวนสนุกจึงมีผู้คนค่อนข้างหนาตา ส่วนมากจะจับจูงกันมาเป็นครอบครัวและแก๊งเพื่อน หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรผ่านประตู และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำกันเรียบร้อยแล้ว วินทร์โน้มใบหน้าลงไปไล่สายตาอ่านแผนผังของสวยสนุกแห่งนี้ในมือภรรยา ก่อนจะหันไปถามลูกสาวที่ยืนดูอยู่ด้วยกัน“เราจะเริ่มจากฝั่งไหนก่อนดี”เด็กหญิงณิศราทำสีหน้าขบคิด ด้วยตัดสินใจไม่ได้ ซ้ายก็น่าตื่นเต้น ขวาก็น่าไป และยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงของน้องชายก็ดังขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น“ขึ้น ดลย์อยากขึ้น ๆ” เด็กชายวัยสองขวบที่พูดได้เป็นประโยคแล้วแต่ยังไม่ชัดเท่าไรเอ่ยขึ้น ดวงตากลมโตขยายขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ พร้อมชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่กระเช้าลอยฟ้าหรือเคเบิลคาร์ที่เคลื่อนตัวไปช้า ๆ บนสายเคเบิล“เดี๋ยวค่อยเล่น อันนั้นต้องเล่นเป็นอันสุดท้าย” ณิศราผู้ศึกษาสวนสนุกแห่งนี้มาจากช่องยูทูปเอ่ยบอก“ทำไมต้องเอาเล่นเป็นอย่างสุดท้ายคะ” วินทร์ถามถึงเหตุผลของลูกสาว“ก็เล่นทุกอย่างมาเหนื่อย ๆ แล้วค่อยขึ้นไปชมวิวบนนั้นไงคะ วิวสวย ๆ จะทำให้เราหายเหนื่อยค่ะ” สาวน้อยพูดตามที่ยูทูปเบอร์คนนั้นเป๊ะ ๆวินทร์พยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็น
ตอนพิเศษ 1“คุณพ่อขา...เสร็จหรือยังคะ หนูณิรอนานแล้วนะ!”เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงณิศราในวัยสิบขวบตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อที่ยังไม่ลงมาจากชั้นสองเสียงดัง พลางชะโงกหน้าไปส่องที่ช่องบันไดด้วยใบหน้ายับยุ่ง หัวคิ้วทั้งสองข้างขยับเข้าหากันแทบผูกเป็นโบวันนี้เป็นวันหยุดของครอบครัว คุณพ่อบอกว่าจะพาหนูณิกับน้องดลย์น้องชายวัยสองขวบของเธอไปเที่ยวสวนสนุกตอนเก้าโมงเช้า แต่นี่มันสิบโมงกว่าแล้ว คุณพ่อยังไม่ลงมาเลย สาวน้อยจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด“คุณพ่อทำงานอยู่ลูก ใจเย็น ๆ ยังไงก็ได้ไปค่ะ” ณิชาซึ่งมีร่างป้อมของเด็กชายพัทธดลย์หรือน้องดลย์นั่งอยู่บนตักเอ่ยบอกลูกสาวให้ใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้จะโทษวินทร์ก็คงไม่ถูก เพราะเธอรู้ว่าเขาเคลียร์ตัวเองให้ว่างไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จู่ ๆ ก็ดันมีงานด่วนเข้ามาเสียอย่างนั้น และเป็นงานที่ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนได้ วินทร์เลยต้องจำใจใช้เวลาของครอบครัวไปคุยกับคู่ค้าจากฝั่งอเมริกาผ่านวิดิโอคอนเฟอเรนช์“นานเกินไปแล้วค่ะคุณแม่ หนูณิหิวข้าว” เด็กหญิงณิศราเดินทำหน้ายุ่ง ๆ เข้ามาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ มารดา เหลือบมองน้องชายตัวน้อยที่ปากกำลังดูดนมจากกล่องแต่สายตามองมาที่ตนตาแป๋วแวบหนึ่ง ก
บทส่งท้ายกันตยศมาถึงก่อนเป็นคนแรก ชายหนุ่มยื่นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ให้ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเพื่อนสาวและสามีของเธอ“ขาดเหลืออะไรบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ” วินทร์บอกพลางยื่นมือตบบ่าหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนหน้านี้เขาอาจจะรู้สึกเคือง ๆ ที่กันตยศใกล้ชิดและสนิทสนมกับภรรยาเขามากเกินไป แต่เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายให้ความช่วยเหลือ หยิบยื่นเงินก้อนให้ยืมในยามที่ภรรยาเขาลำบาก เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการไปทำงานต่างประเทศ เขาก็เลือกมองข้ามความรู้สึกมากกว่าเพื่อนที่หนุ่มรุ่นน้องคนนี้มีต่อภรรยาของตนไปณิชาเล่าให้ฟังว่าตอนจะไปทำงานที่ฝรั่งเศส เธอมีปัญหาเรื่องเงิน จริงอยู่ว่าบริษัทออกค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดให้ แต่ก็มีอีกส่วนที่เธอต้องเป็นคนจ่ายเอง ซึ่งมันก็มากพอสมควร ถ้าไม่ได้กันตยศช่วยเหลือในตอนนั้น เธอก็คงแย่“นายไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราเดินไปหา” ณิชาชี้ไปยังโต๊ะเล็ก ๆ ที่จัดไว้สำหรับนั่งเล่น กันตยศพยักหน้าแล้วยักคิ้วให้อย่างกวน ๆ ก่อนจะเดินแยกออกไป พร้อมกับสุดโปรดกับเด็กชายปลื้มเดินเข้ามาพอดี“ยินดีด้วยนะครับ” สุดโปรดในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็กส์สีดำอย่างไม่เป็นทางการนักยื่นขวดไวน์
บทส่งท้ายกว่าบทรักอันยาวนานและต่อเนื่องจะจบลงก็เกือบฟ้าสาง วันนี้ณิชาจึงตื่นสายมากกว่าปกติ จะโทษใครไม่ได้เลย นอกคนที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาเจ้าหญิงอยู่กับเด็กหญิงณิศราในห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดี“คุณแม่!” สาวน้อยที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้เป็นแม่พอดีจึงเอ่ยทักเสียงดัง ทำให้พ่อซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเปลี่ยนชุดตุ๊กตาเงยขึ้นมามองตาม ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นแม่ของลูกส่งค้อนวงโตให้“เล่นอะไรกันคะ” ณิชาเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาใกล้ ๆ กับสองพ่อลูกที่นั่งอยู่บนพื้นพรม“แต่งตัวให้ผิงอันค่ะ” คนตัวเล็กตอบอย่างกระตือรือร้นพร้อมชูตุ๊กตาเจ้าหญิงผมยาวให้คุณแม่ดู จากนั้นก็วางตัวนั้นลง แล้วหยิบอีกตัวที่คุณพ่อเพิ่งเปลี่ยนชุดให้เสร็จขึ้นมาอวด “ส่วนตัวนี้ชื่อผิงผิง”“ผิงอันกับผิงผิงเหรอคะ”“ใช่ค่ะ”“แล้วนี่หนูกำลังดูอะไรอยู่คะ” คนเป็นแม่ชี้นิ้วมือไปยังไอแพดที่วางข้าง ๆ ซึ่งเปิดหน้าเพจร้านค้าออนไลน์ค้างเอาไว้“กำลังเลือกซื้อชุดใหม่ให้ผิงผิงกับผิงอันค่ะ ชุดพวกนี้ใส่บ่อยแล้ว”“หืม แต่นี่แม่ว่าก็เยอะมากแล้วนะคะ ใส่ครบหมดทุกชุดแล้วเหรอคะ” ณิชาถามด้วยความสงสัย เพราะชุดตุ๊กตาในตะกร้าที่เธอเห็นตอนนี้ก็เยอะมากพอ
เริ่มต้นใหม่เขามองเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างลึกซึ้ง ส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เธอได้รับรู้ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา แนบริมฝีปากเข้ากับเรียวปากอิ่มของเธออย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เริ่มขยับอย่างค่อยเป็นค่อยไปเลื่อนมือที่จับคางขึ้นมาประคองใบหน้าสวย เอียงหน้าปรับให้ได้องศาที่เหมาะเจาะ จากนั้นก็เริ่มจูบหนักหน่วงขึ้น มือที่โอบเอวคอดกิ่วเริ่มไม่อยู่เฉย สอดเข้าไปในเสื้อยืดตัวบางที่เธอสวมใส่ ลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียนอย่างหลงใหล“พี่วินทร์...” ณิชาสะดุ้งขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อเต้าอวบทั้งสองข้างได้รับอิสระ เพราะเขาปลดตะขอบราเซียร์เธอ“ไม่ต้องกลัว มันจะดี เชื่อพี่” ชายหนุ่มปลอบเสียงแหบพร่า ตัวเธอสั่นมากจนเขารู้สึกได้ วินทร์ผละออกมาสบตากับหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงหนักแน่น “เชื่อใจพี่นะครับ”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ณิชาพยักหน้าลงอย่างง่ายดาย อาจจะเป็นเพราะลึก ๆ แล้วเธอเองก็โหยหาสัมผัสที่อ่อนโยนจากเขาเหมือนกัน หรือเพราะอะไรเธอเองก็สุดรู้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เธอเลือกแล้วที่จะจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เธอจึงต้องเชื่อใจเขา และจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัวอีกวินทร์ยิ้มกว้าง โน้มเ