“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ”
“สหายของข้างั้นหรือ?”
“ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ”
“อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ”
“คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่”
‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’
“ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ”
“ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่มีคนมากลั่นแกล้งหรือเยาะเย้ยท่าน ก็คงมีแต่…”
“อะไร?”
“มีแต่พระสนมลิ่งเฟยที่ชอบหาเรื่องมากลั่นแกล้งท่านตลอดระยะเวลาสองปีนี้เพคะ แล้วท่านก็ยอมนางอยู่เรื่อย”
ซั่วอิงพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่เต็มทนที่เจ้านายของนางไม่สู้คนเลยสักนิดโดยเฉพาะกับพระสนมลิ่งเฟยผู้ที่เคยเป็นสหายกันมาก่อน
“เอาล่ะๆ หากครั้งหน้านางมาหาเรื่องข้าอีกล่ะก็เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร”
“ว่าแต่เจ้าบอกว่าข้านั้นมีฝีมือเย็บปักถักร้อยจึงมีโอกาสได้อยู่ในวังต่อเช่นนั้นหรือ”
“เพคะ”
“แล้วหากว่าข้าเย็บปักไม่เป็นเสียแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นอาจจะโดนลดขั้นเป็นนางกำนัลแล้วล่ะเพคะ”
“แล้วทำไมต้องลดขั้นล่ะในเมื่อไม่ได้รับใช้ฮ่องเต้ก็ควรปลดเป็นสามัญชนไม่ใช่หรือ”
“นั่นก็…สุดแล้วแต่ว่าฮ่องเต้จะตัดสินพระทัยอย่างไรเพคะพวกเราไม่สามารถร้องขอได้”
“โอ้ยอะไรเนี่ย! ข้าอยากจะบ้าตาย”
“พระสนมว่าอะไรนะเพคะ”
“ซั่วอิงมีวิธีไหนที่จะทำให้ข้าออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆ หรือไม่”
“นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเพคะพระสนม หากอยากจะออกจากวังจริงๆ ก็คงต้องปรึกษาท่านหัวหน้าขันทีผู้ดูแลนางกำนัลในวังหลวงแห่งนี้แล้วล่ะเพคะ”
“แล้วเขาอยู่ไหนข้าอยากพบเขา”
“พระสนมอยากจะพบเขาไปทำไมกันเพคะ”
“เถอะน่าเจ้าพาข้าไปพบเขาที ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วข้าอยากออกจากวังแห่งนี้”
“แต่ว่าพระสนมคนที่เข้าวังมาแล้วไม่ใช่ว่าจะออกไปได้ง่ายๆ หรอกนะเพคะ”
“ทำไมล่ะ”
“วังหลังแห่งนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ เฝ้าใฝ่ฝันที่จะเข้ามาที่แห่งนี้หรอกนะเพคะ ยังมีอะไรอีกเยอะที่ท่านไม่รู้และอาจจะไม่มีทางเข้าใจมันด้วย”
‘เข้าตำราคนในอยากออก คนนอกอยากเข้าสินะ’
“แล้วหากว่าท่านกลับไปคนตระกูลจ้าวคงไม่มีทางรับท่านกลับเข้าจวนแน่นอนเพคะ”
“ทำไมล่ะ?”
“บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วใครเล่าอยากจะรับกลับยิ่งท่านถูกปลดจากตำแหน่งพระสนมก็คงจะมีแต่คนดูถูกเหยียดหยามท่านอย่างแน่นอนเพคะ”
'อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ถึงเพียงนี้กันล่ะเนี่ย....'
"ช่างเถอะหากออกจากวังได้ข้าก็จะไปตั้งตัวใหม่ด้วยตัวของข้าเองไม่พึ่งพาใครแน่นอน!”
“ว่าแต่ตั้งแต่ข้าเข้าวังมาข้าพอจะมีเงินเก็บเอาไว้บ้างหรือไม่”
“เงินหรือเพคะ”
“ใช่”
“มีแค่เพียงตำลึงเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพระสนมทุกคนคนละห้าสิบตำลึงเงินในทุกๆ เดือนเพคะ ท่านอยู่ในวังมาสองปีได้แล้วเช่นนั้นตอนนี้น่าจะมีราวๆ พันตำลึงได้แล้วเพคะ”
“พันตำลึงเองหรือ? แล้วสินเดิมของข้าล่ะ”
“ทางบ้านท่านไม่ได้ให้ติดตัวมาเลยเพคะ”
“อะไรกันเนี่ยบุตรสาวออกเรือนไม่ให้สมบัติติดตัวมาเลยได้อย่างไรเป็นพ่อแม่ประสาอะไรกัน”
“ท่านเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุของใต้เท้าจ้าวนะเพคะ ยังดีที่ท่านผ่านการคัดเลือกเข้าวังไม่เช่นนั้น...”
“ไม่เช่นนั้นอะไรอีก”
“ท่านอาจต้องอยู่อย่างลำบากมากกว่านี้อีกเพคะ”
‘ข้าอยากจะบ้าตาย…ทะลุมิติมาเพื่อท้าทายกับชีวิตอันเส็งเครงเช่นนี้เลยหรือนี่’
“แล้วหากว่าข้าออกจากวังได้จริงๆ ข้าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อร้านค้าหรือบ้านสักหลัง”
“ก็ประมาณเกือบหมื่นหรือบางทีอาจจะแสนตำลึงเลยเพคะ”
“แสนตำลึง!!! แล้วข้าจะไปหาเงินจากที่ไหนกันล่ะเนี่ยยย”
‘ได้จากวังหลวงเพียงเดือนละห้าสิบตำลึง ชาติไหนข้าจะปลดปล่อยตัวเองได้กัน!’
ยามซวี (19.00-21.00 น.)
“ซั่วอิงเจ้าดูต้นทางดีๆล่ะ”
“พระสนม แอบออกมาแบบนี้อาจจะโดนจับได้นะเพคะ”
“ช่างมันเถอะน่าข้าไม่สนใจตายเป็นตายสิอยู่แต่ในวังน่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ความจริงแล้วหากพวกเราออกมาได้จริงๆ คงจะดีไม่น้อยเลยแต่ตอนนั้นข้าต้องหาเงินไว้มากๆ ก่อน ออกมาตอนนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนคงจะแย่แน่เลย เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าตำหนักของพวกเราไม่มีใครเข้าออก”
“เพคะ”
“ดี เช่นนั้นแอบออกไปไม่นานน่าจะไม่มีใครรู้หรอกน่า ฮิๆ”
จ้าวซูหลินหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษคนหนึ่งตะโกนมาทางที่นางยืนซุ่มอยู่
“นั่นใครน่ะ!”
‘หืม? ตายล่ะสิถูกจับได้แล้วหรือนี่’
“เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ในยามค่ำมืดเช่นนี้”
“เอ่อคือว่า”
“เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
“ทำอย่างไรต่อดีเพคะพระสนม” ซั่วอิงกระซิบถามจ้าวซูหลินด้วยเสียงอันเบา
“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน”
จ้าวซูหลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนด้านหน้าของตัวเองทีละนิด จนดวงตาของคนทั้งคู่ประสานกัน
‘บุรุษผู้นี้หล่อเหลาใช่เล่นเลยให้ตายสินึกว่าคนโบร่ำโบราณจะน่ากลัวเสียอีก แต่ชายตรงหน้ากลับมีใบหน้าคมคายผิวก็เนียนละเอียด ดูผิวของเขาสิขาวสะอาดหมดจดกว่าข้าแล้วล่ะมั้งเนี่ย’
“เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”