“ใช่แล้วไอ้แก้ว อีปิ่น หญิงผู้นี้หลงอยู่กลางป่ากล้วย มาขอที่พักที่หมู่บ้านข้าในหนึ่งคืน”
“ในที่สุดหมู่บ้านของเราก็มีแขกมาเยี่ยมเยือนเสียที!” เด็กหัวจุกเปลือยกายแสดงสีหน้าดีใจออกมาพลางกระโดดโหยงๆ สีหน้าของแพรวพราวที่มองเหล่าเด็กน้อยนั้นยิ่งยากจะอธิบาย ยิ่งเมื่อชายที่ซ้อนคชสารด้านหลังเน้นย้ำว่าที่นี่คือศรีอโยธยา แม้เป็นแค่รูปประโยคสั้นๆ แต่ชวนให้หล่อนตื่นตัวสิ้นดี
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!
แพรวพราวฉลาดพอที่จะเก็บความตกใจระคนสับสนเอาไว้จนกระทั่งชายตรงหน้ากดส้นเท้ากระแทกกลางลำตัวช้างเป็นสัญญาณให้เจ้ากานพลูหมอบลงพร้อมกับลงจากหลังช้างโดยไม่ลืมที่จะรอรับหล่อนลงมาด้วย
คำถามแรกที่ก่อขึ้นภายในใจก็คือ เธอสามารถไว้ใจผู้ชายตรงหน้าได้มากแค่ไหน?
เขาเป็นคนแปลกหน้า และเป็นคนที่เคยรู้จักกับพ่อครูคันศรที่เรียกได้ว่าพยายามรังแกหล่อนทุกวิถีทางแถมยังหลอกให้ฝ่าดงกล้วยจนฟ้ามืด สุดท้ายจะไม่หลงเป็นพวกเดียวกันหรือไง
แต่คิดว่าหล่อนมีทางเลือกมากแค่ไหนกัน?
กระท่อมหลังเล็กนั้นเต็มไปด้วยเทียนไขที่ถูกจุดให้สว่างในยามค่ำคืน ตะวันตกดินแล้วฟ้าก็มืดครึ้ม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางป่านั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องของจิ้งหรีดระคนสุนัขป่าที่หวีดร้องโหยหวน หรือที่เรียกกันในภาษาชาวบ้านว่าหมามันกำลังหอนนั่นล่ะ แพรวพราวรู้สึกหวาดกลัวมาก ทั้งๆ ที่นั่งกินข้าวเหนียวกับเนื้อสัตว์อยู่กลางแสงเทียนที่ส่องสว่างท่ามกลางความสนใจของเด็กหัวจุกชายหญิงทั้งสอง ก็มีสายตาของผู้ชายที่ช่วยเธอออกมาจากป่ากล้วยนั้นจ้องมองมาด้วย
“แม่หญิงจักบอกว่าตนมิใช่คนในยุคนี้งั้นรึ?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่หล่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวกับเขา มันไม่ได้เกิดจากความเชื่อใจแต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ซึ่งกว่าหญิงที่อยู่บนกระท่อมจะปรุงอาหารเสร็จ ฟ้าก็มืดครึ้มเสียแล้ว พรานสมิงเลยจุดเทียนปักรอบๆ เนื่องจากที่นี่กันดารจนไม่มีไฟฟ้าหรือแม้แต่แสงตะเกียง กลางหมู่บ้านมีประชุมกองเพลิงอยู่ น่าแปลกที่คนในหมู่บ้านนี้รวมตัวกันแอบมองหล่อนจากกองไฟ แต่ไม่ได้เข้ามารบกวนอะไร
ความรู้สึกแรกคือมันแปลกพิกล และไม่น่าไว้ใจ แต่เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ
“ฉันไม่รู้นะคะว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ความทรงจำสุดท้ายคือฉันตกลงมากลางอากาศ แล้วก็สติก็หลุดลอย มารู้สึกตัวอีกทีที่นี่ก็ไม่ใช่โลกที่ฉันเคยอยู่อีก”
เกิดความเงียบชั่วอึดใจ ชายผู้นั้นโพล่งออกมาหนึ่งคำ
“คงกลัวมากเลยสิหนา”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นสาวเจ้าที่กำลังจกข้าวเหนียวกับเนื้อหมูป่าทำทีเป็นแข็งแรงดีก็น้ำตาร่วงเผาะ พูดตามตรงหล่อนเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อยามสับสนก็มีมุมที่อ่อนแอเหมือนกัน
“ฮึก สรุปก็คือฉันตายไปแล้วใช่ไหม นี่มันไม่ใช่ตัวฉันใช่ไหม” ว่าพลางก้มลงมองร่างกายของตัวเอง นิ้วมือ และทุกสิ่งทุกอย่างยังไงก็ไม่ใช่แพรวพราวคนเดิมอยู่ดี ยากที่จะเชื่อว่าแพรวพราวนั้นรอดชีวิตในโลกที่เธอรุ่งโรจน์
“จักว่างั้นก็ย่อมได้ กายหยาบของแม่หญิงในโลกนั้นสิ้นไปแล้ว ตอนนี้พระพุทธองค์ให้ชีวิตใหม่แก่แม่ เพื่อให้แม่หญิงมาชดใช้กรรมในชาตินี้ อย่างไรก็อดทนไว้จนกว่ากรรมที่สร้างไว้จักถูกชดใช้จนเสร็จสิ้นเถิด” อีกฝ่ายว่าด้วยท่าทางนิ่งสงบกว่าปรกติ ทั้งที่ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านก็ดูสดใสดีอยู่แท้ๆ
แพรวพราวหยุดสะอื้นไห้ ความสงสัยในตัวเขายังก่อตัวขึ้นอยู่เรื่อยๆ
“... แล้วทำไมนายถึงรู้ได้ล่ะว่าฉันเป็นใครมาจากไหน?” เพราะเกิดความรู้สึกแปลกใจจึงโพล่งขึ้นมาพร้อมด้วยน้ำตาที่อาบนองดวงหน้างาม พรานสมิงที่จ้องมองหล่อนอยู่ท่ามกลางแสงเทียนจึงกระตุกยิ้มออกมา
“เพราะชายผู้นั้นต้องการให้แม่มาชดใช้กรรมยังไงล่ะ”
สิ้นประโยคนั้น ทั้งกองไฟกลุ่มใหญ่ด้านนอก และแสงเทียนกลับถูกอะไรบางอย่างเป่าให้ดับสนิททั้งหมู่บ้าน เกิดเสียงชุลมุนวุ่นวายขึ้นรอบๆ ของเหล่าชาวบ้านที่กำลังถูกอะไรบางอย่างมุ่งเข้ากัดกินฉีกเนื้อเถือหนัง พอๆ กับเสียงกรีดร้องของแพรวพราวที่หวีดขึ้นทันทีที่ทุกอย่างเข้าสู่ความมืดสนิท ก่อนที่ต่อมาจะถูกชายตัวใหญ่กว่าเอามือปิดปากเอาไว้จนเธอไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้นอกจากเสียงครางอื้ออึงในลำคอ
“เงียบเสีย... แพรวพราว”
“...!!!”
“สิ่งนั้นมันกำลังมา”
นั่นเป็นเสียงกระซิบทุ้มพร่าของพรานสมิงที่เรียกชื่อเล่นในโลกนั้นที่เธอจากมา ก่อนที่นอกกระท่อมจะได้ยินเสียงคำรามของอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก ร่างเน่าเฟะน่าสะอิดสะเอียนและลำตัวขนาดใหญ่ช้ำเลือดช้ำหนอง ดำเป็นตอตะโกมิต่างจากศพที่ถูกไฟเผากำลังก้าวช้าๆ ด้วยดวงหน้าสยดสยอง เรียวปากกว้างแสยะยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวฟันแหลมคม น้ำลายแฉะเยิ้มรินรดพื้นดินพอๆ กับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง
เพราะตกอยู่ในความมืด พร้อมกับความเงียบสงัด ร่างเน่าเฟะนั้นค่อยๆ ก้าวผ่านไปจากกระท่อมหลังนั้นพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพที่โชยมาตามลม
“ฮึก...!” ต่อให้เป็นนางร้ายอันดับท็อปผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ว่ากี่ฝน แต่พอมาเจอผีตัวเป็นๆ แบบนี้ก็แทบลืมหายใจเหมือนกัน หล่อนรู้สึกช็อกจนเหมือนจะขาดอากาศหายใจคาอ้อมแขนของพรานสมิงในวินาทีนั้น
“มันคือผีกะที่ไอ้คันศรเรียกมาฆ่าแม่ทิ้งในป่าอย่างไรล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบอีกครั้งเมื่อพ้นจากสายตาอาฆาตของร่างเน่าเฟะ เขาพึมพำคาถาบางอย่างแต่แพรวพราวได้ยินไม่ถนัดนักเนื่องด้วยอาการช็อกทำให้หน้ามืดหูดับไปหมด ก่อนที่ร่างของเด็กหัวจุกทั้งสองที่อยู่ด้วยกันจะเปล่งแสงหม่นในความมืด เด็กสองคนนั้นก้มลงกราบแนบเท้าของพรานสมิงที่อยู่ข้างกายหล่อน
“ตามบัญชาจ้ะพ่อ”
ร่างเล็กจ้อยนั้นสำแดงอิทธิฤทธิ์แปลงตนเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่โตที่มีดวงตาสีชาด ขู่กรรโชกใส่ร่างสะอิดสะเอียนที่อยู่นอกกระท่อม พร้อมกับพุ่งทะลุกระท่อมที่แพรวพราวกับชายแปลกหน้านามว่าพรานสมิงพำนักอยู่ไปต่อหน้าต่อตา เสียงกัดกินเข้าห้ำหั่นกับตัวตนน่าสยดสยองที่ชื่อว่าผีกะดังขึ้นนอกกระท่อมจนเกิดความชุลมุน
หมับ!
“กรี๊ด”
ร่างของแพรวพราวถูกพรานสมิงช้อนขึ้นอุ้มพร้อมกับพุ่งออกประตู ชายกำยำพึมพำคาถาอีกครั้ง ในขณะที่หล่อนจะเห็นว่าพวกชาวบ้านในหมู่บ้านต่างเปลี่ยนกายเป็นเสือโคร่งแล้วเข้าไปรุมทึ้งขย้ำผีกะตนนั้นอย่างโหดเหี้ยม เหล่าเสือรุมกินซากศพเน่าเหม็นจนเกิดเสียงคำรามโหยหวนสุดท้ายอย่างน่าเวทนา น้ำเลือดน้ำหนองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณพร้อมๆ กับตับไตไส้พุงของร่างนั้นที่มีหนอนแมลงขึ้นจนน่าขนลุกขนพอง เสือโคร่งทุกตัวฉีกเนื้อยื้อแย่งกันไปมา จนร่างเน่านั้นสลายกลายเป็นฝุ่นผง
“จงไปสู่สุขคติในสัมปรายภพเสีย ผีกะเอ๋ย”
สิ้นประโยคนั้น ร่างเสือโคร่งทุกตัวต่างมลายหายไป พร้อมๆ กับแพรวพราวที่ช็อกจนสติสตังดับวูบลงในทันที
เพล้ง!
เสียงหม้อดินลงยันต์สีชาดแตกเป็นสองส่วน ดวงตาคมกริบเบิกโพลงขึ้นมากลางตำหนักทรง เขาพ่นลมหายใจหนักหน่วง เนื่องด้วยไอ้พรานนั่นมันเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องราวของเขาอีกครา
ไอ้พรานสมิงนั่น
“เหลือเพลาอีกไม่มาก พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวอีแพรวในวันพรุ่ง หากกูมิกำจัดบ่วงนี้ให้สิ้นไป... ชะตากรรมของวาดรักจักมิปลอดภัย” เขาพึมพำกับตนเองด้วยความเคร่งเครียด เพราะวาดรักนั้นเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อครูคันศร ในวันที่เขาไม่เหลือใคร หล่อนคือคนเดียวที่ทำให้เขายังอยู่ตรงนี้ วาดรักมอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา จนเขาหลวมตัวรักหล่อนอย่างหมดดวงใจ
“พี่จักปกป้องเจ้าจนสุดความสามารถ”
ถ้าความรักคือการเสียสละ เขานี่แหละคือผู้ที่เสียสละให้วาดรักได้ทุกอย่าง ทุกอย่างแม้นกระทั่งยอมให้หล่อนกลายเป็นเมียของคนที่เขาเคารพนับถือที่สุด แม้จักรู้ว่าสักวันท่านผู้นั้นจักทำหล่อนน้ำตาตกในก็ตาม
ปล่อยอีแพรวให้มีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ บาปกรรมที่นางนั่นสร้างไว้มันหนักหนาเกินกว่าที่จักไถ่บาปได้แล้ว
ผีกะตายโหงโดนกำจัดทิ้งจากฝูงพรายสมิงที่รุมทึ้งซากศพอย่างป่าเถื่อน ส่วนอีแพรวนั้นรอดชีวิตแลกำลังอยู่ในอุ้งมือของพรานสมิง เพื่อนเก่าแก่ของเขา ที่แตกหักกันเพราะเรื่องของผู้หญิงมาก่อน
วาดรักคือ ‘ลูกสาว’ ของผู้หญิงคนนั้น
เมื่อสุดท้ายเขาต้องจากกับเธอ ทั้งความตายที่เคยเป็นคำสาปแช่งที่มาจากอคติ ทั้งความรู้สึกชิงชังในวันนั้น ที่ในวันนี้มันกลายเป็นเพียงคำหลอกลวง เพราะเขานั้นหลงรักอีแพรวตั้งแต่แรกเจอแรกเริ่มอาจจะเป็นเพราะดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับดอกรัก จนรู้สึกไปเองว่านั่นอาจเป็นความชิงชังที่ดูคล้ายกับยาพิษอันหอมหวาน ความรู้สึกในตอนที่ร่วมรักกับเธอ นั่นราวกับการมอบพรหมจรรย์ให้กับโอกาสสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใครแปลงกายมากันแน่ทุกวันเขาบอกตนเองว่า ดอกรักไม่มีจริง คนที่คล้ายคลึงกับดอกรักเองก็ไม่มีจริงเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ดอกรัก เธอเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่หน้าตาคล้ายกับคนอัครที่เขาเคยรักเท่านั้นการปฏิบัติตัวที่ผ่านมากับแพรวพราวนั้น ราวกับเป็นการชดเชยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกับดอกรักมาโดยตลอด ที่เธอเคยปฏิเสธเขา ที่เธอทำท่ารังเกียจรังงอนเขา ที่เธอไม่แม้แต่จะมอบดวงใจให้เป็นของเขา เขาใช้ความรู้สึกน่ารังเกียจด้านมืดเหล่านี้ ส่งต่อให้กับแพรวพราวซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไร ในเรื่องราว ระหว่างเขา และอดีตคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดเลยสักนิดแต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์ อคตินั้นยิ่งบ
“แพรว ข้า...” ฝ่ามือหยาบหนานั้นกำหมัดแน่นจนสั่นเทิ้ม เขาแค้นใจและนึกอาฆาตเธอมาตลอดทั้งเรื่องราว แต่ทันทีที่เธอยอมรับความคิดนั้นของเขาและยอมที่จะตายโดยไม่มีข้อแม้ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “ข้า... ไม่กล้าพอที่จักฆ่าเจ้า ข้าจึงใช้สังวรีราพณ์เป็นข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”“วันนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือสิ่งสำคัญ ข้าไม่ได้อยากขอโอกาสจากเจ้า ข้ารู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ แต่ข้า... กลับใช้สิ่งนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงเพื่อที่จะกำจัดเจ้า เจ้าจักไปจากข้าก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ข้าได้แก้ไขในสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดไปด้วยเถิด” พ่อหมอไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองอย่างถ่องแท้หรอก เขาก็แค่กลัวว่าจะเสียเธอไปทั้งอย่างนี้เท่านั้น เพราะความรู้สึกในตอนที่เห็นว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น และห้องอันว่างเปล่านั่นทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตอนที่ดอกรักตายจากไปในอ้อมแขนของเขาเสียอีกอาจจะเพราะหล่อนหน้าตาคล้ายกับเมียที่ตายจากไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงที่เขาจะไม่มีวันได้ครอบครอง ผู้หญิงที่ทั้งหัวใจมีเพียงแค่พรานสมิงเท่านั้น ผู้หญิงที่แม้แต่ลูกที่เขาเฝ้าดูแล ยังไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อของเขาด้วยซ้ำเขาทำลา
คำพูดของพรานสมิงทำให้แพรวพราวได้ฉุกคิด ที่ผ่านมาเธออาจไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าที่เธอรักนับสิบ และคิดว่าเขาคือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ แสนดีกับเธอมาโดยตลอด อาจจะเป็นความรู้สึกถึงชัยชนะที่เธอมีต่อฟ้าลดา ผู้หญิงที่เป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอ เมื่อเธอตั้งท้องและคันศรไม่ต้องการกัน ทำให้แพรวพราวรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธอีกครั้ง เธอเสียใจ และเมื่อเขาพาวาดรักเข้ามา เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำตัวตนของตนเองจนลบเลือนหายไปที่บอกว่าการไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จริงแล้วเธออาจจะโกหกตัวเอง การที่เธอบอกว่าเธอรักนับสิบอาจจะเพราะว่ามันคือชัยชนะที่โหยหามาโดยตลอด กับผู้ชายที่ฟ้าลดาหลงรัก แพรวพราวไม่มีวันลืมวันที่เธอก้าวเข้าหาเขา เพราะว่าข่าวลือที่ฟ้าลดาคนนั้นชอบพอกับคนในวงการเดียวกันที่เล่นละครด้วยกันเป็นคู่พระนางตลอดมาเหมือนที่ฟ้าลดาเป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่รู้เรื่องราวการมีอยู่ระหว่าง DNA ของแม่กับแพรวพราวด้วยซ้ำ นับสิบเองก็ไม่ได้ผิดที่หลงรักเธอ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว และต้องการเรียกร้องความรักจากแม่ของเธอเท่านั้นมันก็แค่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจของเธอเอง... ค
“นึกสงสัยขึ้นมาได้แล้วหรือแม่หญิงของข้า?”แต่ทว่าในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ท่ามกลางร่างใหญ่มหึมาของกานพลูนั้นปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งโผล่ตัวขึ้นมาเหนือกายยักษ์ของช้างเชือกนั้น“... พรานสมิง” แพรวพราวยอมรับตามตรงว่าตกใจ ก็ไหนว่าเขาหนีหายออกไปแล้วยังไงล่ะ เพราะว่ารับไม่ได้ที่เธอตั้งท้องกับคันศร หรือว่าผัวเธอโป้ปดกันอีกแล้ว?“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาไถ่ถาม โดยไม่ดูสถานการณ์ว่าหล่อนกำลังเข้าตาจนอยู่เลยสักนิด“นะ... ไหนพี่ศรบอกว่านายหนีไปแล้ว?”“ข้าแค่แวะไปหาลูกเท่านั้นแล” ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยักไหล่ปัดป้องและบอกความเป็นจริง “โดนทิ้งมาอีกแล้วสินะ”หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจดวงน้อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง หรือจะยอมรับว่ามันไม่ใช่ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนตัดสินใจหนีออกมาด้วยตัวเองต่างหาก… แต่นั่นก็เพราะว่าคนๆ นั้นแสดงออกว่าไม่ต้องการกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง ก็เลยเจ็บใจเหมือนโดนแทงใจดำกันอย่างช่วยไม่ได้“พูดบ้าๆ ฉันต่างหากที่อุ้มท้องหนีออกมาเพราะเขาพาคุณวาดรักกลับมาที่เรือนนั่น” หญิงสาวคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องโกหกผู้ชายตรงหน้าหรอก เขาเห็นสภาพน่าสมเพชน
อยู่ดีๆ เมื่อรู้ว่าหล่อนได้หนีหายออกไปหลังจากที่เขาได้พาวาดรักกลับมาและปลดแอกทุกอย่าง คันศรที่เคยมั่นอกมั่นใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนเหลือเกิน และต้องการจะฆ่าหล่อนมากที่สุด กลับรู้สึกเจ็บปวดกับการที่ไม่มีเธออยู่ในห้อง และได้รับรู้ว่าเธอหนีออกไปแล้วเพราะทนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป การตามหาเธออาจจะยากเย็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แถมยังเป็นอสุรกายในตำนานอีกต่างหาก ยิ่งอีกฝ่ายต้องการจะหนีหน้าเขาด้วยแล้ว คงสามารถลบกลิ่นอายของเดรัจฉานได้จนไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่ทำไมเขาถึงได้เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้?ทำไมถึงเพิ่งมารู้สึกได้ว่าเธอและลูกสำคัญกับเขาเพียงไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ“ภูติผีทุกตนที่กูมีอยู่ในขณะนี้ จงออกไปตามหานางแลพานางกลับมาหากูให้ได้ ไม่ว่าจะเจอนางในสภาพไหน ก็จงบอกนางว่ากู...” ท้ายประโยคเขากลืนน้ำลายเพียงอึกเดียวด้วยความยากเย็นที่จะกล้าก้าวผ่านทิฐิที่สูงเสียดฟ้า เผลอลืมตัวไปว่าเคยพูดว่าเกลียดเธอขนาดไหน ก่อนที่จะกลั้นใจโพล่งขึ้นประกาศิตออกมา “ต้องการนาง”เงามืดจำนวนมากหลุดพ้นออกไปจากเขตอาคมของเขา และออกตามหาหญิงสาวที่เ
“อย่างไรลูกก็รู้สึกไม่ดีเจ้าค่ะ ที่ราวกับว่าจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับเมียของท่านเช่นนี้”วาดรักโพล่งขึ้นมาหลังจากที่คันศรเข้ามาดูแลเธอด้วยการนวดปลายนิ้วเท้าที่ชาวางลงกับขันรองน้ำอุ่น คอยนวดส่วนไม่งามและอาจผิดครูให้ลูกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำแน่นอนว่าเขาเองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงเข้ามาทำเช่นนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังเห็นว่าลูกสาวที่พากลับมาที่บ้านกำลังพยายามนวดปลายนิ้วเท้าของตนเอง อาการชาน่าจะมาจากท้องที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปกระมังแม้นิสัยจะไม่ใช่คนที่มีความละเอียดอ่อนอะไรนัก แต่เขาเองก็พอเคยดูแลเมียท้องแก่ที่ไม่ได้รักเขาเลยอยู่บ้าง จะให้มาดูแลลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เลือดเนื้อของตนเองเลยอีกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ก็แค่... อาจเพราะว่าดวงของเขาดึงดูดมาแต่คนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาทั้งชีวิตก็ได้ล่ะมั้งหากแต่สิ่งเดียวที่ชัดเจนในวันนี้... คือหลังจากที่วาดรักได้กลับมาที่นี่ ความรู้สึกสงบในจิตใจจึงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงปั่นป่วนรวนเร ทั้งความรู้สึกแย่ๆ จิตใจอันคิดลบและความฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอดีตที่เลวร