Share

เป็นเมียหมอผี บทที่ ๒ (๒)

last update Last Updated: 2025-06-02 00:02:51

ในขณะที่อีกฝั่ง แพรวพราวกำลังประสบวิกฤตครั้งใหญ่

เธอเดินมาที่ต้นกล้วยที่ผลสุกเต็มต้นต้นเดิมอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าได้แล้ว ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ฟ้าเริ่มฝ้าฟางกลายเป็นสีส้มกล่ำ เหงื่อกาฬของหล่อนค่อยๆ ไหลลงตามขมับจนมาถึงคาง

แพรวพราวกัดฟันทนไม่ยอมร้องไห้ออกมาทั้งที่อยากร้องเต็มเหนี่ยว เธอไม่มีรองเท้า เมื่อเดินบนดินร้อนๆ เป็นเวลานาน ฝ่าเท้าจึงเริ่มแสบและเป็นแผล หญิงสาวสวยยืนแหงนหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะเริ่มพ่นลมหายใจ

“ถ้าฉันตายจริงๆ ก็ดี...”

“แม่หญิง แม่หญิงคนนั้นน่ะ!”

แต่ก็ต้องผวาเฮือกเมื่อทันทีที่ฟ้าตกสีชาด ก็บังเกิดเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นกลางป่า ทั้งที่เสียงดังมากแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นหน้าหรือเห็นตัว

“คะ... ใคร!” หญิงสาวลืมตัวเผลอตอบรับพลางชะงักงันรีบเอามือปิดปาก หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด? แบบนี้เธอขานรับไปแล้วจะเป็นอะไรไหม เพราะมันไม่เห็นมีคนเดินมาทางนี้เลยนอกจากน้ำเสียงทุ้มพร่าที่โผล่ขึ้นกลางป่าที่ฟ้าเริ่มกำลังจะมืด เวลานี้เขาเรียกเวลาโพล้เพล้สินะ

“แม่หญิง แม่หญิงที่ขานรับข้า ได้โปรดเดินมาทางขวาขอรับ!”

เสียงนั้นใกล้ขึ้นอีก เป็นเสียงทุ้มต่ำแหบห้าวแต่ให้ความรู้สึกหลอนแปลกๆ เพราะรอบตัวเธอมีแต่พงกล้วย สีหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือด ไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าเดินไปตามที่เสียงนั้นบอกแน่ จึงส่ายหน้าหวือกับตัวเองโดยไม่ส่งเสียงออกมา

“...”

“แม่หญิง เชื่อใจกันเถิด ข้ามาช่วยท่าน”

“ละ... หลอกกันชัดๆ เป็นผีใช่ไหมล่ะ!” สุดท้ายก็อดไม่ได้เผลอตอบกลับไป

“ผีเผอกระไร ข้านี่แหละคนเป็นๆ” เสียงที่ลอยมาตามลมเจือเสียงกลั้วหัวเราะเย็นๆ

“แล้วทำไมไม่ออกมาให้เห็นตัวล่ะ!” คราวนี้เธอหลับตาถามไปตรงๆ เสียงนั้นจึงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ดงกล้วยจะเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนมีสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ กำลังก้าวตรงมาทางนี้ แพรวพราวแตกตื่น เธอเริ่มพนมมือสวดมนต์ทุกคาถาเท่าที่นึกออก

แม่! ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแม่ ขอโทษที่ใช้เงินพ่อสุรุ่ยสุร่าย แต่ก็โอนคืนแล้วนะ

พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย!

แซ่ก!

“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องมาก่อนใคร เมื่อภาพตรงหน้าคือคชสารตัวใหญ่ที่ชูงวงแผ่หูกว้างเท่าใบลานใส่หล่อน หญิงสาวล้มก้นจ้ำเบ้าจนถังไม้และคานหาบหล่นลงระเนระนาด ยังไม่ได้น้ำสักหยดแถมยังต้องมาโดนช้างทับตายอีก ชีวิตเธอมันอนาถอะไรแบบนี้ ตายซ้ำตายซ้อนไม่หยุดหย่อน ตกสลิงตายแล้วยังหลงป่ามาโดนช้างเหยียบตายอีก

แต่ทว่า

“กานพลู สงบลงเสีย เจอหญิงสาวสวยเป็นมิได้เลยนะ!” เสียงที่โพล่งออกมากลับเป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคชสารตัวนั้นและกำลังพูดกับช้าง! รูปร่างของเขามันคือมนุษย์ดีๆ นี่เอง (แถมหล่อด้วย) แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ สาวเจ้าเลยกระถดตัวถอยหนี

ก็นี่มันคนแปลกหน้า ถึงร่างใหม่จะหน้าคมผสมแขกแต่ก็สวยอยู่ อาจจะถูกลวงจับไปทำมิดีมิร้ายก็ได้

“อย่าเข้ามานะ!”

“กระไรกัน คนเขาอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ”

“นายเป็นผีใช่ไหม!”

“เฮ้อ แม่หญิง” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังดื้อแพ่งเชื่อในความคิดตัวเองว่าเขาเป็นผีอยู่ ชายหนุ่มจึงใช้หลังส้นเท้ากระแทกลำตัวคชสารของตนให้หมอบลง เพื่อที่จะกระโดดลงจากหลังช้างตรงมาหาแม่คนสวยที่นั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น “ลองจับข้าดูไหมล่ะ”

“... ฮะ?”

“ลองจับข้าดูไหม เผื่อจักได้เชื่อกันได้ว่าข้าก็คือคนกันเองนี่แล” ดวงหน้าคมกร้าวยิ้ม เขายื่นดวงหน้าหล่อเหลาออกไทยแท้มาตรงหน้าหล่อน แพรวพราวรู้สึกว่าเขางานดี อารมณ์บ็อคซิ่งบอย เลยเอามือไปแตะที่แก้มสากของอีกฝ่าย

มัน... อุ่นมาก

“คนนี่นา”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าน่ะคน คนจริงๆ”

“ก็อยู่ดีๆ ขี่ช้างตัวใหญ่ขนาดนั้นมา ใครจะไม่ตกใจล่ะคะ” คราวนี้เลยใช้จริตหวานทัดปอยผมทำทีสุภาพ ก็ชายตรงหน้าเป็นคน แถมยังหล่อถูกใจขนาดนั้น งานนี้ต้องพึ่งพาความสวยของตัวเองหน่อยแล้วล่ะ อย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะใช้งานได้ ถ้าใช้มารยาหญิงสักหน่อย “อุ้ย เจ็บจัง”

“แม่หญิงเป็นกระไร? เจ็บขาหรือ” เมื่อเห็นว่าสาวสวยที่ทำท่าจะลุกขึ้นยืนดันเสียหลักล้มลงไปกุมข้อเท้าเล็กของตนเอง ผู้ชายตรงหน้าก็มีสีหน้าที่ดูเป็นห่วงอย่างชัดเจน “เจ็บหรือไม่ ให้ข้าอุ้มดีไหม”

“... อื้อ” อื้อแบบมีจริต จริงๆ ก็คือเจ็บนิดหน่อย นอกนั้นก็คืออยากเช็คเรตติ้งล้วนๆ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าอ่อยนั่นเอง)

สิ้นประโยคตอบรับ ชายผู้ได้รับอนุญาตให้แตะเนื้อต้องตัวสาวจึงค่อยๆ โน้มตัวยกร่างกายเล็กๆ อรชรนั้นขึ้นอุ้มแนบอก เขาเป็นคนตัวใหญ่ ผิวกล่ำแดด และกล้ามแน่นปึก ดวงหน้าแพรวพราวซบลงกับแผ่นอกแข็งแรง จนชายหนุ่มเผลอลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อทรวงอกอิ่มล้นออกมาจากผ้านุ่งอก

“จะว่าไป” เมื่อเขายกหล่อนขึ้นหลังช้าง พร้อมกับยกตัวขึ้นตาม หญิงสาวจึงโพล่งขึ้นมา ด้วยความเคยชินเพราะหล่อนเคยเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนขี่ช้างขึ้นดอยบ่อยๆ แถมพื้นเพเป็นคนรักสัตว์อีกด้วย “แถวนี้คงมีหมู่บ้านเล็กๆ ใช่ไหม”

“ใช่ แม่หญิงกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านนั้นหรือ”

“ก็ประมาณนั้น พ่อครูคันศรบอกให้มาฉันก็มาน่ะ เขาจะให้ฉันเอาไอ้เนี่ย ไปหาบน้ำมาเติมให้เต็มโอ่ง” พูดพลางชี้มือไปทางคานหาบและถังไม้เล็กๆ ที่กองอยู่ที่พื้น ชายผู้นั้นตวัดสายตาลงไปมองปราดเดียว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“อ้อ ไอ้หมอผีนั่นน่ะรึ มันคงหลอกแม่หญิงเข้าแล้วล่ะ”

“เดี๋ยวนะคะ” ถึงจะคิดไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะรู้จักกับพ่อหมอนั่น “คุณรู้จักพ่อหมอคันศรอะไรนั่นด้วยเหรอ?”

“ก็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่” เขาฉีกยิ้ม สีหน้าคมเข้มนั้นหล่อนเพิ่งสังเกตุว่ามันมีรอยบากที่ข้างขมับเป็นทางยาว “แต่ตอนนี้จักเรียกว่ามิตรสหายก็มิเต็มปากนัก เอาเป็นว่าแม่หญิงขี่เจ้ากานพลูเข้าหมู่บ้านไปกับข้าก่อนเถิด เราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่พอจักให้ที่พำนักชั่วคืนให้แม่หญิงได้ จักให้กลับตอนนี้เกรงว่าจักมีภัยอันตรายเอา... อย่างเช่นสัตว์ป่า”

“สัตว์ป่า!” เป็นไปได้ไหมว่าพ่อหมอนั่นจะเลี้ยงสัตว์ดุร้ายเอาไว้ในป่ากล้วย?

“แต่เจ้ากานพลูมิอันตรายดอก ข้าฝึกจนเชื่องแล้ว”

เจ้ากานพลูคงจะเป็นชื่อของช้างตัวนี้สินะ สาวเจ้าคิดในใจพลางลูบหัวมันเบาๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างยอมจำนนต่อเหตุผล

“รบกวนด้วยแล้วกันค่ะ แล้วช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่คือยุคสมัยไหนกันแน่ และฉันกำลังอยู่ที่ไหน”

“ย่อมได้สิ” ชายหนุ่มแปลกหน้ารับคำเหมือนเขาเองก็รู้อะไรบางอย่างมาเช่นกัน พลางชักเท้าบังคับให้เจ้ากานพลูที่หมอบลงอยู่ค่อยๆ หยัดตนลุกขึ้น มันโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ไม่นานเอวคอดนั้นก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือหยาบกร้าน ทั้งสองเหลียวมองสบตากัน แล้วชายผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มพราย “มิชอบให้ต้องตัวรึ?”

“ถ้ามันจำเป็น ก็ไม่เป็นไรหรอก” หล่อนหันหน้าหนีกลับไป ชายผู้นี้สู้มือดีชะมัด ไม่หวั่นไหวกับสายตาทรงเสน่ห์ของแพรวพราวเลยสักนิด ดูไม่ธรรมดาเอสเสียเลย

“งั้นก็ไปกันเถิด”

ใช้เวลาไม่นานนัก ดงป่ากล้วยที่เจ้าช้างกานพลูลุยออกไปก็พ้นแสงสว่างมาสู่หมู่บ้านซอมซ่อเล็กๆ หมู่บ้านที่ทั้งสองมาถึงนั้นเป็นหมู่บ้านที่ทุกหลังไม่ต่างจากกระท่อมเก่าๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักทำไร่นา บางส่วนหาบฟืน ดูผิวกล่ำแดดแถมแต่งตัวนุ่งกระโจมอกโบราณไม่เว้นทั้งชายและหญิง

แพรวพราวรู้สึกได้เลยว่าที่หล่อนสันนิษฐานไว้และคิดว่ามันเหลือเชื่อเกินไป อาจจะเป็นความจริง

การแต่งกายแบบนี้ ผิวคล้ำแดดทั้งชายและหญิง ทรงผมสั้นแบบนั้น

ยุคสมัยใหม่เขาไม่แต่งตัวกันแบบนี้กันหรอก!

“อโยธยาน่ะ เจ้ารู้จักใช่หรือไม่” นั่นเป็นประโยคที่ออกมาจากปากของชายที่นั่งซ้อนหลังราวกับรู้ทันในความคิด และเนื่องจากหญิงสาวนั้นผิวพรรณดีกว่าหญิงในหมู่บ้านทั้งหมด ทั้งผู้ชายไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดง หนุ่มหรือแก่ต่างมองหล่อนที่ขี่เจ้ากานพลูกลับมากับชายที่น่าจะเป็นหนึ่งในชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ด้วยความสนอกสนใจ

“พาใครมาด้วยงั้นหรือพ่อพรานสมิง!” เสียงที่ดังขึ้นรอบๆ นั้นเป็นเหล่าเด็กหัวจุกที่เปลือยทั้งตัวกำลังละเล่นขี่กะลามะพร้าวอยู่รอบๆ ดูไม่ออกว่าเป็นเพศหญิงหรือชายเพราะทุกคนล้วนแก้ผ้าจนหมด สีหน้าของหญิงสาวเริ่มหวาดหวั่น ชายผู้นี้ชื่อพรานสมิง? แล้วอโยธยานี่มันอะไร ยุคสมัยศรีอโยธยาที่เคยเล่นในละครย้อนยุคหรือไงกัน!

นี่หล่อนหลงยุคมาใช่ไหม

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๓)

    แพรวพราวไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอนั้นมันช่างมหาศาลจนสามารถสะกดหมอผีที่หยิ่งยโสคนนั้นได้จนอยู่หมัด เขาที่เธอนั่งคร่อมอยู่เหนือกว่าด้านบนนั้นมองคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาสั่นไหว วันนี้มันคืนเดือนมืด ดวงตาของหล่อนส่องแสงราวกับทับทิมสีแดงก่ำ“มึง... หยุดประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นกูจักออกคำสั่งให้พวกผีมาฆ่ามึงอีกครา”“เอาสิ ฉันไม่กลัวผี สู้แรงกันให้ได้ก่อนเถอะ คุณในตอนนี้เสร็จฉันแน่” แต่หล่อนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงสั่นคลอนนั่นแม้ใจความจะขู่กรรโชกอยู่ก็ตาม ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนคืนนี้หล่อนจะเร่าร้อนเป็นพิเศษ กำหนัดจนไม่สนอะไรทั้งนั้นแม้แต่ความกลัว ยิ่งกว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เสียอีก มันต้องการสูบพลังชีวิตใครบางคนในยามที่มีความอยากอันร้อนแรงหมับ!ไหล่หนาเปลือยเปล่าแข็งแกร่งถูกมือเล็กจ้อยมือเดียวผลักให้กระแทกกับพื้นหญ้าเปียกชื้นอันเย็นชืด มันไม่สบายตัวเอาเสียเหลือเกิน แต่เขาไม่สามารถสู้แรงหล่อนได้เลย อีแพรวในตอนนี้พละกำลังมหาศาลจนใช้สองมือกดเขาไว้แน่นไม่ต่างกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนังนี่มันมิใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ เรากำลังจักเสร็จมัน“ปล่อยกู!”“มาให้ฉันกินเสียดีๆ เถอะค่ะพ่อหมอ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว แล

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๒)

    การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีกสัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัดเมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะแต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อยพ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...แต่!“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๑)

    “ข้าทำตามได้อยู่แล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับตกลงรับคำไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งนั้น เขาไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับสาววัยแรกรุ่นที่ถ้าเทียบการถือกำเนิดและอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วนับร้อยปี แพรวพราวไม่ต่างอะไรกับลูกหลานเหลนโหลนของเขาด้วยซ้ำไปนั่นทำให้สาวเจ้านึกโล่งใจ อย่างน้อยถ้าได้รับความร่วมมือจากฝ่ายชายอย่างแข็งขัน หล่อนอาจจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาได้แบบสันติสุขโดยไม่มีการเสียตัวให้กันและกัน คิดดังนั้นจึงตรงเข้าไปในเรือนใหญ่หรูหรา ที่มีห้องหับแบบโบร่ำโบราณแยกกันอยู่สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นห้องน้ำ อีกฝั่งเป็นห้องหลับนอน ห้องทำกับข้าวน่าจะเป็นการผิงไฟย่างเนื้ออยู่ด้านนอกแบบหมู่บ้านเก่าของเขากระมังโลกนี้น่าจะไม่มีอลาคาสหรูหราแบบที่ทานอยู่เป็นประจำ เธอไหวไหล่อย่างไม่แคร์ ถ้าอยากอยู่รอดในโลกนี้ต้องทนๆ เอา ข้าวเหนียวห่อใบตองก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักพูดถึงข้าวเหนียวห่อใบตอง ก็คิดถึงโรเบิร์ตขึ้นมาเลย ตั้งแต่กลับมาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แถมพ่อหมอก็ไม่ได้พูดถึงด้วยโฮ่ง!แต่ทว่านึกถึงไม่ทันไร ก็เกิดเสียงดังอยู่กลางป่ากล้วยเป็นเสียงเห่าของสุนัข แพรวพราวโผล่หน้าออกมาจากบานหน้าต่างฝั่งปีกห้องนอนทั

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๓ (๓) จบตอน

    แพรวพราวชะงักไป หล่อนจ้องเขาตาเขม็ง“ไหนว่าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนไงคะ” ก็เมื่อครู่เขายังยอมเซ็นสัญญาปากเปล่าเป็นเด็กในสังกัดเธอโดยไม่รับข้อแม้อะไรอยู่เลย“นี่หาใช่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ แม่รับมือไอ้คันศรมิได้ดอก ข้าเองก็มิมีหมู่บ้านให้อยู่อาศัยอีกต่อไป หมู่บ้านนั้นนอกจากเสือก็มีเพียงข้าคนเดียวที่เป็นคน”“...”“การไปร่วมชายคากับแม่เป็นทางเลือกที่ข้าเต็มใจจักเลือก... ข้าอยากอยู่กับแม่”ต๊าย มีผู้ชายตื้ออยากอยู่ด้วยแล้ว“ก็ได้ ถ้าอยากมาก็มา ยังไงนั่นก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว” แต่การถูกตามตื้อไม่ใช่ปัญหาของคนที่เคยพราวเสน่ห์อย่างเธอหรอก ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเธอจะอวดดีกลับไปโต้อารมณ์กับพ่อครูคันศรเพียงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แพรวพราวยังไร้กำลังนัก และหล่อนรู้ดีว่าโลกใบนี้ชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน“งั้นข้าจักพาแม่ไปส่งประเดี๋ยวนี้เลย” ร่างกำยำค่อยๆ หยัดเดินขึ้นมาที่ริมเนินตลิ่ง เจ้ากานพลูชูงวงอย่างเริงร่าจากที่แอบฟังชายหญิงสองคนพูดคุยกันอยู่นานสองนาน มันเดินตามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย พรานสมิงเปิดเปลือยอวดความบาดตาบาดใจให้หญิงสาวได้เห็น แต่เมื่อเขาจะแต่งกายก็ถูกเจ้ากานพลูเอางวงมาปิดช่วงล่างเอา

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๓ (๒)

    “ถ้าฉันไปอยู่กับพระยาสิงห์ ก็ต้องอยู่ในฐานะเมียน้อยล่ะสิ” เรื่องแบบนี้ยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่“ใช่”“ไม่มีทางหรอกค่ะ”“แม่มิมีทางเลือกดอก” แต่ความคาดหวังและการตัดสินใจที่เสรีถูกปัดตกไปตั้งแต่ที่เกิดเป็นโสเภณีในยุคโบราณแบบนี้แล้ว ยุคสมัยนี้ผู้หญิงไม่ได้มีปากมีเสียง มีความคิดที่อิสระเหมือนบ้านเราในปัจจุบัน สิ่งที่แพรวพราวเลือกได้คือต้องอยู่กับพระยาสิงห์ในฐานะอนุภรรยา หรือถ้ากล้ำกลืนความเป็นเมียน้อยคนแก่พุงพลุ้ยไม่ได้ ก็ต้องตายเท่านั้นเองแต่อยู่ดีๆ สาวเจ้าก็บังเกิดความคิดสุดบรรเจิดและค่อนข้างที่จะสุดโต่งขึ้นมาในหัวแล้วถ้าหล่อนยอมเป็นเมียของคนที่คิดจะฆ่าหล่อนมาตั้งแต่แรก และพยายามทำให้เขาตกหลุมรักให้ได้ล่ะ?ถ้าเธอยอมปรนนิบัติรับใช้พ่อครูคันศร เขาจะเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือเธอหรือเปล่า?แน่นอนว่าพรานสมิงเองก็น่าสนใจ แต่ทำไมเธอถึงไม่เลือกเขาน่ะเหรอ?ก็เพราะว่าไม่ตรงสเปคยังไงล่ะอีกอย่าง... ก็เพราะติดใจในหน้าตาที่ละหม้ายคล้ายคลึงกับนับสิบราวกับคนเดียวกันอย่างน่าประหลาดของเขา ถ้าเกิดว่าหมอผีคนนั้นเป็นนับสิบในชาติที่แล้วจริงๆ เธอจะได้เจอกับนับสิบในภพปัจจุบันอีกไหม?ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... พอคิดว่าจ

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๓ (๑)

    “ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status