ในขณะที่อีกฝั่ง แพรวพราวกำลังประสบวิกฤตครั้งใหญ่
เธอเดินมาที่ต้นกล้วยที่ผลสุกเต็มต้นต้นเดิมอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าได้แล้ว ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ฟ้าเริ่มฝ้าฟางกลายเป็นสีส้มกล่ำ เหงื่อกาฬของหล่อนค่อยๆ ไหลลงตามขมับจนมาถึงคาง
แพรวพราวกัดฟันทนไม่ยอมร้องไห้ออกมาทั้งที่อยากร้องเต็มเหนี่ยว เธอไม่มีรองเท้า เมื่อเดินบนดินร้อนๆ เป็นเวลานาน ฝ่าเท้าจึงเริ่มแสบและเป็นแผล หญิงสาวสวยยืนแหงนหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะเริ่มพ่นลมหายใจ
“ถ้าฉันตายจริงๆ ก็ดี...”
“แม่หญิง แม่หญิงคนนั้นน่ะ!”
แต่ก็ต้องผวาเฮือกเมื่อทันทีที่ฟ้าตกสีชาด ก็บังเกิดเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นกลางป่า ทั้งที่เสียงดังมากแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นหน้าหรือเห็นตัว
“คะ... ใคร!” หญิงสาวลืมตัวเผลอตอบรับพลางชะงักงันรีบเอามือปิดปาก หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด? แบบนี้เธอขานรับไปแล้วจะเป็นอะไรไหม เพราะมันไม่เห็นมีคนเดินมาทางนี้เลยนอกจากน้ำเสียงทุ้มพร่าที่โผล่ขึ้นกลางป่าที่ฟ้าเริ่มกำลังจะมืด เวลานี้เขาเรียกเวลาโพล้เพล้สินะ
“แม่หญิง แม่หญิงที่ขานรับข้า ได้โปรดเดินมาทางขวาขอรับ!”
เสียงนั้นใกล้ขึ้นอีก เป็นเสียงทุ้มต่ำแหบห้าวแต่ให้ความรู้สึกหลอนแปลกๆ เพราะรอบตัวเธอมีแต่พงกล้วย สีหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือด ไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าเดินไปตามที่เสียงนั้นบอกแน่ จึงส่ายหน้าหวือกับตัวเองโดยไม่ส่งเสียงออกมา
“...”
“แม่หญิง เชื่อใจกันเถิด ข้ามาช่วยท่าน”
“ละ... หลอกกันชัดๆ เป็นผีใช่ไหมล่ะ!” สุดท้ายก็อดไม่ได้เผลอตอบกลับไป
“ผีเผอกระไร ข้านี่แหละคนเป็นๆ” เสียงที่ลอยมาตามลมเจือเสียงกลั้วหัวเราะเย็นๆ
“แล้วทำไมไม่ออกมาให้เห็นตัวล่ะ!” คราวนี้เธอหลับตาถามไปตรงๆ เสียงนั้นจึงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ดงกล้วยจะเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนมีสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ กำลังก้าวตรงมาทางนี้ แพรวพราวแตกตื่น เธอเริ่มพนมมือสวดมนต์ทุกคาถาเท่าที่นึกออก
แม่! ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแม่ ขอโทษที่ใช้เงินพ่อสุรุ่ยสุร่าย แต่ก็โอนคืนแล้วนะ
พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย!
แซ่ก!
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องมาก่อนใคร เมื่อภาพตรงหน้าคือคชสารตัวใหญ่ที่ชูงวงแผ่หูกว้างเท่าใบลานใส่หล่อน หญิงสาวล้มก้นจ้ำเบ้าจนถังไม้และคานหาบหล่นลงระเนระนาด ยังไม่ได้น้ำสักหยดแถมยังต้องมาโดนช้างทับตายอีก ชีวิตเธอมันอนาถอะไรแบบนี้ ตายซ้ำตายซ้อนไม่หยุดหย่อน ตกสลิงตายแล้วยังหลงป่ามาโดนช้างเหยียบตายอีก
แต่ทว่า
“กานพลู สงบลงเสีย เจอหญิงสาวสวยเป็นมิได้เลยนะ!” เสียงที่โพล่งออกมากลับเป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคชสารตัวนั้นและกำลังพูดกับช้าง! รูปร่างของเขามันคือมนุษย์ดีๆ นี่เอง (แถมหล่อด้วย) แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ สาวเจ้าเลยกระถดตัวถอยหนี
ก็นี่มันคนแปลกหน้า ถึงร่างใหม่จะหน้าคมผสมแขกแต่ก็สวยอยู่ อาจจะถูกลวงจับไปทำมิดีมิร้ายก็ได้
“อย่าเข้ามานะ!”
“กระไรกัน คนเขาอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ”
“นายเป็นผีใช่ไหม!”
“เฮ้อ แม่หญิง” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังดื้อแพ่งเชื่อในความคิดตัวเองว่าเขาเป็นผีอยู่ ชายหนุ่มจึงใช้หลังส้นเท้ากระแทกลำตัวคชสารของตนให้หมอบลง เพื่อที่จะกระโดดลงจากหลังช้างตรงมาหาแม่คนสวยที่นั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น “ลองจับข้าดูไหมล่ะ”
“... ฮะ?”
“ลองจับข้าดูไหม เผื่อจักได้เชื่อกันได้ว่าข้าก็คือคนกันเองนี่แล” ดวงหน้าคมกร้าวยิ้ม เขายื่นดวงหน้าหล่อเหลาออกไทยแท้มาตรงหน้าหล่อน แพรวพราวรู้สึกว่าเขางานดี อารมณ์บ็อคซิ่งบอย เลยเอามือไปแตะที่แก้มสากของอีกฝ่าย
มัน... อุ่นมาก
“คนนี่นา”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าน่ะคน คนจริงๆ”
“ก็อยู่ดีๆ ขี่ช้างตัวใหญ่ขนาดนั้นมา ใครจะไม่ตกใจล่ะคะ” คราวนี้เลยใช้จริตหวานทัดปอยผมทำทีสุภาพ ก็ชายตรงหน้าเป็นคน แถมยังหล่อถูกใจขนาดนั้น งานนี้ต้องพึ่งพาความสวยของตัวเองหน่อยแล้วล่ะ อย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะใช้งานได้ ถ้าใช้มารยาหญิงสักหน่อย “อุ้ย เจ็บจัง”
“แม่หญิงเป็นกระไร? เจ็บขาหรือ” เมื่อเห็นว่าสาวสวยที่ทำท่าจะลุกขึ้นยืนดันเสียหลักล้มลงไปกุมข้อเท้าเล็กของตนเอง ผู้ชายตรงหน้าก็มีสีหน้าที่ดูเป็นห่วงอย่างชัดเจน “เจ็บหรือไม่ ให้ข้าอุ้มดีไหม”
“... อื้อ” อื้อแบบมีจริต จริงๆ ก็คือเจ็บนิดหน่อย นอกนั้นก็คืออยากเช็คเรตติ้งล้วนๆ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าอ่อยนั่นเอง)
สิ้นประโยคตอบรับ ชายผู้ได้รับอนุญาตให้แตะเนื้อต้องตัวสาวจึงค่อยๆ โน้มตัวยกร่างกายเล็กๆ อรชรนั้นขึ้นอุ้มแนบอก เขาเป็นคนตัวใหญ่ ผิวกล่ำแดด และกล้ามแน่นปึก ดวงหน้าแพรวพราวซบลงกับแผ่นอกแข็งแรง จนชายหนุ่มเผลอลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อทรวงอกอิ่มล้นออกมาจากผ้านุ่งอก
“จะว่าไป” เมื่อเขายกหล่อนขึ้นหลังช้าง พร้อมกับยกตัวขึ้นตาม หญิงสาวจึงโพล่งขึ้นมา ด้วยความเคยชินเพราะหล่อนเคยเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนขี่ช้างขึ้นดอยบ่อยๆ แถมพื้นเพเป็นคนรักสัตว์อีกด้วย “แถวนี้คงมีหมู่บ้านเล็กๆ ใช่ไหม”
“ใช่ แม่หญิงกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านนั้นหรือ”
“ก็ประมาณนั้น พ่อครูคันศรบอกให้มาฉันก็มาน่ะ เขาจะให้ฉันเอาไอ้เนี่ย ไปหาบน้ำมาเติมให้เต็มโอ่ง” พูดพลางชี้มือไปทางคานหาบและถังไม้เล็กๆ ที่กองอยู่ที่พื้น ชายผู้นั้นตวัดสายตาลงไปมองปราดเดียว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“อ้อ ไอ้หมอผีนั่นน่ะรึ มันคงหลอกแม่หญิงเข้าแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวนะคะ” ถึงจะคิดไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะรู้จักกับพ่อหมอนั่น “คุณรู้จักพ่อหมอคันศรอะไรนั่นด้วยเหรอ?”
“ก็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่” เขาฉีกยิ้ม สีหน้าคมเข้มนั้นหล่อนเพิ่งสังเกตุว่ามันมีรอยบากที่ข้างขมับเป็นทางยาว “แต่ตอนนี้จักเรียกว่ามิตรสหายก็มิเต็มปากนัก เอาเป็นว่าแม่หญิงขี่เจ้ากานพลูเข้าหมู่บ้านไปกับข้าก่อนเถิด เราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่พอจักให้ที่พำนักชั่วคืนให้แม่หญิงได้ จักให้กลับตอนนี้เกรงว่าจักมีภัยอันตรายเอา... อย่างเช่นสัตว์ป่า”
“สัตว์ป่า!” เป็นไปได้ไหมว่าพ่อหมอนั่นจะเลี้ยงสัตว์ดุร้ายเอาไว้ในป่ากล้วย?
“แต่เจ้ากานพลูมิอันตรายดอก ข้าฝึกจนเชื่องแล้ว”
เจ้ากานพลูคงจะเป็นชื่อของช้างตัวนี้สินะ สาวเจ้าคิดในใจพลางลูบหัวมันเบาๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างยอมจำนนต่อเหตุผล
“รบกวนด้วยแล้วกันค่ะ แล้วช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่คือยุคสมัยไหนกันแน่ และฉันกำลังอยู่ที่ไหน”
“ย่อมได้สิ” ชายหนุ่มแปลกหน้ารับคำเหมือนเขาเองก็รู้อะไรบางอย่างมาเช่นกัน พลางชักเท้าบังคับให้เจ้ากานพลูที่หมอบลงอยู่ค่อยๆ หยัดตนลุกขึ้น มันโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ไม่นานเอวคอดนั้นก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือหยาบกร้าน ทั้งสองเหลียวมองสบตากัน แล้วชายผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มพราย “มิชอบให้ต้องตัวรึ?”
“ถ้ามันจำเป็น ก็ไม่เป็นไรหรอก” หล่อนหันหน้าหนีกลับไป ชายผู้นี้สู้มือดีชะมัด ไม่หวั่นไหวกับสายตาทรงเสน่ห์ของแพรวพราวเลยสักนิด ดูไม่ธรรมดาเอสเสียเลย
“งั้นก็ไปกันเถิด”
ใช้เวลาไม่นานนัก ดงป่ากล้วยที่เจ้าช้างกานพลูลุยออกไปก็พ้นแสงสว่างมาสู่หมู่บ้านซอมซ่อเล็กๆ หมู่บ้านที่ทั้งสองมาถึงนั้นเป็นหมู่บ้านที่ทุกหลังไม่ต่างจากกระท่อมเก่าๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักทำไร่นา บางส่วนหาบฟืน ดูผิวกล่ำแดดแถมแต่งตัวนุ่งกระโจมอกโบราณไม่เว้นทั้งชายและหญิง
แพรวพราวรู้สึกได้เลยว่าที่หล่อนสันนิษฐานไว้และคิดว่ามันเหลือเชื่อเกินไป อาจจะเป็นความจริง
การแต่งกายแบบนี้ ผิวคล้ำแดดทั้งชายและหญิง ทรงผมสั้นแบบนั้น
ยุคสมัยใหม่เขาไม่แต่งตัวกันแบบนี้กันหรอก!
“อโยธยาน่ะ เจ้ารู้จักใช่หรือไม่” นั่นเป็นประโยคที่ออกมาจากปากของชายที่นั่งซ้อนหลังราวกับรู้ทันในความคิด และเนื่องจากหญิงสาวนั้นผิวพรรณดีกว่าหญิงในหมู่บ้านทั้งหมด ทั้งผู้ชายไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดง หนุ่มหรือแก่ต่างมองหล่อนที่ขี่เจ้ากานพลูกลับมากับชายที่น่าจะเป็นหนึ่งในชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ด้วยความสนอกสนใจ
“พาใครมาด้วยงั้นหรือพ่อพรานสมิง!” เสียงที่ดังขึ้นรอบๆ นั้นเป็นเหล่าเด็กหัวจุกที่เปลือยทั้งตัวกำลังละเล่นขี่กะลามะพร้าวอยู่รอบๆ ดูไม่ออกว่าเป็นเพศหญิงหรือชายเพราะทุกคนล้วนแก้ผ้าจนหมด สีหน้าของหญิงสาวเริ่มหวาดหวั่น ชายผู้นี้ชื่อพรานสมิง? แล้วอโยธยานี่มันอะไร ยุคสมัยศรีอโยธยาที่เคยเล่นในละครย้อนยุคหรือไงกัน!
นี่หล่อนหลงยุคมาใช่ไหม
เมื่อสุดท้ายเขาต้องจากกับเธอ ทั้งความตายที่เคยเป็นคำสาปแช่งที่มาจากอคติ ทั้งความรู้สึกชิงชังในวันนั้น ที่ในวันนี้มันกลายเป็นเพียงคำหลอกลวง เพราะเขานั้นหลงรักอีแพรวตั้งแต่แรกเจอแรกเริ่มอาจจะเป็นเพราะดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับดอกรัก จนรู้สึกไปเองว่านั่นอาจเป็นความชิงชังที่ดูคล้ายกับยาพิษอันหอมหวาน ความรู้สึกในตอนที่ร่วมรักกับเธอ นั่นราวกับการมอบพรหมจรรย์ให้กับโอกาสสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใครแปลงกายมากันแน่ทุกวันเขาบอกตนเองว่า ดอกรักไม่มีจริง คนที่คล้ายคลึงกับดอกรักเองก็ไม่มีจริงเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ดอกรัก เธอเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่หน้าตาคล้ายกับคนอัครที่เขาเคยรักเท่านั้นการปฏิบัติตัวที่ผ่านมากับแพรวพราวนั้น ราวกับเป็นการชดเชยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกับดอกรักมาโดยตลอด ที่เธอเคยปฏิเสธเขา ที่เธอทำท่ารังเกียจรังงอนเขา ที่เธอไม่แม้แต่จะมอบดวงใจให้เป็นของเขา เขาใช้ความรู้สึกน่ารังเกียจด้านมืดเหล่านี้ ส่งต่อให้กับแพรวพราวซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไร ในเรื่องราว ระหว่างเขา และอดีตคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดเลยสักนิดแต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์ อคตินั้นยิ่งบ
“แพรว ข้า...” ฝ่ามือหยาบหนานั้นกำหมัดแน่นจนสั่นเทิ้ม เขาแค้นใจและนึกอาฆาตเธอมาตลอดทั้งเรื่องราว แต่ทันทีที่เธอยอมรับความคิดนั้นของเขาและยอมที่จะตายโดยไม่มีข้อแม้ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “ข้า... ไม่กล้าพอที่จักฆ่าเจ้า ข้าจึงใช้สังวรีราพณ์เป็นข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”“วันนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือสิ่งสำคัญ ข้าไม่ได้อยากขอโอกาสจากเจ้า ข้ารู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ แต่ข้า... กลับใช้สิ่งนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงเพื่อที่จะกำจัดเจ้า เจ้าจักไปจากข้าก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ข้าได้แก้ไขในสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดไปด้วยเถิด” พ่อหมอไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองอย่างถ่องแท้หรอก เขาก็แค่กลัวว่าจะเสียเธอไปทั้งอย่างนี้เท่านั้น เพราะความรู้สึกในตอนที่เห็นว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น และห้องอันว่างเปล่านั่นทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตอนที่ดอกรักตายจากไปในอ้อมแขนของเขาเสียอีกอาจจะเพราะหล่อนหน้าตาคล้ายกับเมียที่ตายจากไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงที่เขาจะไม่มีวันได้ครอบครอง ผู้หญิงที่ทั้งหัวใจมีเพียงแค่พรานสมิงเท่านั้น ผู้หญิงที่แม้แต่ลูกที่เขาเฝ้าดูแล ยังไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อของเขาด้วยซ้ำเขาทำลา
คำพูดของพรานสมิงทำให้แพรวพราวได้ฉุกคิด ที่ผ่านมาเธออาจไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าที่เธอรักนับสิบ และคิดว่าเขาคือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ แสนดีกับเธอมาโดยตลอด อาจจะเป็นความรู้สึกถึงชัยชนะที่เธอมีต่อฟ้าลดา ผู้หญิงที่เป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอ เมื่อเธอตั้งท้องและคันศรไม่ต้องการกัน ทำให้แพรวพราวรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธอีกครั้ง เธอเสียใจ และเมื่อเขาพาวาดรักเข้ามา เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำตัวตนของตนเองจนลบเลือนหายไปที่บอกว่าการไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จริงแล้วเธออาจจะโกหกตัวเอง การที่เธอบอกว่าเธอรักนับสิบอาจจะเพราะว่ามันคือชัยชนะที่โหยหามาโดยตลอด กับผู้ชายที่ฟ้าลดาหลงรัก แพรวพราวไม่มีวันลืมวันที่เธอก้าวเข้าหาเขา เพราะว่าข่าวลือที่ฟ้าลดาคนนั้นชอบพอกับคนในวงการเดียวกันที่เล่นละครด้วยกันเป็นคู่พระนางตลอดมาเหมือนที่ฟ้าลดาเป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่รู้เรื่องราวการมีอยู่ระหว่าง DNA ของแม่กับแพรวพราวด้วยซ้ำ นับสิบเองก็ไม่ได้ผิดที่หลงรักเธอ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว และต้องการเรียกร้องความรักจากแม่ของเธอเท่านั้นมันก็แค่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจของเธอเอง... ค
“นึกสงสัยขึ้นมาได้แล้วหรือแม่หญิงของข้า?”แต่ทว่าในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ท่ามกลางร่างใหญ่มหึมาของกานพลูนั้นปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งโผล่ตัวขึ้นมาเหนือกายยักษ์ของช้างเชือกนั้น“... พรานสมิง” แพรวพราวยอมรับตามตรงว่าตกใจ ก็ไหนว่าเขาหนีหายออกไปแล้วยังไงล่ะ เพราะว่ารับไม่ได้ที่เธอตั้งท้องกับคันศร หรือว่าผัวเธอโป้ปดกันอีกแล้ว?“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาไถ่ถาม โดยไม่ดูสถานการณ์ว่าหล่อนกำลังเข้าตาจนอยู่เลยสักนิด“นะ... ไหนพี่ศรบอกว่านายหนีไปแล้ว?”“ข้าแค่แวะไปหาลูกเท่านั้นแล” ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยักไหล่ปัดป้องและบอกความเป็นจริง “โดนทิ้งมาอีกแล้วสินะ”หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจดวงน้อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง หรือจะยอมรับว่ามันไม่ใช่ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนตัดสินใจหนีออกมาด้วยตัวเองต่างหาก… แต่นั่นก็เพราะว่าคนๆ นั้นแสดงออกว่าไม่ต้องการกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง ก็เลยเจ็บใจเหมือนโดนแทงใจดำกันอย่างช่วยไม่ได้“พูดบ้าๆ ฉันต่างหากที่อุ้มท้องหนีออกมาเพราะเขาพาคุณวาดรักกลับมาที่เรือนนั่น” หญิงสาวคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องโกหกผู้ชายตรงหน้าหรอก เขาเห็นสภาพน่าสมเพชน
อยู่ดีๆ เมื่อรู้ว่าหล่อนได้หนีหายออกไปหลังจากที่เขาได้พาวาดรักกลับมาและปลดแอกทุกอย่าง คันศรที่เคยมั่นอกมั่นใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนเหลือเกิน และต้องการจะฆ่าหล่อนมากที่สุด กลับรู้สึกเจ็บปวดกับการที่ไม่มีเธออยู่ในห้อง และได้รับรู้ว่าเธอหนีออกไปแล้วเพราะทนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป การตามหาเธออาจจะยากเย็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แถมยังเป็นอสุรกายในตำนานอีกต่างหาก ยิ่งอีกฝ่ายต้องการจะหนีหน้าเขาด้วยแล้ว คงสามารถลบกลิ่นอายของเดรัจฉานได้จนไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่ทำไมเขาถึงได้เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้?ทำไมถึงเพิ่งมารู้สึกได้ว่าเธอและลูกสำคัญกับเขาเพียงไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ“ภูติผีทุกตนที่กูมีอยู่ในขณะนี้ จงออกไปตามหานางแลพานางกลับมาหากูให้ได้ ไม่ว่าจะเจอนางในสภาพไหน ก็จงบอกนางว่ากู...” ท้ายประโยคเขากลืนน้ำลายเพียงอึกเดียวด้วยความยากเย็นที่จะกล้าก้าวผ่านทิฐิที่สูงเสียดฟ้า เผลอลืมตัวไปว่าเคยพูดว่าเกลียดเธอขนาดไหน ก่อนที่จะกลั้นใจโพล่งขึ้นประกาศิตออกมา “ต้องการนาง”เงามืดจำนวนมากหลุดพ้นออกไปจากเขตอาคมของเขา และออกตามหาหญิงสาวที่เ
“อย่างไรลูกก็รู้สึกไม่ดีเจ้าค่ะ ที่ราวกับว่าจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับเมียของท่านเช่นนี้”วาดรักโพล่งขึ้นมาหลังจากที่คันศรเข้ามาดูแลเธอด้วยการนวดปลายนิ้วเท้าที่ชาวางลงกับขันรองน้ำอุ่น คอยนวดส่วนไม่งามและอาจผิดครูให้ลูกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำแน่นอนว่าเขาเองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงเข้ามาทำเช่นนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังเห็นว่าลูกสาวที่พากลับมาที่บ้านกำลังพยายามนวดปลายนิ้วเท้าของตนเอง อาการชาน่าจะมาจากท้องที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปกระมังแม้นิสัยจะไม่ใช่คนที่มีความละเอียดอ่อนอะไรนัก แต่เขาเองก็พอเคยดูแลเมียท้องแก่ที่ไม่ได้รักเขาเลยอยู่บ้าง จะให้มาดูแลลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เลือดเนื้อของตนเองเลยอีกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ก็แค่... อาจเพราะว่าดวงของเขาดึงดูดมาแต่คนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาทั้งชีวิตก็ได้ล่ะมั้งหากแต่สิ่งเดียวที่ชัดเจนในวันนี้... คือหลังจากที่วาดรักได้กลับมาที่นี่ ความรู้สึกสงบในจิตใจจึงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงปั่นป่วนรวนเร ทั้งความรู้สึกแย่ๆ จิตใจอันคิดลบและความฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอดีตที่เลวร