หวง ต้าเฟิงในสายตาเยว่ซินที่ได้เจอกันครั้งแรกนั้นดูเป็นลมแรงสมชื่อ เขามีรูปร่างสูงโปร่งตามสไตล์ของนายแบบ ไม่ได้มีมัดกล้ามใหญ่โตหวือหวาแต่ก็ไม่ได้ผอมแห้ง ทั้งคู่เจอกันที่สนามบินก่อนด้วยความบังเอิญ เยว่ซินเห็นอีกคนในตอนที่เขากำลังโดนรุมหน้ารุมหลังจากแฟนคลับ เส้นผมสีฟ้าออกหม่นๆเทานั้นดูเป็นจุดสังเกตง่าย ต้าเฟิงอยู่ในเสื้อยืดสีอ่อนกับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำดูทะมัดทะแมง บนเส้นผมนั้นมีแว่นกันแดดคาดอยู่
"นั่นคือหวง ต้าเฟิงค่ะ" ซูเม่ยเอ่ยกระซิบ เยว่ซินไม่เคยได้ยินเรื่องราวของคนนี้ในนิยายมาก่อน อาจเป็นเพราะเยว่ซินคนเดิมนั้นไม่ได้ทำงานด้านนี้ ผู้จัดการอีกฝ่ายหันมาสบตาเธอเข้า เขากระซิบอะไรบางอย่างกับต้าเฟิง อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากกระดานเซ็นลายเซ็น นั่นทำให้เยว่ซินได้สบตาอีกคนเข้า... ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นมองกันอย่างไม่ปิดบัง เยว่ซินยืนนิ่ง ในระหว่างนั้นที่เธอเห็นว่าต้าเฟิงจะเดินมาทักทายกันแต่ทั้งเขาและเธอก็โดนแฟนคลับแทรกกลางไว้ก่อน สุดท้ายแล้วต่างคนเลยต่างแยกย้ายกันเดินทางไปที่พักโดยที่ไม่ได้ทักทายกันสักคำ มาฮ่องกงครั้งนี้เพื่อการถ่ายนาฬิกาข้อมือแบบเซ็ทชาย หญิง และเหมือนว่าทางเจ้าของแบรนด์นั้นจะอยากได้นายแบบนางแบบที่กำลังมาแรงในโซเชียลช่วงนี้ และต้าเฟิงกับเยว่ซินเป็นคู่ที่ตรงใจเจ้าของแบรนด์มากที่สุด วันนี้เป็นวันที่เดินทางมาก่อนเวลา เยว่ซินมีเวลาพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะต้องเริ่มถ่ายในพรุ่งนี้เช้าและมะรืนก็ต้องรีบเดินทางกลับเพื่อไปทำงานต่อ "คุณหนูเยว่ ทางนู้นติดต่อมาจะชวนไปทานข้าวกันก่อนน่ะค่ะ จะให้ฉันตอบรับไหมหรือคุณหนูเยว่อยากพักผ่อนก่อน?" ซูเม่ยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วเอ่ยถาม เยว่ซินคิดชั่วครู่ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้าเฟิงจะชวนเธอออกไปพบปะเพื่อพูดคุยกันก่อนจะเริ่มงานกันเพื่อไม่ให้เกร็งเวลาทำงานจริง เยว่ซินคิดว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ดีจึงไม่คิดปฏิเสธ ซึ่งฝั่งทางนั้นก็ตอบกลับมาว่าเจอกันในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าที่ร้านอาหารในโรงแรม หลี่ เยว่ซินเลือกเอาชุดค่อนข้างสุภาพมาสวมสำหรับนัดครั้งนี้ เป็นเดรสกี่เพ้าแขนสั้นสีขาวที่ตรงคอประดับแต่งเป็นลูกไม้ ซูเม่ยช่วยแต่งหน้าทำผม เกล้าผมยาวสวยขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นที่ห้อยดอกมู่หลันสีทอง ซูเม่ยมองเจ้านายตนอย่างพิจารณา เยว่ซินนั้นไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ดูสง่าไปเสียทุกมุม "ระหว่างนี้พี่ซูเม่ยก็ไปเตรียมตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเครื่องประดับ กระเป๋าและรองเท้าฉันจะเป็นคนเลือกเอง" ซูเม่ยพยักหน้า ยังไงเสียเยว่ซินก็รู้ดีว่าควรจะแต่งตัวเช่นไรให้ดูดีและให้เกียรติคนที่จะต้องร่วมงานด้วยกัน หากจากที่ซูเม่ยอ่านประวัติของต้าเฟิงให้ฟังนั้น อีกฝ่ายมีอายุน้อยกว่าเยว่ซินเสียอีก เขาเริ่มทำงานด้านนี้ตั้งแต่ไม่ยี่สิบดี เป็นดาวรุ่งอายุน้อยที่เก่งมากคนนึงเลยทีเดียว ฐานะทางบ้านของต้าเฟิงนั้นก็มีหน้ามีตาในสังคม ตระกูลหวงทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านโรงแรมและที่ดินหากแต่ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลนั้นเลือกที่จะพลิกฐานตัวเองมาทำงานด้านนี้แทน ซูเม่ยใช้เวลาเตรียมตัวไม่นาน ทั้งสองคนออกจากห้องมาถึงห้องอาหารของโรงแรมก่อนเวลานัดหมาย ฝั่งทางกองถ่ายนั้นได้ทำการจองห้องพักและห้องทานอาหารให้กับต้าเฟิงและเยว่ซินล่วงหน้าไว้แล้ว โดยเยว่ซินจะได้เจอกับทีมงานและผู้กำกับในวันพรุ่งนี้เลยหลังจากที่พวกเขาเคยบินไปปักกิ่งเพื่อพบเธอมาแล้วครั้งนึง "อ้าว มาแล้วหรือครับคุณหนูเยว่" เยว่ซินค่อนข้างแปลกใจที่เธอมาก่อนเวลาหลายนาทีแต่ต้าเฟิงกับผู้จัดการดันมาถึงก่อนแล้ว เขาทั้งสี่โค้งให้กัน เยว่ซินนั่งตรงข้ามต้าเฟิงส่วนซูเม่ยก็นั่งตรงข้ามผู้จัดการอีกที "ผมอยากมาดูรายการอาหารก่อนล่วงหน้าเลยรีบลงมาน่ะครับ อ้อจริงสิ ผมหวง ต้าเฟิงนะครับ ส่วนนี่พี่ฉางตี๋" ผู้จัดการนามว่าฉางตี๋ค้อมศีรษะให้อีกครั้ง เยว่ซินวาดรอยยิ้มก่อนจะเริ่มแนะนำตัวบ้าง "สวัสดีค่ะฉันหลี่ เยว่ซิน ส่วนนี่พี่ซูเม่ยค่ะ" แนะนำตัวพอเป็นพิธี ต้าเฟิงจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร เขาสั่งไปหลายเมนูเมื่อเสร็จสิ้นบทสนทนาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง "ผมเห็นข่าวคุณหนูเยว่อยู่บ่อยๆ อืม...จริงๆผมอายุน้อยกว่าคุณหนูเยว่สินะครับ" เยว่ซินพยักหน้ารับ ฉางตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆอาสาเป็นคนรินน้ำชาให้ "งั้น...คุณหนูเยว่เรียกผมว่าต้าเฟิงหรืออาเฟิงเฉยๆก็ได้นะครับ" เยว่ซินค่อนข้างกังวลเล็กน้อย เธอเพิ่งได้รู้จักเขาเมื่อครู่แต่ให้ทำตัวสนิทสนมกับนายแบบหน้าใหม่มาแรงคนนี้มันจะไม่ดูแปลกๆไปหรือ? "ถ้าสนิทกันก็จะทำงานด้วยกันง่ายขึ้น จริงไหมครับ?" ราวกับว่ารู้ว่าเธอคิดเช่นไร ต้าเฟิงพูดอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม "อืม...เช่นนั้นก็ได้" มื้อกลางวันของเหล่านายแบบนางแบบและผู้จัดการส่วนตัวทั้งสี่คนนั้นจบลงอย่างเรียบง่าย ต้าเฟิงชวนคุยบ้างสลับกับซูเม่ยที่เอ่ยถามเอาข้อมูลของอีกฝ่ายมาบ้าง หลังจากนั้นคุณหนูเยว่ถึงได้พักผ่อนเสียทีหลังจากที่เดินทางมา เยว่ซินหลับลึกตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็มืดเสียแล้ว เธอเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้เล็กน้อย ฝึกท่องสคริปต์สั้นๆและศึกษาสถานที่ที่ต้องไปถ่าย "พี่ซูเม่ย..." คำพูดชะงักค้างยามที่เยว่ซินหันไปที่โต๊ะของซูเม่ยซึ่งพบว่าเธอฟุ่บหลับลงไปแล้ว ร่างบางยกยิ้มเล็กน้อย ผู้จัดการคนนี้นั้นทั้งตั้งใจทำงานและเป็นคนที่น่านับถือ เยว่ซินหยิบผ้าห่มผืนเล็กไปคลุมให้ มือเรียวสวยปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊ค "ฝันดีนะคะพี่ซูเม่ย" วันรุ่งเช้าเยว่ซินไปก่อนเวลา สถานที่ก็คือร้านสาขาหลักของแบรนด์นาฬิกาที่เธอจะต้องถ่าย ภายในประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวทองเป็นหลัก หญิงสาววาดรอยยิ้มสวยให้กับทีมงาน โชคดีหน่อยที่กองถ่ายครั้งนี้เยว่ซินยังไม่เห็นแววตาไม่ชอบเธอจากใครคนไหนทำให้พอหายใจโล่งขึ้นหน่อย "สวัสดีค่ะคุณหนูเยว่" เยว่ซินโค้งให้เล็กน้อย เธอจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือฝ่ายอาร์ตไดเรกเตอร์ เธอคอยช่วยประสานงานอยู่กับพี่ซูเม่ยเป็นระยะ "ทานข้าวมาหรือยังคะ" เยว่ซินพยักหน้า อีกคนจึงพาเธอไปแนะนำตัวกับทีมงานอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงไปยังห้องแต่งตัว "คิดว่าอีกครู่เดียวน้องต้าเฟิงก็คงมาแล้ว ในระหว่างนี้คุณหนูเยว่ซินก็แต่งหน้าแต่งตัวรอได้เลยค่ะ" ซูเม่ยขานรับ นอกจากนี้เธอยังแจ้งเพิ่มเติมมาอีกว่าเจ้าของแบรนด์อาจจะมาช้าหน่อยเนื่องจากติดธุระกะทันหัน ไม่นานนักหวง ต้าเฟิงก็เดินทางมาถึง อีกฝ่ายอยู่ในเสื้อเชิ้ตแบบผ้าทิ้งตัวคู่กับกางเกงขายาวสีดำ เขาทักทายทีมงานทุกคนอย่างเป็นมิตรติดไปทางขี้เล่น เพราะในช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ต้าเฟิงมาถึงนั้นก็ทำเอาคนในห้องแต่งตัวหัวเราะกันไม่หยุด "แหม น้องต้าเฟิงนี่ตลกจริงๆนะคะ ตัวจริงก็หล่อมาก" อีกฝ่ายยิ้มรับ เขาเดินตรงมาหาคุณหนูเยว่แล้วคุกเข่าลงเพื่อคุยด้วย "สวัสดีครับพี่เยว่ซิน ผมกะว่าจะชวนมาพร้อมกันเสียหน่อยแต่พอติดต่อไปที่คุณซูเม่ยเธอบอกว่าพี่เยว่ซินเดินทางมาแล้ว" เยว่ซินขมวดคิ้ว เมื่อวานนี้ต้าเฟิงยังเรียกเธอว่าคุณหนูเยว่อยู่เลยไม่ใช่หรือ? "อ่า...ค่ะ" เพราะโดนพูดจาแปลกๆใส่แบบไม่ทันตั้งตัว คนบนเก้าอี้จึงตอบแบบติดขัด ต้าเฟิงหัวเราะ เขายิ้มให้อีกคนจนตาหยี "น้องต้าเฟิงแต่งตัวเลยไหมคะ" "ครับ ได้ครับ" ทั้งคู่ผละออกจากกัน ที่จริงจะพูดให้ถูกคือต้าเฟิงผละตัวออกไปยังที่นั่งของตัวเอง เยว่ซินหันไปหาซูเม่ยซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วมุ่นเช่นเดียวกัน หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จ คุณหนูเยว่จึงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ดวงตาสวยทอดมองชุดที่ตนต้องใส่ มันเป็นเดรสสายเดี่ยวสีขาวที่อวดแผ่นหลัง ตรงกระโปรงนั้นประดับด้วยขนเฟอร์เล็กน้อย ซูเม่ยมองเจ้านายตนเองอย่างพิจารณา เธอเห็นเรฟของเสื้อผ้าและสินค้ามาก่อนหน้านี้แล้วหากแต่ไม่คิดว่ายามมันอยู่บนตัวของคุณหนูหลี่ เยว่ซินผู้นี้นั้นจะทำให้อวดรูปร่างที่ชัดเจนเช่นนี้ "ฉันจะไปขอเปลี่ยนชุดดีไหมคะคุณหนูเยว่" ไม่ใช่มันไม่สวยยามที่เยว่ซินสวม หากแต่เพราะเรือนร่างอันสมส่วนนี้โดนผ้าน้อยชิ้นปิดไว้ ไม่ว่าเยว่ซินจะขยับท่าไหนก็ดูจะเห็นสัดส่วนชัดไปเสียทุกส่วน "ไม่เป็นไรค่ะพี่ซูเม่ย เห็นเป็นสายเดี่ยวแบบนี้แต่ก็แข็งแรงดีนะคะ หรือที่พี่อยากเปลี่ยนเพราะฉันใส่แล้วไม่สวย?" เยว่ซินเอียงคอถาม ฝั่งผู้จัดการได้ยินเช่นนั้นจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที "สวยค่ะ คุณหนูเยว่งดงามมากเพียงแต่ฉันไม่อยากให้คนอื่นมองคุณหนูเยว่ในชุดนี้เท่าไหร่นัก" เยว่ซินหลุดหัวเราะ ซูเม่ยนั้นเป็นคนนิ่งๆแต่ยามที่พูดเช่นนี้ทำเอาคนฟังไปไม่เป็นเลยทีเดียว "ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งไม่อยากเปลี่ยนเลยค่ะ" ซูเม่ยถอนหายใจให้กับความดื้อของอีกคน อีกฝั่งที่หวง ต้าเฟิงเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังยืนฟังบรีฟอยู่ สายตาขี้เล่นนั้นฉายแววเย็นชาครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ร่างสูงของนายแบบนายหน้าใหม่อยู่ในชุดสูทสีขาวที่มีเพียงแค่สูทตัวเดียวด้านในไม่สวมอะไรอวดแผงอกน่าลูบไล้นั้น ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขายาวสีขาว ด้านข้างมีฉางตี๋ยืนอยู่ข้างๆกัน ต้าเฟิงฟังบรีฟไปพลางล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีไม่ยี่หระเพราะเหมือนว่าคนที่มาบรีฟเขานั้นจะเป็นแฟนคลับตัวยงเสียกระมังถึงได้พูดผิดพูดถูก "ค่ะ...แล้วก็ยืนด้าน...เอ่อ...หลังนะคะ" หญิงสาวนั้นตัวเล็กสูงเพียงแค่อกเขา ต้าเฟิงพยักหน้าให้แล้วเอ่ยถามเสียงนิ่งๆ "แค่นี้ใช่ไหม" "คะ?...เอ่อ ค่ะ" เธอตอบละล่ำละลัก ชายหนุ่มทำท่าจะละตัวออกจำต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของทีมงานคนหนึ่งพูดขึ้น "คุณหนูเยว่ งดงามมากเลยค่ะ" ดวงตาสีน้ำทะเลตวัดมองไปยั่งที่นั่น เขานิ่งค้างราวกับเวลาถูกหยุดไว้ชั่วครู่นึง ริมฝีปากสวยค่อยๆวาดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับดวงตาที่มีแววซุกซนเช่นเดิม นางแบบคนนี้ของเขาช่างงดงามเสียจริง เยว่ซินเดินตรงเข้ามาหา อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีประหม่าอะไรที่โดนหลายสายตาจับจ้อง ขาเรียวที่สวมรองเท้าส้นสูงนั้นยังเดินอย่างมั่นคงเฉกเช่นนางพญาสะกดสายตาของนายแบบคนดังไม่ให้ละไปไหน "อะแฮ่ม" เป็นฉางตี๋ช่วยดึงสติไว้ เขากระแอมไอเล็กน้อยเมื่อเยว่ซินเดินมาตรงหน้าแต่ต้าเฟิงยังคงมองนิ่ง "เป็นนางแบบที่ถ่ายคู่กับผมแล้วงดงามที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ" "ต้าเฟิงพูดเกินไปแล้วค่ะ" เยว่ซินหัวเราะ เธอหันไปหาคนบรีฟงานอีกครั้งแล้วเอ่ยถามเสียงหวาน "ขอโทษที่ช้านะคะ" หญิงสาวตัวเล็กที่บรีฟงานให้ต้าเฟิงก่อนหน้านี้สะดุ้ง เธอเป็นเด็กใหม่ที่คุณพ่อรู้จักกับเจ้าของแบรนด์จึงฝากงานมาให้เป็นกรณีพิเศษ เพิ่งจะได้เห็นดารา เซเลปตัวจริงก็วันนี้ เยว่ซินฟังบรีฟอย่างตั้งใจ ใช้เวลาครู่เดียวคุณหนูตระกูลหลี่ก็พยักหน้าแล้วหันไปคุยกับผู้จัดการตนเอง ฝั่งคนที่เพิ่งมาทำงานใหม่นั้นเสร็จหน้าที่ตัวเองแล้วแต่ยังไม่ก้าวเดินไปไหน เธอมองคุณหนูเยว่กับต้าเฟิงที่ยืนคู่กัน ส่วนสูงทั้งคู่ต่างกันก็จริงแต่ไม่ได้มาก คุณหนูเยว่ซินนั้นเพรียวสูงยามยืนอยู่กับต้าเฟิงนั้นราวกับเจ้าชายและเจ้าหญิงเสียนี่... แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น อีกอย่างที่เธอค่อนข้างสงสัยคือหวง ต้าเฟิงรู้จักกับคุณหนูเยว่เป็นการส่วนตัวหรือไม่? เพราะเมื่อครู่ก่อนที่เยว่ซินจะปรากฏตัวนั้น ฝ่ายชายหนุ่มยังมีท่าทีเคร่งขรึมทั้งยังมองเธอนิ่งๆราวกับเป็นคนละคนกับตอนนี้ ผู้กำกับเข้าไปพูดคุยกับทั้งสองคน การถ่ายทำจะเริ่มขึ้นแล้ว... บนโซฟาตัวยาวภายในร้านสาขาหลักของแบรนด์ เยว่ซินนั่งลงขาเรียวสวยนั้นไขว่ห้าง มือข้างขวาที่สวมนาฬิกาวางบนพนัก ด้านหลังมีต้าเฟิงยืนอยู่ เขาโน้มตัวลง มือข้างซ้ายวางบนไหล่ของคุณหนูเยว่ ส่วนข้างขวาที่สวมนาฬิกาก็วางบนพนักพิงของโซฟา ดวงตาสีอ่อนและสีน้ำทะเลนั้นโฟกัสมายังกล้อง เหล่าทีมงานไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ พวกเขาตั้งใจดูการถ่ายครั้งนี้ราวกับมนต์สะกด ฝั่งซูเม่ยที่อยู่ไม่ไกลนั้นค่อนข้างลำบากใจ เธอมองข้อความที่ส่งมาจากปักกิ่งแล้วชั่งใจอยู่ครู่นึง อีเมลนั้นมีชื่อว่า 'คุณหลิง' ใช่...อีกฝ่ายส่งข้อความมาหาถึงการมาทำงานของคุณหนูเยว่ ไม่ต้องคิดให้มากก็รู้ได้ว่าเป็นคำสั่งของฟาหยาง หากซูเม่ยส่งรายงานไปตอนนี้ด้วยรูปภาพของคุณหนูเยว่ซินและหวง ต้าเฟิงในสภาพตอนนี้จะดีจริงหรือ? ต้าเฟิงรับรู้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ตรงหน้า เขาโน้มเปลี่ยนท่าบ้างเป็นระยะ คุณหนูเยว่ก็เช่นกัน ต้าเฟิงค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเริ่มทำงานด้านนี้แต่กลับดูมืออาชีพจนเขาตามเกือบไม่ทัน "ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นตรงตู้กระจกครับ" เสียงของช่างกล้องและผู้กำกับทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกัน ฝ่ายคอสตูมรีบเข้ามาซับหน้าแต่งผมให้ทั้งคู่ทันที ต้าเฟิงยังคงมองไปที่คุณหนูเยว่ เขาทำท่าจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องชะงักเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งในฝ่ายคอสตูมที่กำลังช่วยจัดคอปกเสื้อให้เขานั้นยื่นมือมาฉีดน้ำหอมให้กัน "นี่!" ดวงตาสีน้ำทะเลแข็งกร้าว และเพราะเสียงของต้าเฟิงทำให้ฝ่ายต่างๆที่กำลังทำงานของตัวเองอยู่หันมามองกันเป็นตาเดียว "คะ?..." หญิงคนนั้นดูตกใจ เธอเอ่ยเสียงในลำคอแบบประหม่า "พี่ฉางตี๋แจ้งไปแล้วไม่ใช่หรือครับว่าผมแพ้น้ำหอม แล้วทำไมถึงเอามาฉีดกันแบบนี้!" ฉางตี๋รีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารีบคว้าผ้ามาเช็ดให้นายแบบของตัวเอง "คือ...คือว่าฉัน.." ผู้กำกับเดินเข้ามา เขารีบเอ่ยพูดกับนายแบบคนดัง "คงจะประสานงานผิดพลาด ต้าเฟิงแพ้มากหรือเปล่ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปโรงพยาบาลเสียก่อน" "มาเถอะอาเฟิง" ฉางตี๋คว้ามือเขาเตรียมจะพาไปโรงพยาบาลแต่ต้าเฟิงไม่ยอม เขาก้าวเท้าหาผู้หญิงคนนั้นแล้วเอ่ยเสียงเย็น "ถ้าทำงานพลาดแบบนี้ก็ไม่ควรทำไหมครับ? ถ้าผมเป็นอะไรไปแม้แต่ชีวิตคุณก็ยังแลกไม่ได้" คนทั้งกองถ่ายไม่มีใครกล้าเอ่ยช่วยแม้กระทั่งผู้กำกับเอง พวกเขารู้ดีว่าหวง ต้าเฟิงนั้นมีนิสัยเช่นไร แม้ภายนอกถูกฉาบไปด้วยแววตาขี้เล่นซุกซนหากแต่ความจริงแล้วต้าเฟิงนั้นค่อนข้างปากร้ายและเอาแต่ใจ แต่เรื่องนี้มีเพียงแค่คนภายในวงการเท่านั้นที่รับรู้ และด้วยอิทธิพลของทางบ้าน หวง ต้าเฟิงจึงยังไม่มีใครเคยเอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ด้วยทั้งอีกฝ่ายมีความนิยมอย่างมากด้วยภาพลักษณ์ขี้เล่นนี้หากพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ซูเม่ยคว้าเจ้านายตัวเองไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเยว่ซินกำลังจะเดินเข้าไปในกลุ่มสนทนานั้น "คุณหนูเยว่" "ไม่ควรมีใครดูถูกชีวิตใครนะคะ เพียงแค่ทำงานกันคนละอย่างแต่ก็ใช่ว่าคุณค่าจะต่างกัน" เยว่ซินเอ่ยจริงจัง เธอรีบเดินไปคว้าทีมงานคนนั้นไว้ด้านหลัง "คุณหนูเยว่" เยว่ซินรับรู้ได้ว่าเธอกำลังตัวสั่น อาจเพราะโดนดุทั้งยังไม่มีใครเข้ามาช่วยเลยสักคน "ต้าเฟิง...รีบไปโรงพยาบาลก่อนไม่ดีหรือคะ" ดวงตาสีน้ำทะเลเปลี่ยนมาจ้องคุณหนูตระกูลหลี่ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ผมไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นเรื่องของคุณหนูเยว่หรือ?" เยว่ซินกัดปากเธอพรูลมหายใจเล็กน้อย "ฉันทราบค่ะว่าคงจะยุ่งไม่เข้าเรื่องไปเอง แต่การตะคอกใส่ผู้หญิงตัวเล็กๆแล้วพูดจาเช่นนั้นมันดูไม่ดีเสียเท่าไหร่นะคะ ตอนนี้รีบไปโรงพยาบาลแล้วค่อยกลับมาให้เธอคนนี้รับผิดชอบดีไหมคะ" เยว่ซินยังคงเอ่ยอย่างใจเย็น "รับผิดชอบ? งานตำแหน่งเล็กๆนี้จะเอาเงินที่ไหนมารับผิดชอบผมกัน" "ต้าเฟิง" ฉางตี๋พยายามจะดึงคนของตัวเองไปแต่ต้าเฟิงไม่สนใจสักนิด เขาก้าวหาคุณหนูเยว่แล้วกระตุกยิ้ม "พี่ไปยืนเงียบๆเหมือนที่คนอื่นทำดีกว่าครับ ยังไงตอนนี้ผมก็ยังสนใจพี่อยู่นะ" คราวนี้คนงามหมดความอดทน เธอรีบผลักต้าเฟิงออกแล้วพูดเสียงเย็น "มีแค่ชื่อเสียงกับความดังอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คนอื่นเขานับถือได้นะคะ ทางที่ดีควรจะมีมารยาทด้วย" "คุณหนูเยว่!" "ขอบคุณที่บอกว่าสนใจกันนะคะ แต่ผู้ชายนิสัยแบบนี้ฉันคงทำงานร่วมกันไม่ได้จริงๆ" คนตัวเล็กกว่ามองด้วยสายตาเย่อหยิ่ง เยว่ซินไม่เคยเสียดายงานหรือเงินที่จะเสียไปหากต้องแลกกับการไม่ทำงานด้วยกับคนทัศนคติเช่นนี้ ต้าเฟิงนิ่ง ตั้งแต่เขาเข้าทำงานมาไม่เคยมีใครกล้าดุด่าว่ากล่าวพูดจาเช่นนี้ใส่ แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้กลับกล้าขึ้นเสียงใส่? "รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะอาเฟิง" คราวนี้เขายอมตามฉางตี๋ไปยังห้องเปลี่ยนชุด ฝ่ายเยว่ซินเมื่อต้าเฟิงเดินออกไปแล้วจึงถอนหายใจ ซูเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆกันได้แต่ถามว่าคุณหนูเยว่โอเคหรือไม่ "กลับกันเลยดีกว่านะคะคุณหนูเยว่" เยว่ซินพยักหน้ารับ แต่คำโดนรั้งไว้ด้วยคนด้านหลัง "คะ..คุณหนูเยว่ ขอบคุณนะคะ ฉันขอบคุณมากจริงๆ" "ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่บาดเจ็บตรงไหนนะคะ?" "ไม่ค่ะ ไม่เลย ฉันแค่ตกใจ" ดวงตานั้นมีน้ำตาคลออยู่ขณะที่ตอบ "คุณหนูเยว่ ยังไงก็ต้องรอคุยกับเจ้าของแบรนด์เสียก่อนนะครับ เรื่องเอ่อ...ยกเลิก.." ผู้กำกับพูดกับเธอ เขารู้สึกปวดหัวอย่างมากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ "ฉันทราบค่ะ" "บางทีคุณต้าเฟิงอาจจะใจร้อนไปหน่อยยังไงคุณหนูเยว่อย่าเพิ่งรีบยกเลิกเลยนะคะ" หญิงสาวที่เป็นผู้ประสานงานกับแบรนด์ก็ช่วยพูดเช่นกัน "ยังไงวันนี้ก็คงถ่ายต่อไม่ได้แล้วใช่ไหมคะ? หลังจากนี้คุณหนูเยว่ก็ไม่มีคิวว่างแล้วค่ะ เพราะทางฉันลงคิวไว้ให้เพียงสามวันรวมวันไปและกลับปักกิ่ง ถึงแม้จะต้องการถ่ายต่อแต่คุณหนูเยว่ก็คงทำเช่นนั้นให้ไม่ได้" เป็นซูเม่ยที่เอ่ยพูดยาว ซึ่งยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นอีก ฝั่งหญิงสาวตัวต้นเรื่องก็ได้แค่ยืนตัวสั่นน้ำตาคลอ ฝั่งผู้กำกับกุมหัว เขาจะต้องรายงานเรื่องนี้กับคุณหงที่เป็นเจ้าของแบรนด์ หากเธอรู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นคงจะไม่พอใจมากเป็นแน่ เมื่อสุดท้ายก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ซูเม่ยจึงพาเจ้านายตนเองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฝั่งผู้กำกับและทีมประสานงานคนหลักๆก็ต้องตามไปโรงพยาบาลเพื่อดูอาการของต้าเฟิง วันนี้งานของคุณหนูหลี่จึงจบแบบไม่ดีนัก อีกฝั่งด้านฟาหยาง เลขาหลิงรายงานกับเขาว่าซูเม่ยนั้นกำลังยุ่งอยู่และไม่สะดวกที่จะตอบในตอนนี้ "ฮ่องกง...แบรนด์ไหนเป็นคนจ้าง" เสียงทุ้มเอ่ยถาม เลขาหลิงเลื่อนหน้าจอแม๊คบุ๊คที่เธอถืออยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบ "ของคุณหงค่ะ ซุน หง" แน่นอนว่าฟาหยางรู้จัก และไม่ใช่เรื่องยากถ้าเขาจะติดต่อฝั่งนั้น แต่คิดมาถึงตรงนี้แล้วฟาหยางก็ถอนหายใจ ยังไงซะคุณหนูเยว่ก็ไปทำงาน เขาไม่ควรที่จะก้าวก่ายอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ "ถ้าผู้จัดการตอบแล้วให้เธอส่งตารางงานของคุณหนูเยว่ตอนมาจีนให้ฉันด้วย บอกไปว่าเผื่อฉันจะส่งอาหารไปให้" เลขาหลิงโค้งรับ หากเป็นเมื่อก่อนสิ่งเดียวที่เธอจะรายงานแก่ท่านประธานตระกูลหยางได้นั้นมีแค่เรื่องงานและบริษัทเท่านั้น หากแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอต้องประสานงานเรื่องคุณหนูตระกูลหลี่บ่อยกว่าเสียอีก บ่อยจนเธอต้องนึกกับตัวเองในใจ อืม...ลาออกจากงานเลขาไปเป็นคนช่วยประสานงานสำหรับคู่ดูใจดีไหมนะ? หวง ต้าเฟิงไม่ได้เป็นอะไรมาก โชคดีที่น้ำหอมไม่ได้เข้าปากและจมูก แต่ตรงช่วงคอก็เป็นผื่นแดงให้เห็นเล็กน้อย ซุน หงเธอรู้เรื่องและรีบเคลียร์ธุระก่อนจะเข้ามายังโรงพยาบาล เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูดีเป็นผู้หญิงรักสวยรักงามและดูแลสุขภาพอยู่เสมอและด้วยเหตุนี้ทำให้บุคลิกของเธอนั้นดูสง่าน่าเคารพ เมื่อได้คุยกับคุณหง ต้าเฟิงไม่ได้มีปัญหาที่จะทำงานต่อ เขาไม่คิดจะเอาเรื่องทีมงานคนนั้นแล้ว แต่กลับกันยิ่งดูจะสนใจคุณหนูตระกูลหลี่มากขึ้นไปอีก "ผมจะเป็นคนไปพูดกับคุณหนูเยว่เองครับ" ต้าเฟิงเสนอซึ่งผู้กำกับก็ได้แต่มองหน้ากับทีมงาน "คุณหงมีความคิดเห็นว่ายังไงครับ" ผู้กำกับเอ่ยถาม "ยังไงในฐานะเจ้าของแบรนด์ฉันจะไปคุยกับคุณหนูเยว่เอง ส่วนพวกคุณก็เตรียมตัวรับผิดชอบไว้หน่อยก็ดี ที่ฉันเลือกคุณหนูเยว่ไม่ใช่แค่เพราะเธอมาแรงในช่วงนี้ แต่เพราะเธอทำงานให้คุณฟาหยางเช่นกัน" ฝั่งคนได้ยินได้แต่กลืนน้ำลายลงลำคอ ส่วนต้าเฟิงนั้นเพียงนั่งฟังนิ่งๆ แน่นอนว่าเขารู้จักฟาหยาง อิทธิพลของคนผู้นั้นใช่ว่าจะแคบๆ แต่ไม่เคยรู้ว่าคุณหนูเยว่จะทำงานให้กับคนระดับนั้น แบบนี้มันก็ยิ่งน่าสนใจไม่ใช่หรือ?... ผู้หญิงคนนั้นกล้าที่จะต่อว่าเขาต่อหน้าคนทั้งกอง แถมยังรู้จักกับฟาหยางเสียอีก อืม...ต้าเฟิงมีอะไรน่าสนุกให้ทำเสียแล้ว... เยว่ซินกลับจีนในวันต่อมา เธอรู้มาว่าคุณหงติดต่อมากับพี่ซูเม่ยแล้ว อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอหลายอย่างและบอกว่าจะขอถ่ายแก้เพียงนิดเดียวโดยที่คุณหนูเยว่ไม่ต้องไปฮ่องกงแต่จะให้ทีมงานทั้งหมดบินมาที่จีนแทน เยว่ซินคิดอยู่นานแต่ด้วยไม่ใช่ความผิดของคุณซุน หงเธอจึงยอมรับข้อเสนอ อย่างไรเสียเยว่ซินก็ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองเช่นเมื่อวานแล้ว จางลี่ก็คอยบอกเช่นกันว่าให้แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกเมื่อซูเม่ยเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง "ฉันใส่คิวให้แล้วนะคะคุณหนูเยว่ ยังไงก็คงจะทำงานหนักเพิ่มอีกเล็กน้อย" เยว่ซินพยักหน้า เธออยากแย้งอยู่หลายคราแล้วว่าซูเม่ยไม่ต้องเรียกเธอเช่นนั้นแต่ดูเหมือนจะแก้ไม่ได้แล้ว "คุณต้าเฟิงขอพบมาด้วยค่ะ จะให้ฉันปฏิเสธไหมคะ?" เยว่ซินคิดอยู่ครู่หนึ่ง "รับไปก็ได้ค่ะ เอาเป็นตอนฉันเสร็จงานนะคะ อย่างไรเสียก็ยังต้องเจอกันอีกตั้งครั้งหนึ่ง" "เอ่อคือ..." ซูเม่ยยิ้มแหยๆไม่กล้าพูดเรื่องต่อไปจนเยว่ซินขมวดคิ้ว "มีอะไรอีกรึเปล่าคะ?" "จริงๆคุณเลขาหลิงติดต่อมาน่ะค่ะ ให้ฉันส่งตารางงานของคุณหนูเยว่ในช่วงนี้ไป" เยว่ซินรู้ทันทีว่านั่นคือคำสั่งฟาหยาง "อืม...งั้นหรือคะ" เธอยกยิ้มเล็กน้อย ฟาหยางช่างเป็นคนจำพวกดูจะหมกมุ่นเสียจริง? เช่นนี้แล้วเธอก็ควรจะทำอะไรสักอย่างหรือไม่? ฟาหยางขมวดคิ้วแล้วตวัดสายตาดุๆให้เลขาตัวเองทันที เขากำลังเข้าร่วมประชุมอยู่และเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่เขาฝากไว้ที่เลขาหลิงมันส่งเสียงดังขึ้นในขณะที่เขากำลังฟังรายงานจากหัวหน้าแผนกฝ่ายสาขาต่างประเทศ "เลขาหลิงทำไมคุณไม่ปิดเสียง" เธอรีบค้อมศีรษะให้เจ้านายตนเองแต่เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูก็ลังเลชั่วครู่ ฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วเป็นคำถาม ยามปกตินั้นเลขาหลิงไม่เคยปล่อยให้สายโทรศัพท์รบกวนเวลาเข้าประชุมเลยแม้แต่น้อย "คุณหนูเยว่ค่ะ" อีกคนพูดแบบไม่มีเสียง ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นฟาหยางจึงหายหงุดหงิดทันที เขารับโทรศัพท์มาจากเลขาหลิง "ที่เหลือรายงานไปกับเลขาผม แล้วผมจะอ่านสรุปอีกที" ไม่รอให้ใครพูดอะไรอีก ฟาหยางลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมทันที "คุณหนูเยว่ กลับจีนแล้วหรือ" เมื่อรับสายเขาเอ่ยถามทันที 'ค่ะ ฉันกวนหรือเปล่าคะ?เหมือนคุณหยางจะรับสายช้าน่ะค่ะ กำลังจะวางพอดีเลย' "ไม่รบกวนอะไรนี่ คราวหลังก็โทรมาได้ตลอด" 'ฉันรู้มาจากพี่ซูเม่ยว่าคุณหยางอยากรู้ตารางงานฉันน่ะค่ะ' อีกฝ่ายเปิดประเด็นทันทีจนฟาหยางนิ่งเงียบ หวังว่าคุณหนูเยว่คงไม่ได้หงุดหงิดเขาอีกใช่ไหม? 'ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ถามฉันล่ะคะ' "...?" ฟาหยางค่อนข้างแปลกใจกับคำพูดต่อมา "ก็ฉันเห็นว่าคุณหนูเยว่ดูยุ่งๆ อีกอย่างเพิ่งจะไปฮ่องกงมาไม่ใช่หรือ?" 'ค่ะ' "เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือไม่" 'ก็...ไม่ค่อยมั้งคะ' ฟาหยางขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขานั่งไขว่ห้างลงบนโซฟา "มีอะไรจะฟ้องฉันหรือไม่" เยว่ซินหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น พาลให้ฟาหยางยกยิ้มไปด้วย 'อืม...ฉันฟ้องดีไหมนะ?' "คุณหนูเยว่" เขากดเสียงลงเล็กน้อย แต่มีหรืออีกฝ่ายจะกลัว ฟาหยางนั้นนึกหน้าอีกคนออกแม้ว่าจะได้คุยทางโทรศัพท์ก็ตาม ตอนนี้คุณหนูหลี่ เยว่ซินคงกำลังหัวเราะจนตาหยีอยู่เป็นแน่ เยว่ซินยอมเล่าเรื่องย่อๆให้เขาฟัง ดวงตาสีรัตติกาลนั้นดูเข้มขึ้นเมื่อได้ฟังจนจบ หวง ต้าเฟิงงั้นหรือ? 'ฉันเผลอใช้อารมณ์ไปอีกแล้วล่ะค่ะ' เยว่ซินพูด น้ำเสียงนั้นดูรู้สึกผิดจนฟาหยางต้องเอ่ยแย้ง "ไม่ใช่ความผิดอาเยว่ แล้วจะถ่ายแก้เมื่อไหร่ล่ะ" เยว่ซินเหมือนจะหันไปถามซูเม่ยอยู่ครู่หนึ่ง "อืม...ไว้วันนั้นอาเยว่ไปกับฉัน" 'เอ่อ...แต่ว่า...' "อาเยว่ไปกับฉัน" ฟาหยางย้ำอีกครั้งจนอีกฝ่ายยอมแพ้ เขาพูดคุยกับคุณหนูเยว่ซินอีกเล็กน้อยแล้วจึงวางสายไปพร้อมกับอาโปที่เดินเข้ามาแทน "ติดต่อหวง ต้าเฟิงให้ฉัน" "ครับคุณหยาง วันที่..." "เอาเป็นวันนี้ ฉันต้องการพบด่วนที่สุด หากอ้างว่าอยู่ฮ่องกงก็ต้องรีบบินมา บอกไปด้วยว่าฉันไม่ชอบรอ" "รับทราบครับคุณหยาง" อาโปโค้งให้เจ้านายตนเอง ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างลูกชายตระกูลหวงคนนั้นเสียเลย ดันมาวุ่นวายกับคนของฟาหยางเข้าเสียนี่... ฉางตี๋ดูท่าทางร้อนใจจนต้าเฟิงหงุดหงิด เขาต้องรีบบินมาจีนเพื่อพบคนสำคัญที่ฉางตี๋ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร โชคดีที่ตารางงานในช่วงนี้ถูกยกเลิกไปต้าเฟิงจึงมาที่นี่ได้ เสียงของรองเท้ากระทบพื้นดึงความสนใจให้ทั้งคู่หันไปมอง ต้าเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเมื่อสบตากับคนสำคัญที่ว่านั่น ดวงตาสีรัตติกาลหลุบมองเขา เพียงแค่เสี้ยววินาทีแต่กลับสร้างบรรยากาศชวนให้กดดันจนต้าเฟิงพูดไม่ออก เขารับรู้...รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของดวงตาและท่าทางเช่นนี้คือใคร แม้ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อนแต่ด้วยบรรยากาศรอบตัวของชายผู้นี้ก็ทำให้รู้ได้ทันที นั่นคือฟาหยางแห่งแผ่นดินจีน... ฟาหยางนั่งลงตรงข้ามกับเขาและฉางตี๋ ด้านซ้ายของเขามีผู้ชายตัวสูงที่ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกันยืนอยู่ ดวงตาคู่นั้นช่วยกดดันยิ่งทำให้แขกทั้งสองคนหายใจไม่ออก "สะ..สวัสดีครับคุณฟาหยาง" เป็นฉางตี๋เอ่ยขึ้นก่อน ฟาหยางยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ "เอ่อ...นี่คือหวง ต้าเฟิงครับ น้องเพิ่งเข้าวงการใหม่ยังไม่ค่อยรู้การทำงานเท่าไหร่นัก" ต้าเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉางตี๋ถึงพูดเช่นนี้ "งั้นหรือ" ฟาหยางตอบนิ่งๆ สายตาดุๆและมีอำนาจคู่นั้นยังจ้องเขาไม่วางตา "ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากจะนัดพวกนายแบบปลายแถวมาคุยแบบส่วนตัวเสียเท่าไหร่" ฉางตี๋ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมผิดกับต้าเฟิงที่เริ่มขุ่นเคืองกับคำพูดนั้น "ปลายแถว? มันจะไม่มากไปหรือครับ" เขาทำท่าจะโน้มตัวเข้าหาฟาหยางแต่กลับโดนมือของใครบางคนกระชากให้กระแทกกับพนักเก้าอี้เสียก่อน "ถ้าให้ผมแนะนำ...หุบปากไว้จะเป็นการดีกับคุณนะครับ" ต้าเฟิงเบิกตาโตเพราะคนที่ทำเช่นนี้และเอ่ยเสียงเย็นข้างใบหูนั้นคือคนที่ยืนอยู่ข้างฟาหยางก่อนหน้านี้ เขามาตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน!? "ไม่ต้องคิดจะท้าทายฉันหรอก ฉันไม่คิดจะลดตัวลงไปให้ค่ากับคนแบบนี้เสียเท่าไหร่" ต้าเฟิงกำมือแน่น "ถ้าไม่ใช่เพราะอาเยว่ฉันคงไม่ยุ่งกับพวกนายแน่นอน" ฟาหยางยังจิบชาสบายใจในขณะที่พูดแต่คนฟังขมวดคิ้ว เหตุผลครั้งนี้เพราะคุณหนูหลี่ เยว่ซินอย่างนั้นหรือ? ทั้งคู่ไม่ใช่แค่ทำงานร่วมกันเพียงอย่างเดียวหรือ? เหตุใดฟาหยางถึงได้ออกตัวเช่นนี้ "ฉันไม่สนว่านายจะไปด้อยค่าใครคนไหนหรือจะทำตัวเช่นไร แต่จะยุ่งกับใครก็ได้ยกเว้นคุณหนูเยว่" "..." "ปิดปากและเก็บสายตาให้ดียามที่เจอเธอ เพราะหลี่ เยว่ซินคือคนของฉัน" "..." "ฟังให้ชัดและระลึกอีกรอบให้ดีว่าผู้หญิงนามว่าเยว่ซินคือผู้หญิงของฟาหยาง"ยี่สิบสี่ธันวาคมคือวันที่คฤหาสน์ตระกูลหยางดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ได้ยินเสียงถกเถียงของทายาทตระกูลใหญ่ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการพูดแข่งกันราวกับพูดกับกระจก "เฟิ่งบอกว่าจะให้หม่าม๊าใส่ตัวนี้" "ก็เฮียบอกว่าตัวนี้ไงอาเฟิ่ง" เด็กชายวัยกำลังย่างเข้าหกขวบยื้อแย่งชุดคลุมสีแดงที่ทางห้องเสื้อส่งมาให้นายหญิงตระกูลหยางเป็นพิเศษ มีทั้งแบบที่กำลังนิยมในปัจจุบันและแบบที่ตัดออกมาสำหรับคุณหนูเยว่ซินโดยเฉพาะ "หม่าม๊าเอาตัวนี้นะ" เฟยหลงว่าพลางกำลังจะวิ่งเตาะแตะไปทางมารดาตัวเองที่ยืนเลือกแบบขนมสำหรับงานเลี้ยงที่จะจัดพรุ่งนี้ หากแต่กลับโดนมือป้อม ๆ ของแฝดคนน้องยกขึ้นห้ามกันไว้เสียก่อน "ไม่เอา หม่าม๊าต้องใส่ตัวนี้สิ" "เอ่อ..." เหล่าสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนเหงื่อตก พวกเธอรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหม่าม๊าของเฟยหลงและเฟยเฟิ่งแล้วนั้นจะไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ อาเฟิ่งยอมให้พี่ชายตัวเองได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องหม่าม๊า อาเฟยหลงหลับหูหลับตาไม่มองยามโดนน้องชายตัวเองแอบหยิบของเล่นชิ้นโปรดไปได้แต่ถ้าเป็นเรื่องม๊าเยว่ซินแล้วเขาไม่มีวันยอม "หม่าม๊า/หม่าม๊า" คราวนี้ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันจนเยว
ในบริษัทตระกูลหยางที่ห้องท่านประธานวันนี้ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวกว่าปกติ ฟาหยางจำต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อยเพราะเสียงถกเถียงกันของเจ้าแฝดหรือก้อนแป้งที่เยว่ซินชอบเรียก "อาเฟิ่งเอาอีกแล้ว!" ได้ยินเสียงเฟยหลงโวยวายอยู่ยกใหญ่ เด็กชายวัยสี่ขวบตัวสูงกว่าพนักวางแขนของโซฟานิดเดียวซึ่งอยู่ในชุดเอี๊ยมน่ารักที่ถูกหม่าม๊าจับแต่งตัวให้ เฟยหลงขู่ฟ่อมองน้องชายตัวเองที่นั่งอยู่บนนั้น "เฮียเสียงดัง" ก่อนเฟยเฟิ่งซึ่งในมือถือถุงขนมที่คาดว่าคงแบ่งกันไม่ลงตัวตอบพลางยกมืออีกข้างขึ้นปิดหู เจ้าก้อนแป้งอยู่ในชุดแบบเดียวกันทั้งหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกประการ "อาเฟิ่งก็คืนมาสิ!" "ไม่เอา ก็เฟิ่งอยากกิน" คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ปกติแล้วเฟยเฟิ่งมักจะตามใจพี่ชายตัวเองอยู่เสมอซึ่งฟาหยางคิดว่าคงเป็นเพราะอยากตัดรำคาญเสียมากกว่า เฟยหลงอมลมในปาก หันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาตัวช่วย "ป๊า!" ครั้นพอไม่รู้จะพึ่งทางไหนจึงเดินเตาะแตะมาหา ฟาหยางยอมวางปากกาในมือลง วันนี้เยว่ซินไปซื้อของกับจางลี่ถึงได้ฝากลูกลิงทั้งสองคนไว้ที่เขา "อืม...ว่าอย่างไร" แม้ได้ยินชัดทุกคำว่ามีปัญหาอะไรกันมาแต่ฟาหยางก็ยังเอ่ยถาม เขาต้องก
ช่วงหลังจากที่ทราบว่ามีเจ้าก้อนกลมสองก้อนอยู่ในท้องก็เป็นช่วงที่ฟาหยางปวดหัวไม่น้อยเนื่องจากอาการของคนท้องไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาอะไรได้ ฟาหยางที่วันนี้ต้องกลับจากบริษัทเร็วกว่าทุกวันขนาดที่ว่าเขาเพิ่งจะไปถึงบริษัทได้ไม่เกินสิบห้านาที 'คุณหนูเยว่ร้องไห้ค่ะ ไม่ว่าใครถามอะไรก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะเจอคุณหยางแค่คนเดียวค่ะ' สายจากสาวใช้ที่คฤหาสน์โทรมาหากันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ปกติเยว่ซินมักเป็นคนที่ยิ้มแย้มและอารมณ์ดีอยู่เสมอ เธอมีเหตุผลกับทุก ๆ เรื่องแต่ยามนี้ที่จู่ ๆ อาจด้วยฮอร์โมนหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นตูมกันไปเสียหมด พยายามทั้งปลอบทั้งหาของกินมาเท่าไหร่แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นที่พอใจของนายหญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย "อาซิน" ขายาวก้าวเร็ว ๆ ไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่ลงจากรถ ฟาหยางรีบขนาดที่เขาขับรถมาเองโดยไม่รออาโป ทำเอาฝั่งลูกน้องที่บริษัทก็วุ่นวายอยู่พอสมควร "ฮึก..." ยังได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่ฟุ่บหน้าอยู่กับหมอนอิง เหล่าสาวใช้ที่เห็นว่าฟาหยางมาแล้วจึงรีบลุกขึ้นค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นทันที "เกิดอะไรขึ้น" เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางรวบคนตัวเล็กเข้าในอ้อมแขน เยว่ซิน
สามสัปดาห์หลังจากแต่งงาน แม้ห่าวอู๋จะพูดอยู่ทุกวันว่าให้ทั้งคู่คิดประเทศที่จะไปฮันนีมูนกันเสียทีแต่เยว่ซินก็คิดไม่ออก หญิงสาวบอกเลื่อนทริปมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ห่าวอู๋เดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลหยางด้วยตัวเอง 'เตี่ยจองที่พักบนเกาะไว้ให้แล้ว เรื่องงานที่บริษัทเตี่ยจะจัดการทุกอย่างเอง อาเยว่ซินเตรียมตัวไปฮันนีมูนกับอาหยางได้เลย' นั่นคือประโยคที่ได้ฟังจากห่าวอู๋ก่อนที่วันต่อมาในตอนเช้ามืดก็โดนสามีตัวเองอุ้มขึ้นรถตั้งแต่ยังไม่ตื่นดี เยว่ซินนึกสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมเวลาจะไปทริปต่างประเทศแล้วจะต้องไม่ได้เตรียมตัวเสียทุกครั้งกันนะ แต่ถึงจะอยากโวยวายทั้งประมุขคนก่อนและคนปัจจุบันของตระกูลหยางนี้สักเท่าไรก็คงทำไม่ได้ แน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดเสี่ยงจะทำ "คราวนี้อาโปก็มาหรือคะ" สิ่งที่ต่างไปจากทริปที่อิตาลีครั้งนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นว่ามีลูกน้องมาด้วยกัน ฟาหยางขานรับในลำคอ "ถือเป็นวันพักผ่อนให้พวกเขาด้วย" เยว่ซินพยักหน้าเห็นด้วย สมควรอย่างยิ่งเพราะลูกน้องฟาหยางแต่ละคนใช่ว่าจะมีงานน้อย ๆ เสียที่ไหน "แต่ไม่ต้องห่วง พวกนั้นกับเราอยู่คนละที่พัก ไม่มีใครกวนตอนเธออยู่กับเหล่ากงได้หรอก" คำพูดเจ้าเล่ห์มาพร
ผ่านไปสองเดือนหลังจากการประกาศแต่งงานในวันนั้น ฟาหยางไม่ให้เยว่ซินรับงานใด ๆ ทั้งสิ้น และงานที่บริษัทก็เหมือนว่าเลี่ยงหรงจะเป็นคนจัดการทุกอย่างและถึงแม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังรายงานแก่ฟาหยางประหนึ่งบริษัทหลี่กลายเป็นบริษัทในเครือของฟาหยางไปเสียแล้ว "คุณหนูเยว่รับขนมอีกไหมคะ" และเพราะวัน ๆ เยว่ซินแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าคอร์สเจ้าสาวที่ห่าวอู๋และเครือญาติตระกูลหยางจัดหาให้จึงทำได้แค่นั่ง นอน กินและออกไปตามนัดบ้างเป็นครั้งคราว "พอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" คนตัวเล็กตอบพลางระบายยิ้มงดงาม มือเรียวสวยปิดหนังสือลงแล้วเหลือบมองเวลาเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ปกติฟาหยางมักจะกลับมาในเวลานี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า "คุณหยางมาถึงแล้วค่ะ" เป็นจังหวะพอดีกับที่มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกัน เธอทอดมองคุณหนูเยว่ซินที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีม ผิวขาวราวน้ำนมที่ไม่ได้ต้องแดดมานาน ทั้งแก้มและริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ๆ คุณหนูเยว่ก็ดูงดงามไปเสียทุกส่วน นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าออร่าของคนกำลังจะเป็นเจ้าสาว "อาซิน" พลันในวินาทีนั้นด้านหลัง
เยว่ซินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอเพิ่งจะยืนอยู่ที่ครัวในคอนโดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่ที่อิตาลีได้? ไม่ใช่แค่นั้นแต่ตอนนี้เธอมากับฟาหยางแค่สองคน! ใช่...ไม่มีอาโปและลูกน้องมาด้วยกันเลย "อาเยว่อยากทานอะไร" "ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ" มือเรียวยกขึ้นกั้นระหว่างกันทั้งแววตาที่ฉายความสับสนชัดเจน ฟาหยางหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น "นี่มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยนะคะ" "ทำไม เธอไม่อยากมาเที่ยวกับอาฟาหรือ?" คนตัวสูงคล้ายสุนัขตัวโตที่เยว่ซินได้แต่ถอนหายใจ มือหนาเอื้อมมาประคองกันไว้พลางเอ่ยขึ้นอีกรอบ "ไม่อยากลองอยู่กันแค่สองคนบ้างหรือ" ครั้นโดนออดอ้อนซึ่ง ๆ หน้าทำเอาคนตัวเล็กไร้คำจะเถียงอีก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันที่ที่พักแห่งหนึ่งในเกาะซิซิลี เยว่ซินไม่รู้เลยว่าเขาจัดการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนไหน "ความจริงชวนฉันดี ๆ ก็ได้นี่คะ อีกอย่างฉันไม่ได้เอาสัมภาระมาเลย" ไม่รู้จะพูดว่าโดนแกล้งได้ไหม เพราะฟาหยางไม่คิดจะบอกเธอสักคำ หากนี่เป็นเซอร์ไพรส์ก็ดูจะเกินเรื่องไปเสียหน่อย "ซื้อใหม่ทั้งหมดที่นี่" "..." "หายหน้ามุ่ยเถอะนะ ถ้าอาฟาบอกเธอล่วงหน