ผ่านไปสองเดือนหลังจากการประกาศแต่งงานในวันนั้น ฟาหยางไม่ให้เยว่ซินรับงานใด ๆ ทั้งสิ้น และงานที่บริษัทก็เหมือนว่าเลี่ยงหรงจะเป็นคนจัดการทุกอย่างและถึงแม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังรายงานแก่ฟาหยางประหนึ่งบริษัทหลี่กลายเป็นบริษัทในเครือของฟาหยางไปเสียแล้ว
"คุณหนูเยว่รับขนมอีกไหมคะ" และเพราะวัน ๆ เยว่ซินแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าคอร์สเจ้าสาวที่ห่าวอู๋และเครือญาติตระกูลหยางจัดหาให้จึงทำได้แค่นั่ง นอน กินและออกไปตามนัดบ้างเป็นครั้งคราว "พอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" คนตัวเล็กตอบพลางระบายยิ้มงดงาม มือเรียวสวยปิดหนังสือลงแล้วเหลือบมองเวลาเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ปกติฟาหยางมักจะกลับมาในเวลานี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า "คุณหยางมาถึงแล้วค่ะ" เป็นจังหวะพอดีกับที่มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกัน เธอทอดมองคุณหนูเยว่ซินที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีม ผิวขาวราวน้ำนมที่ไม่ได้ต้องแดดมานาน ทั้งแก้มและริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ๆ คุณหนูเยว่ก็ดูงดงามไปเสียทุกส่วน นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าออร่าของคนกำลังจะเป็นเจ้าสาว "อาซิน" พลันในวินาทีนั้นด้านหลังก็มีเสียงของประมุขตระกูลหยางดังขึ้น เหล่าสาวใช้รีบค้อมศีรษะพลางเดินออกจากบริเวณที่นั่งพักผ่อนเพื่อให้เวลาส่วนตัวแก่เจ้านายทั้งสอง ฟาหยางเดินมาหยุดที่เก้าอี้ทางด้านหลังว่าที่ภรรยาตัวเองแล้วโน้มลงประทับริมฝีปากที่ศีรษะแผ่วเบา "คิดถึงจังเลย" พูดแล้วก็ไล้จมูกโด่งกดที่แก้มนุ่มน่าฟัด เยว่ซินหัวเราะคิกคักพลางยื่นมือโอบรอบลำคอของคนสูงกว่า "ทานข้าวมาหรือยังคะ" "เรียบร้อยแล้ว เธอล่ะ" "อือ...ซินก็ทานแล้ว วันนี้มีขนมปุยฝ้ายด้วยนะคะ" หอมฟัดภรรยาอยู่ได้ครู่เดียวก็ผละตัวออก แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม "ถึงว่าที่อารมณ์ดีเช่นนี้ เพราะมีขนมของโปรดนี่เอง" พูดแซวพลางเท้าแขนลงกับพนักเก้าอี้ ดวงตาสีรัตติกาลจดจ้องคนตรงข้ามที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ ฟาหยางอยากจะเห็นเยว่ซินยามอยู่ในชุดแต่งงานเสียวันนี้ พรุ่งนี้เลยจริง ๆ "เปล่าสักหน่อย" เยว่ซินพูดเถียงหากแต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหม เธอก็รู้สึกว่าตัวเองช่วงหลัง ๆ มานี้จะกินเยอะเป็นพิเศษ และถ้าวันไหนได้ทานของที่ชอบก็จะยิ่งอารมณ์ดีกว่าปกติ "หรือมีอะไรแย่งอาซินของฉันกินอยู่หรือเปล่า" คำพูดชวนน่ากลัวที่เหมือนว่าฟาหยางจะพูดแข็งทื่อไปเสียหน่อย เยว่ซินหลุดหัวเราะเสียงดังยามได้ยินเช่นนั้น "ฉันให้ความรู้สึกว่ามันดูน่ากลัวนะคะ" คนตัวสูงขมวดคิ้ว แต่เพียงครู่เดียวก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้วจึงส่ายหน้าเบา ๆ "หมายถึงเรื่องดี ๆ อย่างเช่นมีไอลูกหมาสักคนกำลังแย่งอาซินของฉันเวลาทานอาหาร" พูดจบก็ขยับเก้าอี้มาอยู่ข้างกัน มือหนาข้างที่ประดับรอยสักประจำตระกูลยกขึ้นแล้ววางลงที่หน้าท้องแบนราบ "มะ...มันจะใช่ได้ไงละคะ" คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก แก้มนุ่มขึ้นสีแดงเล็กน้อยยามความร้อนจากฝ่ามือฟาหยางสัมผัสกันผ่านเสื้อตัวบาง "ทำไม เธอแอบกินยาหรือ?" "มะ...ไม่ใช่ค่ะ ก็แค่ไม่ได้คิดว่าจะมีเด็กตอนนี้" "แล้วทำไมถึงคิดเช่นนั้น" ดวงตาสีรัตติกาลจ้องกันอย่างจับผิด แน่นอนว่าช่วงแรกฟาหยางยังป้องกันตอนทำเรื่องอย่างว่าไว้ แต่หลังจากที่ขอแต่งงานไปแล้วเขาก็ไม่ได้สวมเครื่องป้องกันอีก เยว่ซินครั้นพอโดนจ้องราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงความคิดก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมา "ก็ซินรู้ร่างกายตัวเองดีนะคะ ตอนนี้ก็แค่เป็นช่วงที่ว่างมากเลยทานบ่อยแล้วติดเป็นนิสัยก็แค่นั้น" เธอพูดอธิบาย ฟาหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอาความอะไรอีก เขายอมผละมือออกก่อนจะเริ่มพูดถึงรายละเอียดงานแต่งงานที่กำลังจะขึ้นในสองสัปดาห์หลังจากนี้ เนื่องด้วยพิธียกน้ำชามีอะไรหลายอย่างที่ค่อนข้างเคร่งครัดและห่าวอู๋ก็ถือเป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในวันนั้นจะต้องมีข้อผิดพลาดให้ได้น้อยที่สุด "แต่ถ้าถึงวันนั้นแล้วอาซินไม่ไหวก็ไม่ต้องไปฝืน พิธีที่มากมายขนาดนั้นเดี๋ยวอาฟาจะพยายามตัดออกไปเสียบ้าง" เขาพูดอย่างหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่เป็นงานสำคัญ ฟาหยางคิดแค่ว่าอยากให้ว่าที่ภรรยาของตัวเองเหนื่อยให้น้อยที่สุด แต่แน่นอนว่าเยว่ซินปฏิเสธ งานแต่งงานไม่ใช่จะมีหลายครั้งในชีวิต ยิ่งกับฟาหยางแล้วคนตัวเล็กยิ่งอยากให้งานออกมาดีที่สุด "วันนั้นอาซินคงสวยมากจนฉันอดใจไม่ไหวแน่ ๆ" พอพูดถึงรายละเอียดงานโดยคร่าว ๆ เสร็จแล้วจึงเอ่ยหยอกภรรยาตัวเองอีกครั้ง เยว่ซินพอโดนชมซึ่ง ๆ หน้าก็รู้สึกเขินไม่ใช่น้อย ทั้งคู่คุยกันต่ออีกสักพักหนึ่ง ฟาหยางยังมีประชุมต่อที่บริษัท แม้อยากจะหนีบว่าที่ภรรยาไปนั่งตาแป๋วอยู่ที่นั่นด้วยกันแต่เพราะเยว่ซินมีนัดกับจางลี่ในช่วงบ่ายวันนี้เขาจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ "นัดกับคุณหนูจางต่อใช่ไหม ให้อาโปไปส่งดีหรือเปล่า" หลังจากทิ้งเวลาไปชั่วครู่เขาจึงเอ่ยถาม ฟาหยางสำรวจเสื้อผ้าของอีกคนแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย "เสื้อบางไปหรือเปล่า" "อืม...เดี๋ยวซินไปเปลี่ยนค่ะ แล้วก็เดี๋ยวจางลี่มารับ ให้อาโปไปกับคุณหยางเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ" เธอพูดตอบว่าที่สามีที่ดูเหมือนจะขี้หวงเสียเหลือเกิน ฟาหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็คลายปมที่คิ้วตัวเองลง แม้เหล่าลูกน้องในคฤหาสน์จะรู้ดีว่าเจ้านายตัวเองอุตส่าห์เดินทางไปกลับจากบริษัทมายังคฤหาสน์ตระกูลหยางในช่วงเที่ยงทุกวันซึ่งเป็นแค่เวลาสั้น ๆ เพื่ออย่างน้อยได้มานั่งเล่นกับคุณหนูเยว่ซิน แต่ก็ยังอดที่จะตั้งคำถามเสียไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดที่ติดแจคนตัวเล็กถึงขนาดนั้นแต่กลับไม่อนุญาตให้เยว่ซินใช้รถได้ตามใจ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีคนขับรถหรือใครสักคนก็ยังดี ซึ่งเหตุผลนี้ก็ไม่มีใครรู้ยกเว้นฟาหยางเอง ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เยว่ซินไม่ได้กลับกับซูเม่ยซึ่งเป็นผู้จัดการแต่ขึ้นรถไปกับผิงผิงแล้วเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาตั้งข้อบังคับกับตัวเองโดยเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เยว่ซินใช้รถเองคนเดียวโดยที่เขาไม่สามารถติดต่อได้ ถึงแม้จะมีเรื่องเครื่องติดตามแต่ฟาหยางก็ไม่วางใจอยู่ดี เขาเกือบจะเสียคน ๆ นี้ไปและมันคงฝังใจเขาไปอีกนานจริง ๆ "ได้ งั้นอย่าไปซนให้อาฟาเป็นห่วงมาก ฝากทักทายอาจูด้วย" เพราะรู้ว่าที่จางลี่มารับก็เพื่อไปกองถ่ายภาพยนตร์ของอาจูและต้าเฟิงที่ตอนนี้กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ดูเหมือนจะมีหลายฉากที่ยากลำบากจนอาจูต้องโทรมาขอให้เยว่ซินไปหาอยู่บ่อย ๆ เด็กคนนั้นคล้ายจะติดว่าที่ภรรยาเขาไปเสียทุกที "เข้าใจแล้วค่ะ ซินจะเป็นเด็กดีเลย" พูดตอบทั้ง ๆ ที่ดวงตาฉายแววซุกซนอยู่หน่อย ๆ ฟาหยางเห็นเช่นนั้นก็รวบเอวบางไว้ในอ้อมแขน ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่โถงทางเดิน เยว่ซินกำลังจะไปส่งฟาหยางที่รถเพื่อให้เขาไปประชุมต่อ "รู้ใช่ไหมว่าคนในกองนั้นจะทำยังไงถ้าเธอเล่นกับเด็กที่ชื่อต้าเฟิงมากเกินไป" คำถามที่เอ่ยด้วยเสียงเย็น ๆ กระซิบที่ข้างหู เยว่ซินระบายยิ้มพลางยกมือเรียวขึ้นโอบรอบลำคอ คราวที่แล้วเธอก็เคยไปหาอาจูและต้าเฟิงมาก่อน ตอนนั้นดูเหมือนต้าเฟิงจะนึกสนุกอะไรไม่รู้ถึงได้ชวนเยว่ซินเล่นเกมด้วยกันขณะกำลังพักกอง ภาพที่ทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันทั้งรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าถูกทีมงาน(หรือสายสืบ)ส่งไปให้ฟาหยางเข้า แน่นอนว่ามาเฟียผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะใจเย็นหากเป็นเรื่องของคุณหนูเยว่ วันนั้นกองทั้งกองเกือบจะต้องยุติการถ่ายเพราะไปทำฟาหยางหงุดหงิดเข้า เล่นเอาวุ่นวายกันไปเสียหมด "แน่นอนสิคะ วันนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด" ริมฝีปากบางเบะออกเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น "หึ แล้วอาฟาเคยดุเธอที่ไหน" พูดพลางกดจูบลงที่ลำคอระหงส์ มือหนาบีบเคล้นบริเวณเอวบางแผ่วเบาเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากคนในอ้อมแขน "ให้ดุซินเสียยังจะดีกว่าค่ะ วันนั้นซินรู้สึกผิดกับคนในกองจริง ๆ นะคะ" ดวงตากลมโตช้อนมองคนตัวสูงกว่าราวกระต่ายตัวน้อย ๆ ฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา เขาต้องพ่ายแพ้ผู้หญิงคนนี้อีกสักกี่สิบครั้งกัน "ก็ได้ คราวหลังอาฟาจะระวังกว่านี้ จริง ๆ วันนั้นควรเรียกตัวเด็กตระกูลหวงนั้นมาลงโทษแบบส่วนตัวถึงจะถูกสินะ" เมื่อเห็นว่ายิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่เยว่ซินถึงรีบยุติหัวข้อสนทนานี้ลง เธอบอกให้ฟาหยางรีบกลับบริษัทไปเพื่อเตรียมตัวประชุมต่อ ก่อนไปก็ไม่วายโดนจูบไปทั่วหน้า "อาฟารักเธอ" ทั้งคำทิ้งท้ายที่หลัง ๆ ฟาหยางพูดบ่อยขึ้น แต่ถึงแบบนั้นทุกครั้งที่ได้ฟังคนตัวเล็กก็ไม่เคยจะชินเลยแม้แต่น้อย เยว่ซินพอคล้อยหลังของคนตัวสูงไปจึงกลับขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง ไม่นานนักจางลี่ก็มาถึง ทั้งคู่แวะไปหาอาจูหลังจากนั้นจนถึงเย็นก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มีแลกเปลี่ยนเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งอยู่บ้าง อาทิตย์ถัดมาคือช่วงที่วุ่นวายพอตัว เพราะเหลือเวลาอีกแค่หกวันจะถึงวันงานทำให้ฟาหยางต้องหยุดงานที่บริษัทตัวเองไปก่อน เขาอยากให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบและให้เยว่ซินชื่นชอบมันมากที่สุดถึงได้จัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าห่าวอู๋ยินดีต่อเรื่องนี้มาก เขาเข้ามาช่วยจัดการเรื่องในบริษัทอยู่บ้าง ตามใจลูกชายแค่ไหนแต่กับลูกสะใภ้ให้ได้มากกว่า ยิ่งยามที่เยว่ซินมาหาที่บริษัทและมีชาสมุนไพรมาให้บ้าง ซุปอ่อน ๆ ที่เธอเป็นคนทำด้วยตัวเองบ้างยิ่งทำให้ห่าวอู๋เอ็นดูคนตัวเล็กมากขึ้นไปอีก "วันนี้ตื่นเช้ามากเลย รีบเข้านอนดีไหมคะ" เยว่ซินพูดในขณะที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เธอออกมาแล้วเห็นว่าฟาหยางนั่งพิงไปกับหัวเตียงในขณะที่ดวงตาหลับพริ้ม ที่ตักของเขายังมีไอแพดวางอยู่ "แค่พักสายตาครู่เดียว" คนตัวสูงเอ่ยตอบ จริง ๆ เขาก็ทำงานหนักจนเป็นเรื่องที่ชินไปเสียแล้ว "ไม่ต้องพักสายตาแล้วพักผ่อนกันเลยดีกว่าค่ะ ยื่นไอแพดมาให้ซินสิคะ เดี๋ยวจะเก็บให้" แม้ฟาหยางจะรู้ว่าทำต่อไหวแต่ก็ต้องตามใจว่าที่ภรรยา เขายื่นมันให้เธอในขณะที่ดึงมือเรียวมาจูบเบา ๆ ที่หลังมือ "หอมจัง" เอ่ยพูดในขณะที่เยว่ซินเดินเอาไอแพดไปเก็บไว้ที่โต๊ะภายในห้อง ขาเรียวเดินกลับมาที่เตียงแล้วปีนขึ้นไปหยุดที่แขนแกร่งซึ่งอ้ารออยู่ก่อนแล้ว "อือ" ปลายจมูกโด่งกดซุกลงบริเวณลาดไหล่เป็นผลให้คนตัวเล็กครางแผ่วในลำคอ เยว่ซินเอ่ยสั่งให้ระบบไฟในห้องปิดลง "พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าอีกนะคะ อือ...อย่ากวน" เอ่ยดุเล็กน้อยหากแต่ฟาหยางก็ไม่ได้ฟัง เขาแทะเล็มคนตัวเล็กตรงแก้มบ้าง ริมฝีปากบ้าง "วันนี้ยังไม่ได้กอดเธอเลย ไม่ได้จูบด้วย" เสียงทุ้มดูแง่งอนจนเยว่ซินถอนหายใจแผ่วเบา แม้จะปิดไฟไปแล้วแต่ก็ยังมีโคมไฟที่หัวเตียงทำให้ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาได้ชัดเจน "อืม..." ฟาหยางประคองแก้มนุ่มยามที่โดนคุณหนูเยว่เงยหน้าขึ้นทาบริมฝีปากมาให้ก่อน จากที่ดูหงอยเมื่อครู่ตอนนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมามาก "แบบนี้โอเคแล้วใช่ไหมคะ" เมื่อถอนจูบแล้วจึงเอ่ยถาม เยว่ซินรับมือกับอารมณ์ของมาเฟียผู้นี้จนชินเสียแล้ว "อืม อาฟาไม่กวนเธอแล้ว" ครั้นได้อย่างที่ใจต้องการจึงโอบประคองว่าที่ภรรยาตัวเองแล้วหลับตาลงพร้อม ๆ กัน เยว่ซินนึกสงสัยตลอดเวลาว่าฟาหยางคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เคร่งขรึมต่อหน้าลูกน้องหลายสิบคนหรือเปล่า เหตุใดยามอยู่กับเธอถึงได้งอแงเป็นเด็กไม่เกินสิบขวบทุกครั้งไป... จางลี่เพิ่งได้รู้สึกตัวก็วันนี้ที่เธอมาหยุดยืนอยู่ในงานของเพื่อนรักของตัวเอง งานแต่งงานยิ่งใหญ่สมกับเป็นตระกูลหยาง ทั้งสถานที่จัดงานก็คือโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าแพงและใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง รอบกายทั้งด้านข้างและบนเพดานประดับด้วยโคมไฟสีแดงสลับของตกแต่งสีทอง เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงตามเวลาที่นัดหมายถึงการเริ่มงาน หากแต่แขกเหรื่อกลับมาเยอะจนตาลายไปเสียหมดแล้ว และหากมองไปตรงกลางจะคล้ายมีเวทีที่สูงขึ้นไป ด้านหลังนั้นมีมังกรสองตัวกำลังหันหน้าเข้าหากัน จางลี่สำรวจดูแม้ว่าเธอจะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งกับเยว่ซิน แต่พอได้เห็นวันงานจริง ๆ มันทั้งดูขลังและยิ่งใหญ่อลังการ และเพราะถึงแม้ห่าวอู๋จะต้องการให้พิธีออกมาตรงกับทางด้านความเชื่อที่ทางตระกูลทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนานแต่เพราะทั้งเขาและฟาหยางมีความเห็นตรงกันว่าไม่อยากให้เยว่ซินต้องเหนื่อยเกินไปจึงรวบงานทั้งหมดมาไว้ในคราวเดียวกัน ดังนั้นทั้งพิธียกน้ำชาและงานเลี้ยงจึงจะจัดขึ้นทุกอย่างที่นี่ "คุณจางลี่" หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ยามด้านหลังมีเสียงเรียกชื่อตนเอง จางลี่หันกลับไปมองก็พบว่าคือซูเม่ยที่ด้านข้างเดินคู่มากับอาจู "สวัสดีค่ะพี่จางลี่" คนตัวเล็กเอ่ยทักทายเสียงใส วันนี้อาจูอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวดูน่ารักน่าทะนุถนอม ส่วนซูเม่ยก็ยังคงไว้ด้วยความเป็นตัวเอง เธอสวมเป็นผ้าสีอ่อนลงก็จริงแต่ลวดลายยังคงเรียบ ๆ ตามฉบับเจ้าตัว ส่วนจางลี่ก็แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตเพื่อนรักของตัวเอง เธอสวมเป็นเดรสทิ้งตัวที่โชว์ตรงลาดไหล่ดูแล้วสวยสง่าสมกับเป็นลูกเจ้าของบริษัทด้านวงการบันเทิง "นี่พี่ลี่ยังไม่ได้เข้าไปหาพี่ซินใช่ไหมคะ" "อือ เพิ่งจะมาถึงไม่นานน่ะ" เมื่อหยุดพูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง ทั้งสามคนจึงอยู่ทักทายแขกในงานเสียก่อน อาจเพราะทั้งจางลี่และซูเม่ยเป็นคนใกล้ชิดกับเยว่ซินเป็นพิเศษถึงได้โดนคนจากตระกูลต่าง ๆ เข้ามาทำความรู้จักบ้างก็ประจบประแจงหวังเผื่อจะได้เข้าตานายหญิงคนใหม่ของตระกูลหยาง อีกทางด้านหนึ่งที่เป็นห้องแต่งตัวและห้องพักผ่อนของคุณหนูหลี่ เยว่ซิน บนเก้าอี้ปรากฏหญิงสาวที่สวมชุดพิธีการ ชุดกี่เพ้าสีแดงปักดิ้นทองลายมงคลอย่างลายหงส์และดอกโบตั๋นซึ่งสื่อถึงวาสนาและความรักความมั่งคั่ง ชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขา หากแต่มีความพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าอวดเรียวขาสวยทั้งยังทำให้ก้าวเดินได้สะดวก ใบหน้างดงามถูกประทินโฉมอย่างพอดีด้วยช่างมากฝีมือที่ว่าที่สามีเป็นคนจัดหาให้ ดวงตากลมโตค่อย ๆ กระพริบขึ้นช้า ๆ ยามโดนช่างแต่งหน้าลงรายละเอียดที่เปลือกตาเป็นอย่างสุดท้าย "..." ไร้คำพูดใด ๆ หลุดรอดออกมาจากคนที่อยู่ในห้องแต่งตัว พวกเธอกำลังยกมือขึ้นปิดริมฝีปากกับผลงานที่ได้เห็น คุณหนูหลี่ เยว่ซินมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกแล้วสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งต่างหูยาวระย้า สีของเสื้อผ้าและใบหน้างามดูรับกันไปทุกสัดส่วน ผมเผ้าดำขลับตลอดทั้งผิวขาวราวหิมะที่ทำให้ทุกคนในห้องต่างคิดเป็นอย่างเดียวกันว่าสตรีผู้นี้งดงามจนไม่กล้าที่ละสายตาออกไปมองอย่างอื่นได้เลย "อืม..." เมื่อเสียงหวานที่คล้ายจะนึกอะไรอยู่คนเดียวดังขึ้นในห้อง เป็นผลให้ช่างแต่งหน้าทำผมที่ยืนนิ่งชมใบหน้างามนั้นรีบกระวีกระวาดถามว่ามีตรงไหนติดขัดหรือไม่พอใจคุณหนูเยว่หากแต่คนตัวบางส่ายหน้าไปมา เธอระบายยิ้มอ่อนโยนทำเอาคนมองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "แค่คิดว่าชุดมันดูเบากว่าวันที่ไปลองมาน่ะค่ะ" พูดพลางยืนขึ้นหมุนตัวเองไปมา ทางฝั่งห้องเสื้อจึงเป็นคนเอ่ยอธิบายต่อเรื่องนี้ "ชะ...ใช่ค่ะ ทางเราปรับเอาเครื่องประดับหนัก ๆ ออกบางส่วนแต่แทนที่ด้วยของที่งดงามเช่นเดียวกัน เพราะกลัวคุณหนูเยว่จะไม่สะดวกสบายยามที่ก้าวเดินน่ะค่ะ" เธอคนนั้นพูดทั้งไม่กล้าสบสายตาว่าที่นายหญิงตระกูลหยางโดยตรง "ฉันชอบมากค่ะ ขอบคุณนะคะ" หากแต่หญิงสาวกลับพูดอย่างใจดีทั้งยังยิ้มให้ราวกับเธอชื่นชอบมากจริง ๆ ไม่ทันให้ได้พูดตอบอะไรกันมากกว่านี้ ที่หน้าประตูก็มีเสียงเคาะและเอ่ยขออนุญาตดังขึ้น "อาเยว่" เยว่ซินจำได้ดีว่านั่นคือเพื่อนของตนเอง เธอทำท่าจะเดินไปเปิดประตูให้แต่กลับโดนช่างแต่งหน้าห้ามเอาไว้ "เดี๋ยวฉันเปิดเองค่ะ" ครั้นเมื่อจางลี่เข้ามาภายในห้องและเห็นภาพของเพื่อนที่สวมชุดแต่งงานดูราวกับภาพวาดที่ไม่มีอยู่จริง เธอยกมือขึ้นปิดปากและในวินาทีนั้นก็เหมือนจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ "จางลี่" เยว่ซินหลุดหัวเราะทั้งยังรีบเข้าไปกอดเพื่อนตัวเองไว้เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น ซูเม่ยและอาจูไม่ได้เข้ามาด้วยกัน พวกเธอทั้งสองคนขอเห็นคุณหนูเยว่ในตอนที่เดินเข้าไปในงานพร้อมคนอื่น ๆ เลย "สวยมากเลย แกสวยมาก" เป็นภาพแรกของวันที่เริ่มต้นคล้ายจะมีน้ำตาเสียแล้วหากแต่เยว่ซินก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี เธอรู้ว่าจางลี่ดีใจขนาดไหน "แกก็สวยมาก สวยจนเป็นเจ้าสาวได้เลย" ครั้นผละกอดออกแล้วคุณหนูตระกูลจางก็ส่ายหน้าไปมา ในเวลานี้ไม่มีใครที่จะงามกว่าเยว่ซินได้อีกแล้ว "คุณฟาหยางยังไม่เคยเห็นแกตอนสวมชุดแต่งงานใช่ไหม" "อืม" เพราะเยว่ซินอยากจะเซอร์ไพรส์เขา ดังนั้นวันลองชุดก็จะใช้ห้องแยกกันไปเลย แม้ว่าฟาหยางจะออดอ้อนอยู่บ่อยครั้งว่าอยากจะลองในห้องเสื้อเดียวกันแต่ก็โดนปฏิเสธ "เขาจะต้องตะลึงแน่นอน" "พูดเกินไปแล้ว" แม้รู้ว่าวันนี้ตัวเองได้แต่งตัวเต็มยศขึ้นกว่าปกติแต่เยว่ซินก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะวิเศษวิโสอะไรกว่าทุกวัน ทั้งคู่เดินไปนั่งลงเพื่อพูดคุยกันต่อระหว่างที่รอฤกษ์ของงาน ซึ่งคนที่จะเข้ามารับเธอก็คือฟาหยาง ฝั่งทางหลี่ เลี่ยงหรงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะยังได้รับเกียรติในฐานะพ่อเจ้าสาว เขาคิดมาตลอดว่าแขกผู้ใหญ่ฝั่งทางเยว่ซินคงจะเป็นอาม่าเหลียนไม่ใช่เขา หากแต่วันนั้นที่ฟาหยางเดินทางไปบ้านตระกูลหลี่ด้วยตัวเองพร้อมเยว่ซินเพื่อไปสู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวและทำพิธีไหว้ฟ้าดิน ไหว้เจ้าที่และบรรพบุรุษของตระกูลหลี่ก็ทำเอามาดนิ่งของเลี่ยงหรงพังไม่เป็นท่า เขาจำได้ว่าวันนั้นเผลอน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ครั้นผ่านเวลาไปสักพักใหญ่ ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาบอกว่าถึงเวลาแล้ว เยว่ซินลุกขึ้นยืนทั้งเผลอกำมือเข้าหากันอย่างประหม่า จางลี่ลูบหลังให้กำลังใจเพื่อนแผ่วเบาแล้วก็ต้องรีบออกไป ในห้องแต่งตัวจะเหลือแค่เยว่ซินที่จะรอเจ้าบ่าวของเธอเพียงคนเดียว คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าออกเพื่อให้คลายความตื่นเต้นลง ผ้าคลุมสีแดงผืนบางถูกยกขึ้นสวมแล้วปิดบังใบหน้างดงามเอาไว้ "อาซิน" ที่หน้าประตูปรากฏคนมาใหม่ก็คือฟาหยาง วันนี้เขาอยู่ในชุดเต็มยศที่ด้านในคือเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงโดนปักด้วยลวดลายของมังกรที่แสดงถึงอำนาจ ผมโดนเซ็ตขึ้นทั้งใบหน้าดุดันที่ฉายแววอ่อนลงกว่าครั้งไหน ๆ ดวงตาสีรัตติกาลยามนี้ทั้งดูชื่นชมและพออกพอใจกับภาพตรงหน้าของตัวเอง "เหล่ากงมารับแล้ว" เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำคนฟังเม้มริมฝีปากแน่น เนื่องด้วยพิธีการถูกกระชับลงไม่ให้มากมาย ขั้นตอนหลายส่วนจึงถูกตัดตอนออกแต่ยังคงไว้ด้วยพิธีสำคัญ ๆ เยว่ซินยังยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะคนที่จะต้องเดินคือฟาหยางซึ่งเขาก็ก้าวมาจนประชิดว่าที่ภรรยาตัวเอง มือหนาแบลงตรงหน้าเป็นสัญญาณให้จับกันไว้ "สวยมาก วันนี้ภรรยาของฟาหยางสวยมากจริง ๆ " เสียงทุ้มก้มลงมากระซิบกันยามมีระยะห่างต่อกันเพียงน้อยนิด แม้มีผ้าคลุมผืนบางกั้นกันไว้แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น ทั้งคู่เดินเข้ามาในงาน ทั้งช่างภาพและเหล่าแขกเหรื่ออดไม่ได้ที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพทั้งคู่เก็บเอาไว้ เยว่ซินรู้สึกเหมือนว่าตัวเองตื่นเต้นจนแผ่นหลังเย็นไปหมด แต่เพราะมีมือหนาประคองกันไว้ถึงได้คลายความกดดันเหล่านั้นลง ทั้งคู่เดินไปหยุดตรงบริเวณที่ได้จัดเตรียมไว้ มีเสียงของพิธีกรบอกถึงขั้นตอนที่จะต้องทำอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็คือพิธีคำนับ ฝั่งด้านข้างมีห่าวอู๋และเลี่ยงหรงนั่งหลังตรงมองกันอยู่ ในดวงตานั้นฉายแววความยินดีอย่างชัดเจน หนึ่ง คำนับฟ้าดิน สอง คำนับพ่อแม่ สาม คำนับกันและกัน เสร็จแล้วฟาหยางจึงค่อย ๆ เอื้อมมือเปิดผ้าคลุมที่กั้นระหว่างกันออก ดวงตาสีสวยช้อนมองสามีตนเอง ริมฝีปากยกยิ้มให้แก่กัน ต่อไปก็เป็นพิธียกน้ำชา ทั้งสองนั่งคู่กันอย่างสง่างาม ฟาหยางอยู่ทางด้านซ้าย เขารับถาดน้ำชามาเพื่อรินให้แก่ห่าวอู๋เป็นคนแรก และเพราะไม่มีผู้เป็นมารดาอยู่แล้ว ดังนั้นห่าวอู๋จะต้องยกดื่มทั้งสองแก้ว ครั้นพอเสร็จสิ้นแล้วจึงเอ่ยอวยพรเล็กน้อยแล้วจึงดำเนินไปคนถัดไป เมื่อเสร็จสิ้นพิธีตรงนี้ก็จะเป็นการสวมแหวน เพราะวันที่ไปสู่ขออย่างเป็นทางการกับเลี่ยงหรงวันนั้นฟาหยางให้แค่สินสอดและยังไม่ได้มีพิธีสวมแหวนจึงรวบเข้ามาในงานวันนี้ทั้งหมด มือเรียวถูกประคองอย่างระมัดระวัง ฟาหยางสวมแหวนที่ประดับด้วยเพชรหลายกะรัตให้แก่นิ้วนางข้างซ้ายของเยว่ซิน เสร็จแล้วก็ทาบจูบแผ่วเบาที่หลังมือนั้น "ด้วยความรักทั้งหมดที่อาฟามีให้เธอ" เขาเอ่ยพูดทั้งดวงตาสีรัตติกาลที่แสดงออกถึงความรักใคร่มากกว่าครั้งไหน ๆ เยว่ซินหัวเราะแผ่วเบา คราวนี้เธอก็หยิบแหวนฝั่งตัวเองขึ้นมาเพื่อสวมให้อีกคนบ้าง แม้แหวนของฟาหยางจะมีความเรียบกว่าแต่ยังคงดีไซน์ที่คล้าย ๆ กันไว้ "ได้โปรดเอ็นดูเยว่ซินคนนี้ด้วยนะคะ" พูดทั้งดวงตากลมโตคล้ายกระต่ายตัวเล็ก ๆ ฟาหยางยกยิ้มก่อนจะเคลื่อนตัวไปจูบที่หน้าผากคนตัวเล็กแผ่วเบา ได้ยินเสียงปรบมือแสดงความยินดีดังคลอ เสร็จแล้วก็ทานขนมอี๊ตามพิธีการลำดับถัดไป กว่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างก็กินเวลาไปพอสมควร คราวนี้ถึงเวลางานเลี้ยงที่จะเปิดให้สำนักข่าวเข้ามาเก็บภาพได้ เยว่ซินโดนช่างแต่งตัวช่วยจัดทรงผมและชุดที่ใส่อีกเล็กน้อยเพื่อให้สะดวกต่อการเดินมากยิ่งขึ้น "อยากเข้าห้องหอแล้ว" ครั้นพอเดินออกมายืนเคียงข้างสามีได้ไม่นานก็โดนเสียงทุ้มกระซิบเจ้าเล่ห์ใส่ เขาโอบเอวบางไว้ข้างลำตัวทั้งดวงตาสีรัตติกาลมองกันอย่างเปิดเผย "วันนี้ซินคงเพลียมาก พอเราเสร็จงานก็นอนกันเลยดีไหมคะ" ยิ่งเห็นฟาหยางออกอาการมากเท่าไหร่คนตัวเล็กก็ยิ่งอยากแกล้ง ฟาหยางได้ฟังเช่นนั้นก็คำรามในลำคอแผ่วเบา "อาซิน" "อะไรคะ" ไม่ทันให้ได้หยอกเย้าไปมากกว่านี้ก็โดนแขกเข้ามาทักทายกันก่อน เยว่ซินระบายยิ้มให้พลางเอ่ยตอบอย่างสุภาพ หลังจากนั้นจนถึงเย็นทั้งคู่ก็ต้องพักเรื่องส่วนตัวไว้แค่นั้น เรื่องงานแต่งงานของคุณหนูหลี่ เยว่ซินและฟาหยางถูกเป็นที่พูดถึงในโซเชียลติดอันดับหนึ่งตลอดทั้งวัน งานเลี้ยงลากยาวถึงเย็นทำให้บรรยากาศในงานดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าพิธีในตอนเช้า ทั้งหยวน อี้ จางลี่ ซูเม่ยและอาจูนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ดูเหมือนระหว่างคุณชายตระกูลหยวนกับคุณหนูตระกูลจางจะมีอะไรเกิดขึ้นและเยว่ซินไม่ทันได้รับรู้ หญิงสาวหรี่ตาลงจับผิดเพื่อนตัวเองหากแต่จางลี่กลับโบกมือไปมาด้วยสีหน้าแดง ๆ เยว่ซินและฟาหยางมาหยุดตรงโต๊ะกลมที่ห่าวอู๋และเลี่ยงหรงนั่งอยู่ด้วยกัน ประมุขคนก่อนของตระกูลหยางเอื้อมมาจับมือเรียวของเยว่ซินพลางวางกระดาษแผ่นหนึ่งให้ "คะ?" เธอเอียงคอสงสัย "หุ้นของบริษัทหยางที่เป็นชื่อของเตี่ย เตี่ยให้อาเยว่นะ" พลันในวินาทีที่ได้ฟังก็ตาโตด้วยความตกใจ เยว่ซินทำท่าจะปฏิเสธหากแต่ก็โดนห้ามไว้เสียก่อน สุดท้ายเธอก็คำนับให้กับห่าวอู๋อย่างขอบคุณ ที่จริงสินสอดที่เขาให้กับทางตระกูลหลี่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เยว่ซินสามารถใช้เงินนั้นโดยที่ไม่ต้องทำงานไปได้ตลอดชีวิต แต่นี่กลับได้หุ้นภายในบริษัทมาอีก คล้ายกับว่าพ่อลูกคู่นี้จะทุ่มเงินให้เธอมากพอสมควรเลยจริง ๆ หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนจบ เยว่ซินก็มึนอยู่ไม่น้อยด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป พิธีส่งเข้าห้องหอเสร็จสิ้นหลังจากที่ห่าวอู๋กล่าวคำอวยพรแล้วปิดประตูลง ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลหยางและห้องนอนประจำที่คนตัวเล็กคุ้นเคยดี หญิงสาวนอนลงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ถอดเครื่องประดับสักชิ้นจนทำให้ฟาหยางที่กำลังปลดกระดุมเสื้อตัวเองอยู่ส่ายศีรษะเบา ๆ "เหนื่อยหรือ" เขาเดินมาหยุดข้าง ๆ ภรรยาตัวเองแล้วกระซิบถาม แม้วันนี้จะเดินทั้งวันและเข้าพิธีตั้งแต่เช้าหากแต่เขายังได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเยว่ซินอยู่เลย "อือ" เสียงหวานตอบอู้อี้ ฟาหยางเข้าไปถอดชุดตัวเองออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดคลุมอาบน้ำไว้ เขาเดินกลับออกมาก็เห็นว่าเยว่ซินกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง มือเรียวสาละวนอยู่กับต่างหูตัวเอง "ให้อาฟาถอดให้หรือเปล่า" เยว่ซินมองเงาสะท้อนสามีตัวเองผ่านกระจกตรงหน้าแล้วพยักหน้าตอบรับ มือหนาสัมผัสลงที่ใบหูแผ่วเบาแล้วค่อย ๆ บรรจงถอดต่างหูออก "ขอบคุณค่ะ" เยว่ซินลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเดินไปอาบน้ำแต่เอวบางกลับโดนรั้งเอาไว้ "คะ...คุณหยาง" "อะไร แต่งงานกันแล้วก็ยังสุภาพอยู่อีกหรือ" เสียงทุ้มกระซิบถามพลางทาบริมฝีปากลงจูบที่บริเวณแก้มนุ่ม เยว่ซินเบี่ยงหน้าหนีเล็กน้อยแต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี ดวงตาสวยหลับลงเมื่อฟาหยางจูบเบา ๆ ที่บริเวณคิ้ว "เรียกใหม่เลยอาซิน" "อือ...พี่ฟา...เหล่ากง" ครั้นได้ฟังคำที่พอใจก็ยกยิ้ม วงแขนแกร่งกักคนตัวเล็กไว้ให้เธอนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง ริมฝีปากเริ่มซุกซนไปทั่ว "ดะ...เดี๋ยวก่อน" มือเรียวยกขึ้นคล้ายจะผลักกันออกแต่กลับโดนฟาหยางประคองไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วแลบลิ้นเลียที่ฝ่ามือนั้น ดวงตาสีรัตติกาลจดจ้องอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ "วันนี้รู้หรือเปล่าว่าอาฟาต้องอดทนขนาดไหน หืม" "..." "สวยทั้งคนทั้งชุดจนไม่อยากให้ถอดเลย" เยว่ซินคล้ายโดนคนตัวสูงกักไว้ในอาณัติตัวเองจนขยับหนีไม่ได้ ฟาหยางสอดมือบีบเคล้นขาอ่อนที่โผล่พ้นจากชุดยามร่นลง จมูกโด่งกดหอมบริเวณลำคอระหงส์ ได้ยินเสียงหวานครางอยู่แผ่วเบา "มะ...ไม่เอานะ" เพราะวันนี้เยว่ซินเหนื่อยมากจนล้าไปทุกส่วน เธอพยายามห้ามหากแต่พอโดนสัมผัสเร้ากันก็ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนสามี "วันนี้อาฟาตามใจภรรยา" "..." "ให้เธอเป็นคนคุมอยู่ด้านบนดีหรือเปล่า" นอกจากจะไม่หยุดก็ยังพูดเร้าข้างหูด้วยประโยคชวนวาบหวาม เยว่ซินเม้มริมฝีปากแน่น มือเรียววางไว้ที่บ่ากว้างแล้วจิกลงไปยามที่ฟาหยางแลบลิ้นเลียบริเวณใบหู "ควบคุมฟาหยางได้ตลอดทั้งคืน อาฟาให้เธออยู่เหนือสามี" คล้ายจะรู้ว่าควรพูดอย่างไรให้คนตัวเล็กมองกันด้วยตาวาววับ เยว่ซินครั้นพอได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นโอบลำคอแกร่ง เบียดตัวเข้าหาพลางเงยหน้ารับจูบที่ฟาหยางทาบลงมาหากัน เสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังขึ้น ผิวขาวเริ่มซับสีแดงอ่อน ๆ เมื่อโดนมือหนาบีบเคล้นไปทั่ว ฟาหยางมองภรรยาตัวเองด้วยลำคอแห้งผาก ยามนี้ที่ย้ายตัวเองมาอยู่บนเตียงหลังใหญ่ก็โดนเยว่ซินซุกซนอยู่บนตัว ทั้งมือเรียวที่จับหน้าท้องอย่างตามใจ หรือบริเวณส่วนล่างที่แนบชิดจนรับรู้ถึงความร้อนผ่านเนื้อผ้า "อึก..." เยว่ซินหลุดสะอื้นในลำคอเมื่อฟาหยางที่ทนไม่ไหวจึงสวนเอวขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกด้วยซ้ำ มือหนาวางอยู่ที่เนื้อนุ่มตรงก้นเด้งสู้มือ บีบเคล้นจนขึ้นเป็นรอยแดง เสื้อผ้าแม้ถูกร่นลงหลายส่วนแต่ก็ยังไม่ถอดออกเสียที "สวย" "อือ..." "แม่ง" "..." "เยว่ซินเธอทำให้เหล่ากงคลั่งจะบ้าอยู่แล้ว" ครั้นได้ยินคำสบถหยาบคายที่ข้างหูเป็นครั้งแรกก็ตัวสั่นเทิ้ม ยิ่งฟาหยางทั้งบีบทั้งพูดแถมดวงตาร้ายกาจที่มองกันตรง ๆ ก็ยิ่งทำให้คนตัวเล็กบดเบียดตัวเองเข้ามากกว่าเดิม ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่กลับยิ่งคล้ายโดนเร้าด้วยสายตาและคำพูดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สัมผัส ฟาหยางพลิกคนตัวเล็กให้อยู่ใต้ร่าง มือหนาถกกี่เพ้าขึ้นแล้วก้มหน้าลงจูบซับบริเวณขาอ่อนจนเยว่ซินหลุดร้องเสียงดัง ความอดทนตลอดทั้งสัปดาห์ที่ยุ่งอยู่กับงานแต่งถูกรวบมาใช้ในวันนี้จนหมดสิ้น ดวงตากลมโตฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ ขาเรียวที่พยายามหุบเข้าหากันก็โดนสามีแยกมันออก บริเวณหน้าท้องจนถึงขาอ่อนเต็มไปด้วยรอยขบเม้มสีแดงเป็นจุด ๆ "ฮึก...เสียว พี่ฟา...อื้อ" แม้จะโดนกระต่ายข่วนไปหลายรอยหากแต่ฟาหยางก็ไม่คิดยั้งแรง ผิวเนื้อเต็มไปด้วยเหงื่อทั้ง ๆ ที่ห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ใบหน้าหล่อคมซุกอยู่กับซอกคอภรรยาอย่างหวงแหน มือหนาข้างที่ประดับรอยสักกดอยู่ที่หน้าท้องแบนราบจนเยว่ซินส่ายศีรษะไปมาบนเตียงด้วยความเสียดเสียว "ขอร้อง...เหล่ากง อ๊า!!" ครั้นโดนสวนกระแทกจนตาลอยขาสั่นก็ยิ่งถูกใจฟาหยางเข้าไปอีก เขารังแกคนในอาณัติซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่คิดผ่อนแรง "อา..." เสียงทุ้มคำรามหลังจากเพิ่งปลดปล่อยรอบที่เท่าไหร่ไปก็ไม่แน่ใจ เอวสอบกระแทกย้ำอีกสองสามครั้ง ริมฝีปากพรมจูบที่เปลือกตาสวย เยว่ซินคล้ายสติจะเลือนหายไปได้ในตอนนี้ มือเรียวใช้แรงทั้งหมดโอบลำคอสามีตัวเองไว้ "ดีไปหมดเลย อาซิน" "ฮึก..." "คนเก่งของเหล่ากง" หนึ่งสัปดาห์หลังจากงานแต่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงตัวเป็นปกติ เยว่ซินเทียวไปเทียวมาระหว่างบริษัทตระกูลหยางและตระกูลหลี่ แม้ห่าวอู๋จะบอกให้รีบคิดตารางไปฮันนีมูนกันแต่เยว่ซินก็ยังคิดไม่ออกว่าควรไปที่ไหนดี เหมือนกับว่าวันที่เธอไปอิตาลีกับฟาหยางจะเพิ่งผ่านเมื่อไม่นานมานี้เองทั้ง ๆ ที่ก็ตั้งหลายเดือนแล้ว "คุณหนูเยว่ลองทำอันนี้ดูไหมคะ" นอกจากเทียวไปมาที่บริษัทสิ่งเดียวที่นายหญิงตระกูลหยางโปรดปรานก็คือทำขนมใหม่ ๆ กับสาวใช้คนสนิท วันนี้เมนูที่เธอโดนนำเสนอมาก็คือขนมเทียน เยว่ซินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ "อือ น่ากินดีจัง" พอได้ลองดูสูตรโดยคร่าว ๆ แล้วจึงเอ่ยพูด เหล่าสาวใช้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะเอ็นดูนายหญิงผู้นี้เสียไม่ได้ "งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบเตรียมวัตถุดิบให้ค่ะ" เยว่ซินนั่งรออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ในครัวพร้อมสำหรับการทำขนมเทียน มือเรียวเลื่อนดูวิธีทำไปพลาง ๆ เธอกำลังคิดว่าฟาหยางจะชอบหรือเปล่า แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าเธอจะทำขนมอะไรให้ก็ดูเหมือนเขาจะชอบไปเสียทุกอย่าง ครั้นทิ้งเวลาไปได้เพียงครู่เดียวสาวใช้ก็เดินมาบอกว่าครัวพร้อมแล้ว "ระวังมือนะคะ" และไม่ว่าเยว่ซินจะเข้าครัวบ่อยขนาดไหนแต่ก็ไม่วายโดนห่วงจนมากเกินไปอยู่ดี คนตัวเล็กวุ่นอยู่กับการลองทำขนมที่เพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรกโดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ฟาหยางที่วันนี้กลับเร็วเป็นพิเศษเมื่อเดินเข้ามาในคฤหาสน์ก็ได้กลิ่นหอม ๆ เป็นอันดับแรก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวันนี้ภรรยาเขาคงทำขนมอยู่แน่นอน "ทำอีกหลาย ๆ ชิ้นเลยค่ะ จะได้ให้พอกับคนอื่น ๆ ด้วย" ร่างสูงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาพาดสูทไว้ที่ต้นแขน เสื้อเชิ้ตถูกคลายลงโดยการปลดกระดุมออกสองเม็ด ฟาหยางมองไปยังภรรยาตัวเองที่วันนี้สวมชุดเอี๊ยมน่ารัก มือเรียวสวยหยิบจับของในครัวอย่างชำนาญ "คะ..." คำพูดของสาวใช้ถูกค้างไว้แค่นั้นเมื่อฟาหยางยกมือขึ้นไม่ให้ทักทายกัน พวกเธอรีบค้อมศีรษะทำความเคารพก่อนจะหันไปช่วยนายหญิงตัวเองต่อแล้วปล่อยให้ประมุขของที่นี่ยืนอยู่ที่เดิม "อืม...ไฟแรงเกินไปหรือเปล่านะ" เยว่ซินย่อตัวลงดูขนมที่กำลังนึ่ง ดวงตากลมโตจดจ่อกับของตรงหน้าจนไม่รับรู้ว่าด้านหลังกำลังมีคนเดินมาหา เหล่าสาวใช้ถอยหลังออกเล็กน้อย "อันนี้ต้องนึ่งนานเท่าไหร่หรือคะ...อ๊ะ!" ครั้นหันกลับมาเพื่อจะถามแต่ศีรษะกลับโหม่งเข้ากับอกแข็ง ฟาหยางรีบยกมือขึ้นลูบหน้าผากให้ ริมฝีปากยกยิ้มอย่างขบขัน "คุณหยาง...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ" ดวงตาสวยล่อกแล่กเพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอทำท่าทางตลก ๆ อะไรออกไปบ้าง ฟาหยางไม่ได้ตอบในทันที เขาทาบริมฝีปากลงจูบเบา ๆ ที่จมูกรั้น "ไม่นาน เห็นเธอกำลังยุ่งอยู่" ภาพที่นายใหญ่และนายหญิงตระกูลหยางยามอยู่ด้วยกันเหมือนจะชินตาสำหรับเหล่าสาวใช้แต่ถึงแบบนั้นก็ยังอดที่จะเขินด้วยขนาดส่วนสูงและการกระทำของฟาหยางเสียไม่ได้ ต่อให้เขาจะยุ่งมากแค่ไหนแต่ถ้าเยว่ซินมีเรื่องจะถามฟาหยางจะหยุดทุกอย่างลง แม้จะเหนื่อยเจียนตายแต่แค่ได้เห็นใบหน้างดงามของภรรยาริมฝีปากก็พร้อมจะยกยิ้มขึ้นเสมอ ข่าวลือที่ว่าประมุขตระกูลหยางผู้นี้หวงแหนภรรยามากแค่ไหนเป็นที่พิสูจน์ให้ได้เห็นอยู่ทุกวัน "เดี๋ยวขนมเสร็จแล้วซินจะเรียกนะคะ ตอนนี้ตัวซินเลอะแต่แป้งคุณหยางอย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ค่ะ" แม้จะโดนห้ามแต่มีหรือที่เขาจะฟัง ฟาหยางยื่นสูทในมือให้อาโปที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นพลางเอ่ยถามประโยคที่ทำให้คนฟังในห้องตาโต "ถ้าเธอจะอยู่ตรงนี้ เหล่ากงก็จะอยู่ด้วย มีตรงไหนให้ช่วยอีกบ้าง?" นั่นหมายถึงว่าฟาหยางจะลงมือทำขนมด้วยกัน อาโปรีบเอ่ยห้ามเจ้านายตัวเองทันที "คุณหยางครับแต่ว่า..." "มีปัญหาอะไร ฉันจะช่วยภรรยาตัวเอง" อาโปรีบปิดปากฉับไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก เยว่ซินพอได้ฟังเช่นนั้นก็ดวงตาวาววับ เธอหลุดหัวเราะแผ่วเบา "อยากรู้จังว่าตอนจับปืนอาโปห่วงคุณหยางได้มากเท่านี้ไหม" พอหยอกล้อสามีตัวเองได้สักประโยคจึงเริ่มหยิบวัตถุดิบมาตรงหน้า เอ่ยสอนถึงวิธีทำซึ่งฟาหยางก็ยืนนิ่งฟังไม่คิดขัด ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองคนตัวเล็กตลอดเวลา แม้ฟังแต่ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง กว่าขนมเทียนจะออกมาเป็นรูปร่างให้เห็นก็กินเวลามากกว่าปกติพอสมควร "ทำไมชอบทำอะไรแบบนี้ ขั้นตอนยุ่งยากไปเสียหมด" เมื่อทำเสร็จก็รอเพียงให้มันสุกพร้อมเสิร์ฟเยว่ซินจึงฝากให้สาวใช้ช่วยดูไว้ เธอและฟาหยางขึ้นมายังห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีแต่คราบเลอะแป้ง "ซินว่ามันสนุกนะคะ ไม่เห็นจะยุ่งยากเลย" ชุดเอี๊ยมถูกถอดออกแทนที่ด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ฟาหยางมองตามแผ่นหลังเนียนแล้วขยับเข้าไปใกล้ "อืม สนุกก็สนุก" เขาพูดตามไม่คิดเถียง เรื่องตามใจภรรยาที่หนึ่งต้องยกให้ฟาหยาง เยว่ซินพอเห็นคนตัวสูงตามน้ำเธอไปเสียทุกอย่างก็หัวเราะชอบใจ เอวบางโดนดึงให้แนบกับหน้าท้องแกร่งที่ไร้เสื้อปกคลุม "ไม่จูบนะคะ ซินยังไม่อาบน้ำ เลอะเทอะไปหมดแล้ว" รีบดันใบหน้าหล่อเหลาทันทีที่เห็นว่าเขาเคลื่อนมาใกล้กัน ฟาหยางนิ่งไปชั่วครู่แต่ก็ยอมทำตาม มือหนาช้อนภรรยาขึ้นในอ้อมแขน "อ๊ะ! คุณหยาง!" "งั้นถ้าอาบน้ำก็จูบได้ใช่ไหม" "คะ?...ดะ เดี๋ยว" ไม่ทันได้เอ่ยห้ามอะไร ขายาวของสามีก็ก้าวไปทางห้องน้ำทันที เยว่ซินตาโตด้วยความตกใจ "อาบน้ำด้วยกันจะได้เสร็จเร็ว ๆ ไงครับคุณภรรยา" พูดเช่นนั้นหากแต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้าม เยว่ซินกว่าจะหลุดออกจากอ้อมกอดสามีได้ขนมเทียนก็เย็นชืดไปเสียแล้ว ผ่านมาอีกหลายสัปดาห์จากความปกติแต่วันนี้ที่คฤหาสน์ตระกูลหยางวุ่นวายพอสมควร ฟาหยางยามนี้ราวบรรยากาศรอบตัวกดดันจนเหล่าลูกน้องไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใบหน้าดุดันฉายแววกังวลอย่างชัดเจน เพราะเมื่อเช้านี้จู่ ๆ ที่เขากำลังนอนกอดเยว่ซินอยู่นั้น คนตัวเล็กกลับลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วอาเจียนอย่างไม่มีสาเหตุ ใบหน้าหวานซีดเซียวอย่างที่ฟาหยางไม่เคยเห็นมาก่อน "เมื่อวานอาซินทานอะไรไป" สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามเหล่าสาวใช้และลูกน้องที่ยืนก้มหน้าอยู่ในบริเวณห้องนั่งเล่น พวกเธอรายงานตามความเป็นจริง ของทุกอย่างและวัตถุดิบทุกชนิดย่อมได้รับการตรวจสอบก่อนที่จะทำอาหารทุกครั้ง ดังนั้นพวกเธอไม่คิดว่าปัญหามันจะมาจากอาหาร แต่แล้วอย่างไรเล่า ใครจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าฟาหยางที่กำลังมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่เช่นนี้กัน "คุณหยาง หมอลงมาแล้วครับ" ได้ยินเสียงอาโปที่รายงานกันจึงยุติการซักไซ้เอาไว้ก่อน เขารีบลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปหาแพทย์ประจำตระกูลที่ค้อมตัวให้กันอยู่ "เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาฉัน" เป็นที่รู้กันดีว่าคนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหวงแหนภรรยาตัวเองมากขนาดไหน แล้ววันนี้จู่ ๆ เยว่ซินดันมาอาเจียนต่อหน้าเช่นนั้นก็ทำให้ฟาหยางกังวลมากเป็นพิเศษ "คุณหนูเยว่ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ ทางเดินหายใจและระบบต่าง ๆ ในร่างกายปกติดีจากที่คุณหยางให้ฉันตรวจดู" เธอรายงานข้อแรกจากที่ฟาหยางเป็นกังวล พลันในวินาทีต่อมาที่หัวข้อใหม่ถูกเอ่ยขึ้นเป็นผลให้คนทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนี้นิ่งชะงักไปตาม ๆ กัน "แต่ที่คุณหนูเยว่อาเจียนและมีอาการไม่ค่อยสบายอย่างที่เห็นเป็นเพราะอาการของคนตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสเเรกเท่านั้นค่ะ ไม่มีตรงไหนที่น่ากังวลเป็นพิเศษ" จบประโยคของแพทย์หญิงประจำตระกูลหยาง ก็ได้ยินเสียงหลุดร้องของเหล่าสาวใช้แผ่วเบา พวกเธอกักเก็บความดีใจไว้ไม่ไหวแต่ในขณะเดียวกันฟาหยางไม่คิดแม้แต่จะตอบอะไรทั้งสิ้น ขายาวรีบก้าวกลับไปยังห้องนอนของตัวเองที่มีภรรยาอยู่ "อาซิน" ภาพแรกที่เห็นคือเยว่ซินกำลังนั่งพิงหัวเตียง มือเรียววางทาบไปกับหน้าท้องของตัวเองทั้งบริเวณใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม "..." ฟาหยางยืนนิ่งค้างอยู่ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานเอ่ยขึ้น "มาตรงนี้สิคะ" ในวินาทีนั้นถึงได้สติว่าไม่ใช่ความฝัน ขายาวก้าวเข้ารวบกอดภรรยาตัวเองไว้ ความรู้สึกหลากหลายตีกันอยู่ในหัวจนไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ "เรื่องจริงใช่ไหม ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่หรือเปล่า" เยว่ซินหลุดหัวเราะยามได้ฟังคำถามเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นกอดตอบคนตัวสูงไว้ แล้วซุกใบหน้าลงกับไหล่กว้าง "อือ ไม่ได้ล้อเล่นค่ะ ซินกำลังมีก้อนแป้งอยู่ในท้อง" จมูกโด่งกดลงที่ศีรษะของภรรยา ฟาหยางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เขาผละตัวออก มือหนาข้างที่ประดับรอยสักยกขึ้นแล้วลูบเบา ๆ ที่หน้าท้องผ่านเนื้อผ้า "งั้นหรือ เพราะแบบนี้เมื่อเช้าถึงเป็นเช่นนั้นสินะ เพราะแบบนี้นี่เอง" ราวกับย้ำกับตัวเอง ฟาหยางพูดพลางโน้มตัวลงจูบบริเวณนั้น นอกจากวันที่ขอเยว่ซินแต่งงานก็มีวันนี้นี่แหละที่ฟาหยางรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ทัน หัวสมองประมวลผลช้ากว่าปกติ "จริงสิ แล้วเราต้องทำยังไงกันต่อ ไปโรงพยาบาลไหม หรือว่า..." ริมฝีปากถูกมือสวยยกขึ้นปิดเอาไว้ เยว่ซินหลุดหัวเราะยามเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ เพราะปกติฟาหยางมักนิ่งขรึมและใจเย็นกับทุกอย่างแต่ตอนนี้เขาทั้งกระวนกระวายและตื่นเต้นจนดูไม่เป็นฟาหยางยามปกติเลยสักนิด "ซินปรึกษากับหมอเมื่อครู่แล้วค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปโรงพยาบาลกันก็ได้" เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลง ฟาหยางจับมือที่ปิดปากตัวเองไว้แล้วยกขึ้นมาแนบที่แก้ม "ชีวิตนี้อาฟาจะขอบคุณเธอเท่าไหร่ถึงจะพอ" "..." "ขอบคุณนะอาซิน" ใบหน้าหล่อเหลาก้มลง ฟาหยางคำนับแก่ภรรยาของตัวเอง เยว่ซินที่เห็นเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อย เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ "คะ...คุณหยาง" เพราะตกใจจึงพูดติดขัด ริมฝีปากสวยเบะลงทั้งดวงตากลมโตเริ่มมีหยาดน้ำคลออย่างอ่อนไหว ถึงไม่ใช่ฮอร์โมนคนท้องแต่การที่ฟาหยางปฏิบัติเช่นนี้มันก็ทำให้เยว่ซินได้เห็นแล้ว เขาไม่เคยกลัวที่จะเสียศักดิ์ศรี เพียงแค่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองต่อภรรยา ไม่ว่าด้วยวิธีไหน ฟาหยางยินดีจะทำทั้งสิ้น "ขอบคุณเหมือนกันค่ะ ซินรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกเลย" ฟาหยางเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา เนิ่นนานหลายนาทีกว่าทั้งสองคนจะผละกันออก เยว่ซินคิดว่าต้องโทรบอกเรื่องนี้กับจางลี่และซูเม่ยเสียก่อน ส่วนฟาหยางก็คงต้องบอกห่าวอู๋ พลันในชั่วโมงต่อมาด้านหน้าคฤหาสน์ก็มีรถมาจอดเรียงกันอยู่หลายคัน ในห้องนั่งเล่นปรากฏทั้งประมุขคนก่อนของตระกูลหยางและประมุขคนปัจจุบันของตระกูลหลี่ "ดี ดีมาก อาเยว่ซินย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์เตี่ยดีไหม ที่นั่นมีลูกน้องหลายคนที่เคยช่วยเลี้ยงอาฟาหยางมาตอนเด็ก ๆ " ห่าวอู๋เป็นคนเสนอคนแรก "เรื่องนี้ผมว่ามันคงจะไม่ได้ ให้อาเยว่กลับไปอยู่ที่บ้านของผมจะดีกว่า ที่นั่นมีอาม่าเหลียนซึ่งเธอเคยดูแลอาเยว่มาตั้งแต่เด็ก ๆ " เลี่ยงหรงพูดขัดทั้งยังเสนอต่อ เยว่ซินมองคนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันสลับไปมา ไม่ว่าฝ่ายใดเสนออีกฝ่ายหนึ่งก็จะขัดขึ้นมาตลอด เป็นเช่นนี้อยู่หลายประโยคจนกระทั่งคนข้างเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด "จะเอาภรรยาผมไปนู่นไปนี่หน้าตาเฉยนี่ถามผมกันหรือยังครับ? รู้เช่นนี้ผมไม่ควรจะรีบบอกเรื่องนี้กับเตี่ยและคุณหรงสินะ?" ครั้นโดนคำพูดเช่นนั้นก็ทำเอาผู้อาวุโสทั้งสองคนหยุดเถียงกันได้ ห่าวอู๋แค่นหัวเราะในลำคอ ส่วนเลี่ยงหรงก็ทำได้แค่ส่ายหน้าไปอีกทาง "อาซินจะอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่จะเข้มงวดเรื่องแขกที่จะมาเยี่ยมมากขึ้น" เยว่ซินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ขนาดหน้าท้องเธอยังไม่นูนให้รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นแต่กลับได้รับการปฏิบัติที่เกินตัวเช่นนี้ ถ้าหากในช่วงเดือนหลัง ๆ ใกล้คลอดเธอยังจะสามารถเดินได้ด้วยเท้าตัวเองโดยไม่โดนอุ้มไปไหนมาไหนได้ไหมนะ? "ดี เรื่องนี้เตี่ยเห็นด้วย แล้วนี่ได้ลูกชายหรือลูกสาว กำหนดคลอดมีหรือยัง" "เอ่อ..เตี่ยคะ นี่เพิ่งจะไตรมาสแรกยังไม่สามารถทราบได้ค่ะ" เยว่ซินตอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ เธอเข้าใจแล้วว่าฟาหยางได้นิสัยข้อนี้มาจากใคร กว่าจะพูดคุยเรื่องนี้ให้ลงตัวกันได้ก็มีข้อยกเว้นอยู่หลายอย่าง เช่น ห่าวอู๋ต้องการให้ฟาหยางหาคนดูแลเยว่ซินอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ตอนนี้จนถึงระยะที่ครบกำหนดคลอด หรือ เลี่ยงหรงที่เสนอว่าควรให้ม่าเหลียนมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งฟาหยางก็ปฏิเสธทุกข้อที่กล่าวมา "พรุ่งนี้จางลี่จะบินกลับจากญี่ปุ่นแล้วมาหานะคะ" ครั้นอยู่กันสองต่อสองแล้วเยว่ซินจึงเอ่ยพูด ฟาหยางเอาแต่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันโดยมือหนาวางอยู่ที่หน้าท้องตลอดเวลา "รู้ใช่ไหมคะว่าแค่เดือนหรือสองเดือนแรกเขายังดิ้นไม่ได้" พูดแซวทั้งดวงตาที่หยีลงราวพระจันทร์เสี้ยว ฟาหยางหัวเราะแผ่วเบาแล้วจูบลงที่หน้าผากของภรรยา "รู้ แต่ก็อยากจับ เผื่อเขาจะรู้สึกว่าป๊าอยู่ตรงนี้" "..." คนได้ฟังนิ่งไปชั่วครู่ ฟาหยางที่หลุดคำเรียกแทนตัวเองออกมาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำคนฟังใจเต้นแรงขนาดไหน "เพิ่งจะได้ไม่ถึงสองเดือนแต่ก็รีบแกล้งหม่าม๊าเสียแล้ว" "..." "ดื้อจังเลย" "ฮ่าๆ จะรีบดุลูกไปไหนคะ" เยว่ซินหัวเราะพลางเอียงคอเล็กน้อย วันนี้ต้องตื่นมาตั้งแต่เช้าเพราะอาการที่ไม่สู้ดีทำให้เธอเพลียอยู่ไม่น้อย ศีรษะเอนซบกับอกแกร่งของสามี ซึ่งฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นก็รีบประคองคนตัวเล็กไว้ "รู้สึกไม่ดีอีกหรือเปล่า พักสักหน่อยเถอะ อาฟาจะกอดเธอไว้อย่างนี้" เสียงทุ้มพูดอย่างอ่อนโยน "อือ เพลียนิดหน่อยน่ะค่ะ" กระต่ายตัวน้อยทิ้งตัวให้ฟาหยางลูบศีรษะเล่นอย่างเพลิน ๆ เยว่ซินหลับตาลง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอตื่นมาขึ้นบนเตียงนุ่ม และข้างกายไม่พบคนที่กอดกันไว้ก่อนหน้านี้ "คุณหยาง" เอ่ยเรียกได้เพียงนิดเดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามา "ตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไร เจ็บตรงไหน" "ไม่ได้เจ็บค่ะ ซินหิว" พอได้ยินแบบนั้นก็เบาใจ ฟาหยางรีบสั่งให้แม่บ้านเตรียมอาหารให้ ซึ่งของทุกอย่างต้องผ่านการตรวจสอบอย่างดีมากกว่าเดิมเพิ่มขึ้นหลายเท่า "ทานเยอะ ๆ เห็นเธออาเจียนแล้วไม่ชินเอาเสียเลย" ฟาหยางยามปกติก็ประคบประหงมเยว่ซินมากพออยู่แล้ว ครั้นยิ่งท้องก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เยว่ซินนึกสงสารตัวเองอยู่ไม่น้อย ทำไมอาการแพ้ท้องถึงต้องออกเร็วเช่นนี้ด้วยเล่า มันเหลือเวลาอีกหลายเดือนเลยนะกว่าเธอจะสามารถทานทุกอย่างได้ตามใจเหมือนเดิม แค่คิดเยว่ซินก็อยากจะร้องไห้เสียตอนนี้เลย แล้วเหตุผลที่ว่าเหตุใดอาการแพ้ท้องถึงมาเร็วเสียเหลือเกินก็เพิ่งจะเป็นที่รับรู้ในอีกสามเดือนต่อมาเมื่อฟาหยางพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเพศของลูก เยว่ซินตื่นเต้นไม่น้อยจนกระทั่งวินาทีที่ได้รับรู้ว่าในท้องไม่ได้มีเพียงคนเดียว แฝดชายที่กำลังขดตัวทักทายกันผ่านหน้าจอเป็นผลให้คนตัวเล็กห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ และยิ่งได้รับรู้ว่าทั้งคู่แข็งแรงสมบูรณ์ก็ยิ่งทำให้เยว่ซินร้องไห้หนักกว่าเดิมจนฟาหยางต้องจูบปลอบยกใหญ่ "ฮึก..." เสียงสะอื้นยังหลุดรอดให้ได้ยินแม้เวลาผ่านไปสักพัก "อย่าร้องเลยนะอาซิน เดี๋ยวเจ้าแฝดจะตกใจ" ฟาหยางเอ่ยปลอบภรรยา เขาก็รู้สึกไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่ แต่ที่ต่างกันก็คงเป็นความรู้สึกกังวล แน่นอนว่าท้องแฝดมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ ถึงแม้เขาจะดูแลดีแค่ไหนแต่ฟาหยางก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหยางแล้วทั้งคู่ก็วางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต ตอนนี้อายุครรภ์ของเยว่ซินใกล้จะถึงห้าเดือนแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งซูเม่ยและจางลี่ก็แวะเวียนเข้ามาดูแลอยู่เสมอ ที่ฟาหยางพอจะเบาใจลงได้ก็คือเยว่ซินไม่ค่อยจะแพ้ท้องเหมือนช่วงแรก ๆ แล้ว "ไม่เป็นไรค่ะ ซินอยู่กับจางลี่และพี่ซูเม่ยเหมือนเดิมได้ คุณหยางไปทำงานปกตินั่นแหละค่ะ" เพราะฟาหยางมักจะกลับมาในช่วงเที่ยงและไม่ได้ค้างที่บริษัท เยว่ซินจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่คฤหาสน์นี้ก็มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ "ไม่อยากทำงานแล้ว มาอยู่กับอาซินกับลูกทุกวันเลยดีไหม" ใบหน้าหล่อซุกลงที่หน้าท้องพลางพรมจูบผ่านเนื้อผ้า หากปกติคนท้องควรที่จะอารมณ์แปรปรวนติดสามีแต่กลับเป็นฟาหยางเสียเองที่ติดภรรยา "ได้ไงกันละคะ" เยว่ซินหัวเราะเบา ๆ มือเรียวลูบผมคนที่อยู่ต่ำกว่า "อย่าซนกับหม่าม๊าให้มากรู้หรือเปล่า ต่อให้เป็นเจ้าก้อนสองแฝดป๊าก็ไม่ใจดีด้วยหรอกนะ" พูดทั้ง ๆ ที่การกระทำสวนทางทุกอย่าง มือหนาลูบเบาๆที่หน้าท้อง ดวงตาสีรัตติกาลยามนี้อ่อนลงจนเยว่ซินกลั้นยิ้มไม่ได้ "ป๊ารักหม่าม๊าของพวกเรามาก แล้วก็รักทั้งสองคนมากเหมือนกัน" เยว่ซินครางแผ่วในลำคอยามเสื้อที่สวมโดนเลิกขึ้น ฟาหยางกดริมฝีปากลงทาบบริเวณนั้นโดยตรง "อืม...หม่าม๊าก็รักป๊าของพวกเรามาก แล้วก็รักทั้งสองก้อนมากเหมือนกัน" เยว่ซินพูดตาม ฟาหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดมันเขี้ยวคนตัวเล็กเสียไม่ได้ "ขี้โกงไม่ใช่น้อย พูดเช่นนี้ตอนท้องอยู่แล้วอาฟาจะฟัดเธอได้อย่างไร" เยว่ซินหัวเราะอย่างขบขัน ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็ยิ้มออกมา ฟาหยางยืดตัวขึ้นแนบหน้าผากให้ชิดกับคนตัวเล็ก ที่ตรงกลางระหว่างพวกเขาคือดวงใจทั้งสอง ฟาหยางสัญญากับตัวเองแน่วแน่ว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นเขาจะรักษาทั้งสามคนนี้ไว้ด้วยชีวิต และวันคลอดเจ้าสองแฝดก็เป็นอีกหนึ่งวันที่คฤหาสน์ตระกูลหยางวุ่นวายที่สุด กำหนดคลอดที่ควรจะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์หน้าถูกปรับเปลี่ยนกะทันหันเมื่อเยว่ซินปวดท้องกลางดึก วันนั้นคือวันที่อาโปเห็นเจ้านายตัวเองร้อนรนที่สุดในชีวิต ฟาหยางไม่คาดคิดว่าจะคลอดเร็วกว่ากำหนดเช่นนี้ เขาทั้งกังวลทั้งตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ในระหว่างให้ภายในห้องเตรียมตัวฟาหยางก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ทางโรงพยาบาลเตรียมให้เพื่อที่จะเข้าไปข้างใน "อาฟาจะไปอยู่ข้างๆเธอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะคนดี" เขาพูดตอนที่เพิ่งพาเยว่ซินมาถึงโรงพยาบาล ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาจนฟาหยางใจสั่น "อือ ซินจะรอเหล่ากงอยู่ด้านใน เข้ามาหาซินนะ" เพราะรู้ว่าเยว่ซินกลัวขนาดไหนฟาหยางถึงต้องแสดงท่าทีนิ่งสงบให้มากที่สุด เขาอยากจะเป็นหลักที่พึ่งให้คนตัวเล็กได้ "เชิญคุณฟาหยางค่ะ" ครั้นเมื่อพยาบาลมาเรียก คนตัวสูงก็ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปด้านในทันที มือหนาโอบประคองมือเรียวของภรรยาไว้ "อาฟาอยู่ตรงนี้" "ฮึก..." "อยู่ข้าง ๆ อาซินแล้ว เดี๋ยวเดียวเราก็ได้เจอสองแฝดแล้วนะ" เยว่ซินพยักหน้าแผ่วเบา ทั้งกลัวทั้งเจ็บจนเอ่ยเป็นคำพูดออกมาไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นดวงตากลับปิดความดีใจไม่มิด สิ่งที่เธอรอคอยมาตลอดหลายเดือนกำลังจะได้เจอกันแล้ว... ฟาหยางสาบานกับตัวเองว่านี่จะเป็นท้องเดียวที่เขาจะอนุญาตให้เธอได้มี เห็นเลือดกับน้ำตามาก็มากแต่นี่คือครั้งแรกที่ทำให้มาเฟียตระกูลหยางใจสั่นได้มากขนาดนี้ ในห้องคลอดที่ใช้เวลายาวนานกว่าจะเอาสิ่งมีชีวิตทั้งสองออกมาได้ เป็นเวลาเดียวกับที่ฟาหยางร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก แอ๊! สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานนี้ลง ทายาทของตระกูลหยางเป็นชายทั้งคู่รูปร่างแข็งแรงสมบูรณ์ดี เยว่ซินหลังจากที่ได้เห็นหน้าลูกทั้งคู่ก็เหมือนกับว่าความเจ็บปวดที่ผ่านมาไม่มีอยู่จริง ใช้เวลาอยู่อีกสักพักเธอถึงจะย้ายไปห้องพักฟื้นได้ ฟาหยางจูบลงที่หน้าผากแทนการขอบคุณ "อาฟารักเธอนะ" นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ฟาหยางจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเตรียมตัวไปดูเจ้าแฝด ที่หน้าห้องมีซูเม่ยและจางลี่รออยู่ก่อนแล้ว ส่วนห่าวอู๋กำลังบินกลับมาเพราะเขาไปดูงานที่ฮ่องกง เช่นเดียวกับเลี่ยงหรงที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่จีน "หลาน...ฮึก...หลานลี่กับอาซินเป็นยังไงบ้างคะ" จางลี่รีบเดินเข้ามาหา เธอเอ่ยถามพลางสะอื้นไปด้วย "อืม ปลอดภัยทั้งสามคน" นั่นคือคำที่ดีที่สุด ทำเอาซูเม่ยก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อาโปซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กันก็ยิ้มอย่างยินดี เขาคอยดูแลเป็นคนใกล้ชิดฟาหยางมาตั้งแต่เพิ่งขึ้นเป็นผู้บริหารได้ไม่นาน จนตอนนี้เจ้านายตัวเองกำลังจะมีทายาทรุ่นต่อไปเสียแล้ว พลันขายาวไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ห่าวอู๋ที่กำลังเดินทางมาก็ร้อนรนจนอยากจะทราบความคืบหน้าจึงโทรมาถาม 'หลานฉันเป็นอย่างไร แล้วอาซินเล่า' "เตี่ยไม่ต้องห่วงครับ เฟยหลง และ เฟยเฟิ่งปลอดภัยดี รวมถึงอาซินด้วย" เฟยหลง มีความหมายว่า มังกรทะยานบิน เฟยเฟิ่ง มีความหมายว่า หงส์ทะยานบิน ตอนที่เยว่ซินได้ฟังสองชื่อนี้ก็ไม่สามารถสลัดมันหลุดออกจากสมองได้แม้จะมีชื่ออื่น ๆ ถูกเสนอขึ้นมาอีกมากมาย บนที่นอนสำหรับทารกสองคนซึ่งเพิ่งจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เยว่ซินทอดมองลูกชายทั้งคู่ที่หน้าเหมือนกันทุกประการ ดวงตายังหลับพริ้ม เธอเพิ่งเข้าใจที่ใครต่อใครพูดกันว่าความเจ็บปวดทุกอย่างจะหายได้เพียงแค่มองหน้าลูกก็ตอนนี้ มือเรียวเอื้อมลงสัมผัสเท้าเล็ก ๆ แล้วย่อตัวจูบแผ่วเบาก่อนที่ทางด้านหลังจะโดนใครบางคนสวมกอดเข้า "ลูกร้องหรือ" ฟาหยางที่อยู่ในกางเกงขายาวตัวเดียวเดินมาซ้อนด้านหลัง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ ๆ จะตีสองแล้ว เยว่ซินเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็รีบลุกมาชะโงกหน้าดูที่เตียงซึ่งเจ้าก้อนทั้งสองยังคงหลับอยู่ คนตัวเล็กส่ายศีรษะไปมา "เปล่าค่ะ ซินแค่กลัวเขานอนไม่สบาย" ฟาหยางหัวเราะแผ่วเบา เขากดริมฝีปากลงที่แก้มนุ่ม "คนที่นอนไม่สบายคืออาฟาต่างหาก พอเธอลุกขึ้นก็นอนไม่หลับแล้ว" เยว่ซินหรี่ตาลงเล็กน้อยยามได้ฟังเช่นนั้น ความจริงห้องสำหรับเฟยหลงและเฟยเฟิ่งนั้นฟาหยางจัดการทำไว้ที่ข้างห้องนอนของพวกเขาทั้งคู่ตั้งแต่เยว่ซินท้องได้สามเดือนแล้ว แต่แค่ต้องรอให้เจ้าก้อนแฝดโตขึ้นกว่านี้เสียก่อน ในตอนนี้เยว่ซินยังต้องอยู่ดูแลใกล้ ๆ ไม่ให้คลาดสายตา "ใคร ๆ ก็บอกว่าอาเฟิ่งกับอาหลงหน้าเหมือนคุณหยาง" พอตื่นแล้วจึงไม่ง่วงอีก เยว่ซินเริ่มพูดบ่นอุบอิบในขณะที่ย้ายตัวเองมานั่งที่โซฟาข้างๆเตียงลูก เฟยหลงคือผู้เป็นพี่ ส่วนเฟยเฟิ่งคือผู้เป็นน้อง ตอนแรกเธอก็หวังให้ทั้งคู่ได้รับเสี้ยวเชื้อของตัวเองไปบ้าง "แล้วทำไม ไม่ดีหรือ" ฟาหยางถามพลางขมวดคิ้ว แน่นอนว่าถ้ามองในมุมของความหล่อเหลาอย่างไรเสียมันก็ย่อมดีถึงดีมากอยู่แล้ว แต่เธอที่อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือนคืออะไรกัน! "หม่าม๊างอแงอีกแล้ว" ครั้นพอรู้ว่าไม่พอใจเพราะเหตุใดจึงประคองเอวบางให้มานั่งบนตัก มือหนาบีบเคล้นผิวผ่านเนื้อผ้าแผ่วเบา ความอดทนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เพราะเขาเห็นว่าเยว่ซินลำบากขนาดไหนในสมองจึงแทบไม่ได้คิดอยากจะรังแกภรรยาตัวเองเลยแม้แต่น้อย "อ๊ะ คุณหยางคะ ลูกหลับอยู่นะ" เสียงหวานพูดทั้งพยายามจะดึงมือหนาให้คลายลงแต่ไม่เป็นผล ฟาหยางประคองท้ายทอยของคนบนตักให้โน้มลงมารับจูบกัน "อืม" ความหวานในโพรงปากและความชื้นแฉะที่สัมผัสได้โดยตรงทำให้คนตัวสูงยิ่งได้ใจ ฟาหยางเลิกเสื้อนอนตัวบางขึ้น เขาพลิกให้เยว่ซินไปอยู่แทนที่ทางด้านล่าง จมูกโด่งก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอและไหปลาร้าสวย ลมหายใจหนัก ๆ ที่บ่งบอกว่าเยว่ซินก็เริ่มเสียดเสียวขึ้นมาบ้างทำให้ฟาหยางยิ่งลงแรงมากกว่าเดิม เขายืดตัวขึ้นในขณะที่กำลังจะถอดเสื้อนอนของอีกฝ่ายออกหากแต่... "แอ๊!" เสียงร้องดังลั่นที่เตียงก็ดึงความสนใจทั้งคู่ไปเสียก่อน เยว่ซินรีบลุกขึ้นโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน "อาเฟยหลง" เสียงหวานเอ่ยเรียกลูกชายคนโตพลางประคองขึ้นมาในอ้อมแขน ฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาหากัน เขาโน้มตัวลงดูเฟยเฟิ่งแต่ก็พบว่ายังคงหลับอยู่เช่นเดิม ไม่ได้รับรู้เลยว่าพี่ชายตัวเองกำลังงอแงอยู่ขนาดไหน "คนเก่งของหม่าม๊า หิวนมหรือครับ" เยว่ซินพูดเสียงอ่อนกับลูกชายตนเอง ครั้นเฟยหลงพอได้อยู่ในอ้อมแขนมารดาก็หยุดนิ่งแล้วหลับพริ้มเช่นเดิม "มาขัดได้จังหวะแล้วหลับไปดื้อ ๆ ได้ยังไง" ฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นก็อดจะโวยวายไม่ได้ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าแล้วก้มลงฟัดที่เท้าน้อย ๆ อย่างมันเขี้ยว "หวงหม่าม๊าตั้งแต่ตัวเท่านี้ แล้วโตไปจะเป็นอย่างไรกันหืม อาเฟยหลง" แค่คิดเขาก็เริ่มจะปวดหัวหน่อย ๆ แล้ว พัฒนาการของนายน้อยตระกูลหยางเป็นไปอย่างดีเยี่ยมครั้นอายุได้หกเดือน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เยว่ซินได้ยินเสียงอ้อแอ้ตั้งแต่เช้า เธอเดินไปดูที่เตียงก็พบว่าเฟยหลงตื่นแล้วพลางกระดึ๊บตัวไปหาเฟยเฟิ่งที่ยังนอนหลับอยู่ "อาหลง ไม่กวนน้องนะ" พูดพลางประคองลูกชายขึ้นในอ้อมแขน จากที่สังเกตมาตลอดคือเฟยหลงเป็นเด็กที่ดูจะหลับง่าย ตื่นง่ายและร่าเริงมากกว่าเฟยเฟิ่งที่มักจะหลับบ่อยและดูนิ่งกว่าเล็กน้อย แต่ตอนนี้เฟยเฟิ่งที่หลับอยู่ครั้นได้ยินเสียงแม่ตัวเองอยู่ไม่ไกลก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งแขนป้อม ๆ ยกขึ้นส่ายไปมา "อรุณสวัสดิ์ครับอาเฟิ่ง" เจ้าก้อนทั้งคู่ลืมตาแป๋วมองมารดาตนเอง ริมฝีปากขยับพูดอ้อแอ้ไม่เป็นคำราวกับจะโต้ตอบคนตรงหน้า เยว่ซินที่ได้เห็นเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา "อารมณ์ดีอะไรกันแต่เช้า สามคนแม่ลูก" ครั้นหัวเราะคิกคักไปได้ไม่เท่าไหร่ ที่เตียงนอนซึ่งฟาหยางเพิ่งจะตื่นก็เอ่ยถามขึ้น "ไหน อาเฟิ่งวันนี้อารมณ์ดีหรือเปล่า" แขนแกร่งโอบประคองแฝดคนน้องขึ้นมา จมูกโด่งกดหอมที่แก้มยุ้ยได้ที่อย่างมันเขี้ยวจนเฟยเฟิ่งหัวเราะคิกคัก "อา อา" พยายามจะเรียกกันแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นคำ "ปา ไหนลองเรียกใหม่" "อา" "ปาปาต่างหาก" เฟยเฟิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันน้อย ๆ เมื่อก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะพูดผิด ฟาหยางที่เห็นเช่นนั้นหลุดขำเสียงดัง ก่อนจะเดินไปใกล้เยว่ซินที่กำลังเล่นกับเฟยหลงอยู่แล้วสลับหอมทั้งแม่ทั้งลูก "อารมณ์ดีกันตั้งแต่เช้าเลย" ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟาหยางตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหัวใจได้เต้นเร็วเช่นนี้ ภาพทุกเช้าที่เขามักจะเห็นก็คือเยว่ซินที่กำลังยืนคุยกับลูกบ้าง แอบยกเจ้าแฝดมานอนทับที่ท้องเขาอยู่บ้าง มันกลายเป็นว่าฟาหยางตื่นขึ้นมาแล้วมักได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าวเป็นประจำจนเป็นเรื่องที่ชินไปเสียแล้ว "คุณหยางหน้าเลอะน้ำลายลูกหมดแล้วค่ะ" เยว่ซินพูดพร้อมกับพยายามจะช่วยเช็ดให้ ในห้องนอนวันนี้มีแต่เสียงหัวเราะตั้งแต่เช้า เฟยหลงและเฟยเฟิ่งที่ไม่เข้าใจแต่พอเห็นปะป๊าและหม่าม๊าตัวเองอารมณ์ดีก็อารมณ์ดีตามไปด้วย ที่ห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์ตระกูลหยางได้ยินเสียงอ้อแอ้สลับกับเสียงของเล่นดังคลอเป็นช่วง ๆ หยาง เฟยหลง และ หยาง เฟยเฟิ่งคือทายาทที่ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างมากจากทั้งฝั่งญาติและเพื่อนพ้องของฟาหยางและเยว่ซิน เพียงลืมตาดูโลกได้แค่ไม่กี่วันแต่กลับได้รับของขวัญทั้งเงินทอง เพชรพลอย หุ้นส่วนและที่ดินส่วนตัวมากมายแม้ยังไม่รู้ความ ด้วยการที่ชีวิตมีพร้อมทั้งอำนาจจากบิดาทั้ง ทรัพย์สินและความรักไม่ขาดทำให้เด็กทั้งสองเป็นทายาทที่น่าอิจฉาที่สุดในทศวรรษนี้ ทางสื่อและคนนอกต่างตั้งคำถามกันว่าเฟยหลงหรือเฟยเฟิ่งจะเป็นคนกุมอำนาจของตระกูลหยางคนถัดไป? "ปา ปาปา" "มามา..." แต่หารู้ไม่ว่านอกจากฟาหยางจะไม่ชี้ตัวเลือกใครสืบตำแหน่งตัวเองแล้วเขาก็ไม่คิดจะให้ลูกชายทั้งคู่คิดว่าจะต้องมารับผิดชอบต่อหน้าที่นี้ ฟาหยางจะไม่บังคับถ้าหากทั้งเฟยหลงและเฟยเฟิ่งโตขึ้นมาแล้วไม่ต้องการทำงานในสายเดียวกันเขา "เก่งจังเลย" ในห้องนั่งเล่นที่นี่ปรากฏเป็นภาพของฟาหยางนอนอยู่ บนท้องมีเฟยเฟิ่งนั่งอยู่บนนั้น ทางซ้ายคือเยว่ซินที่บนตักกำลังประคองเฟยหลงไว้ ได้ยินเสียงลูกชายทั้งคู่ผลัดกันออกเสียงเรียกตนเองแล้วทั้งเยว่ซินและฟาหยางก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ "อาเฟิ่งอย่าถีบหน้าป๊า" คนเป็นประมุขเอ่ยเสียงเบาเมื่อโดนเท้าน้อย ๆ แตะลงที่ข้างแก้ม เฟยเฟิ่งหัวเราะชอบใจในขณะที่เฟยหลงเห็นเช่นนั้นก็ปีนลงจากตักมารดามาหาฟาหยางบ้าง "รุมทีเดียวสองคนมันโกงป๊าหรือเปล่า" พูดแล้วก็ยกเฟยหลงมานั่งลงที่อก เยว่ซินที่เห็นภาพนั้นได้แต่หัวเราะแล้วช่วยประคองหลังลูกชายตัวเองไว้ "ปา ปาปา" ได้ยินเสียงอ้อแอ้เอ่ยเถียงก็ยิ่งอยากแกล้ง ฟาหยางยกเท้าของเฟยหลงมาแล้วเป่าลมจากปากใส่ ทำสลับกันไปกับอาเฟิ่งบ้าง ในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจนเหล่าลูกน้องที่ได้เห็นภาพต่างยกยิ้มกันทุกคน บ้างก็มีน้ำตาคลอกับภาพครอบครัวที่สมบูรณ์แบบของตระกูลหยางอยู่ใกล้แค่นี้แต่ก็เหมือนไกลจนเอื้อมไม่ถึง ฟาหยางหลังจากแกล้งลูก ๆ ได้สักพักจึงแหงนหน้ามองภรรยาตัวเอง มือหนากวักไปมาเป็นสัญญาณให้เยว่ซินโน้มลงมาหากัน "หือ?" เยว่ซินขานในลำคอคล้ายจะถาม หากแต่ยังไม่ได้พูดอะไรก็โดนฟาหยางปิดริมฝีปากกันไว้ เฟยหลงและเฟยเฟิ่งที่เห็นป๊าตัวเองกินปากหม่าม๊าตรงหน้าก็ส่งเสียงแข่งกันทำเอาคนตัวสูงร้องจิ๊ในลำคอ "ถ้ารู้ว่าจะขัดกันแบบนี้ ยัดกลับเข้าไปในท้องหม่าม๊าเสียยังดีกว่า" พูดพลางขมวดคิ้ว เยว่ซินที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมา เรื่องการแทะเล็มต้องยกให้ฟาหยางจริง ๆ ถ้าโดนขัดใจต่อให้เป็นอาหลงกับอาเฟิ่งฟาหยางก็ไม่เว้น หงุดหงิดได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง ครั้นพอเวลาผ่านไปสักพักเจ้าก้อนกลมก็คล้ายจะแบตหมด ทั้งเฟยหลงและเฟยเฟิ่งทิ้งตัวลงบนอกของฟาหยาง คนตัวสูงที่เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้ม ดวงตาสีรัตติกาลทอดมองดวงใจทั้งคู่ รักมากกว่าชีวิตเพิ่งเข้าใจได้ก็ในตอนนี้ "ซินพาอาเฟิ่งไปเอง ส่วนคุณหยางอุ้มอาเฟยหลงนะคะ" เขาพยักหน้าตอบภรรยา พอวางเจ้าแฝดสองก้อนที่เตียงได้แล้วก็ผลัดกันจูบที่หน้าผากคนละที ฟาหยางหันกลับมาหาเยว่ซิน มือหนารวบเอวบางในอ้อมแขน "ขอบคุณที่ทำให้ได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุด" "..." "อาฟารักเธอนะ" "อือ ซินก็รักพี่ฟา" ใบหน้าหล่อเหลาซบลงที่ลาดไหล่ของคนตัวเล็ก ฟาหยางอยากจะขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้เจอกับเยว่ซิน ขอบคุณตั้งแต่วันแรกที่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา ขอบคุณความดื้อรั้นของตัวเองวันนั้นที่อยากจะเอาชนะผู้หญิงคนนี้ ฟาหยางยังจินตนาการไม่ออกเท่าไหร่ว่าถ้าตอนนี้เขาไม่ได้เจอกับเยว่ซินตัวเองจะทำอะไรอยู่ จมอยู่กับกองเอกสาร หรือบินไปมาระหว่างประเทศจนสุดท้ายร่างกายก็คงทรุดลงเพราะเหนื่อยล้า กอดคนตัวเล็กอยู่ได้ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปที่เตียงอีกครั้ง สุรเสียงทรงอำนาจพูดขึ้นแผ่วเบาแต่กลับเน้นย้ำในทุกคำ ฟาหยางตั้งใจพูดคำทั้งหมดต่อไปนี้ให้กับลูกชายตัวเองทั้งสองคน ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเจ้าก้อนแป้งจะยังไม่เข้าใจความหมายได้ก็ตาม แต่เพราะคำพูดและคำอวยพรจากพ่อแม่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาอยากจะมอบคำคล้ายดั่งพรนี้ให้กับดวงใจทั้งคู่ "ถึงแม้คงยังไม่เข้าใจแต่ป๊าก็อยากจะบอก อาหลงและอาเฟิ่งจงเติบโตอย่างสง่างามให้เหมือนมังกรและเหมือนหงส์ที่ป๊าและหม่าม๊าตั้งใจเลือกชื่อนี้ให้" เยว่ซินหยุดนิ่งมองแผ่นหลังกว้างที่เธอพึ่งพิงมาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะได้คนผู้นี้ยื่นมือมาจับกันไว้ เพียงแค่เอ่ยชื่อต่อให้เบาแค่ไหนแต่ฟาหยางก็ไม่เคยไม่มา ดวงตากลมโตจดจ้องคนเป็นสามีแล้วหัวใจดวงน้อยก็เต้นรัว เธออยากมีฟาหยางอยู่ทุกวันหลังจากนี้ อยากได้เห็นผู้ชายคนนี้ไปอีกนาน ๆ เท่าที่จะทำได้ "แต่ถึงแม้ในอนาคตนั้นจะมีเรื่องที่ผิดพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร ปะป๊าและหม่าม๊าจะคอยปกป้องและโอบกอดพวกเราไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี ได้โปรดเติบโตขึ้นแล้วได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ปะป๊าและหม่าม๊าจะภูมิใจในตัวพวกเราเสมอไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ตาม" ทุกคำในประโยคเยว่ซินรู้ดีว่าฟาหยางจะมอบสิ่งเหล่านั้นให้ลูก ๆ ได้ เธอก้าวไปด้านหน้าแล้วยืนเคียงคู่กับสามี มือเรียวเอื้อมลงไปแตะที่แก้มนุ่มของเฟยหลง เช่นเดียวกับฟาหยางที่กำลังลูบศีรษะเฟยเฟิ่งอยู่ เขาหันกลับมา ดวงตาสีรัตติกาลยามนี้ดูสง่างามกว่าครั้งไหน ๆ ทุกคำที่พูดออกไปแด่หยาง เฟยหลงและหยาง เฟยเฟิ่ง ทายาทผู้เป็นดวงใจของตระกูลหยาง ขอให้เฟยหลงทะยานบินเหมือนมังกรที่น่าเกรงขามและทรงอำนาจ ขอให้เฟยเฟิ่งทะยานบินดั่งหงส์ที่งดงามและความภาคภูมิ แด่ตอนจบที่แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ถือว่าสวยงามแล้ว ENDยี่สิบสี่ธันวาคมคือวันที่คฤหาสน์ตระกูลหยางดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ได้ยินเสียงถกเถียงของทายาทตระกูลใหญ่ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการพูดแข่งกันราวกับพูดกับกระจก "เฟิ่งบอกว่าจะให้หม่าม๊าใส่ตัวนี้" "ก็เฮียบอกว่าตัวนี้ไงอาเฟิ่ง" เด็กชายวัยกำลังย่างเข้าหกขวบยื้อแย่งชุดคลุมสีแดงที่ทางห้องเสื้อส่งมาให้นายหญิงตระกูลหยางเป็นพิเศษ มีทั้งแบบที่กำลังนิยมในปัจจุบันและแบบที่ตัดออกมาสำหรับคุณหนูเยว่ซินโดยเฉพาะ "หม่าม๊าเอาตัวนี้นะ" เฟยหลงว่าพลางกำลังจะวิ่งเตาะแตะไปทางมารดาตัวเองที่ยืนเลือกแบบขนมสำหรับงานเลี้ยงที่จะจัดพรุ่งนี้ หากแต่กลับโดนมือป้อม ๆ ของแฝดคนน้องยกขึ้นห้ามกันไว้เสียก่อน "ไม่เอา หม่าม๊าต้องใส่ตัวนี้สิ" "เอ่อ..." เหล่าสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนเหงื่อตก พวกเธอรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหม่าม๊าของเฟยหลงและเฟยเฟิ่งแล้วนั้นจะไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ อาเฟิ่งยอมให้พี่ชายตัวเองได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องหม่าม๊า อาเฟยหลงหลับหูหลับตาไม่มองยามโดนน้องชายตัวเองแอบหยิบของเล่นชิ้นโปรดไปได้แต่ถ้าเป็นเรื่องม๊าเยว่ซินแล้วเขาไม่มีวันยอม "หม่าม๊า/หม่าม๊า" คราวนี้ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันจนเยว
ในบริษัทตระกูลหยางที่ห้องท่านประธานวันนี้ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวกว่าปกติ ฟาหยางจำต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อยเพราะเสียงถกเถียงกันของเจ้าแฝดหรือก้อนแป้งที่เยว่ซินชอบเรียก "อาเฟิ่งเอาอีกแล้ว!" ได้ยินเสียงเฟยหลงโวยวายอยู่ยกใหญ่ เด็กชายวัยสี่ขวบตัวสูงกว่าพนักวางแขนของโซฟานิดเดียวซึ่งอยู่ในชุดเอี๊ยมน่ารักที่ถูกหม่าม๊าจับแต่งตัวให้ เฟยหลงขู่ฟ่อมองน้องชายตัวเองที่นั่งอยู่บนนั้น "เฮียเสียงดัง" ก่อนเฟยเฟิ่งซึ่งในมือถือถุงขนมที่คาดว่าคงแบ่งกันไม่ลงตัวตอบพลางยกมืออีกข้างขึ้นปิดหู เจ้าก้อนแป้งอยู่ในชุดแบบเดียวกันทั้งหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกประการ "อาเฟิ่งก็คืนมาสิ!" "ไม่เอา ก็เฟิ่งอยากกิน" คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ปกติแล้วเฟยเฟิ่งมักจะตามใจพี่ชายตัวเองอยู่เสมอซึ่งฟาหยางคิดว่าคงเป็นเพราะอยากตัดรำคาญเสียมากกว่า เฟยหลงอมลมในปาก หันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาตัวช่วย "ป๊า!" ครั้นพอไม่รู้จะพึ่งทางไหนจึงเดินเตาะแตะมาหา ฟาหยางยอมวางปากกาในมือลง วันนี้เยว่ซินไปซื้อของกับจางลี่ถึงได้ฝากลูกลิงทั้งสองคนไว้ที่เขา "อืม...ว่าอย่างไร" แม้ได้ยินชัดทุกคำว่ามีปัญหาอะไรกันมาแต่ฟาหยางก็ยังเอ่ยถาม เขาต้องก
ช่วงหลังจากที่ทราบว่ามีเจ้าก้อนกลมสองก้อนอยู่ในท้องก็เป็นช่วงที่ฟาหยางปวดหัวไม่น้อยเนื่องจากอาการของคนท้องไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาอะไรได้ ฟาหยางที่วันนี้ต้องกลับจากบริษัทเร็วกว่าทุกวันขนาดที่ว่าเขาเพิ่งจะไปถึงบริษัทได้ไม่เกินสิบห้านาที 'คุณหนูเยว่ร้องไห้ค่ะ ไม่ว่าใครถามอะไรก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะเจอคุณหยางแค่คนเดียวค่ะ' สายจากสาวใช้ที่คฤหาสน์โทรมาหากันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ปกติเยว่ซินมักเป็นคนที่ยิ้มแย้มและอารมณ์ดีอยู่เสมอ เธอมีเหตุผลกับทุก ๆ เรื่องแต่ยามนี้ที่จู่ ๆ อาจด้วยฮอร์โมนหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นตูมกันไปเสียหมด พยายามทั้งปลอบทั้งหาของกินมาเท่าไหร่แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นที่พอใจของนายหญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย "อาซิน" ขายาวก้าวเร็ว ๆ ไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่ลงจากรถ ฟาหยางรีบขนาดที่เขาขับรถมาเองโดยไม่รออาโป ทำเอาฝั่งลูกน้องที่บริษัทก็วุ่นวายอยู่พอสมควร "ฮึก..." ยังได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่ฟุ่บหน้าอยู่กับหมอนอิง เหล่าสาวใช้ที่เห็นว่าฟาหยางมาแล้วจึงรีบลุกขึ้นค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นทันที "เกิดอะไรขึ้น" เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางรวบคนตัวเล็กเข้าในอ้อมแขน เยว่ซิน
สามสัปดาห์หลังจากแต่งงาน แม้ห่าวอู๋จะพูดอยู่ทุกวันว่าให้ทั้งคู่คิดประเทศที่จะไปฮันนีมูนกันเสียทีแต่เยว่ซินก็คิดไม่ออก หญิงสาวบอกเลื่อนทริปมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ห่าวอู๋เดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลหยางด้วยตัวเอง 'เตี่ยจองที่พักบนเกาะไว้ให้แล้ว เรื่องงานที่บริษัทเตี่ยจะจัดการทุกอย่างเอง อาเยว่ซินเตรียมตัวไปฮันนีมูนกับอาหยางได้เลย' นั่นคือประโยคที่ได้ฟังจากห่าวอู๋ก่อนที่วันต่อมาในตอนเช้ามืดก็โดนสามีตัวเองอุ้มขึ้นรถตั้งแต่ยังไม่ตื่นดี เยว่ซินนึกสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมเวลาจะไปทริปต่างประเทศแล้วจะต้องไม่ได้เตรียมตัวเสียทุกครั้งกันนะ แต่ถึงจะอยากโวยวายทั้งประมุขคนก่อนและคนปัจจุบันของตระกูลหยางนี้สักเท่าไรก็คงทำไม่ได้ แน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดเสี่ยงจะทำ "คราวนี้อาโปก็มาหรือคะ" สิ่งที่ต่างไปจากทริปที่อิตาลีครั้งนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นว่ามีลูกน้องมาด้วยกัน ฟาหยางขานรับในลำคอ "ถือเป็นวันพักผ่อนให้พวกเขาด้วย" เยว่ซินพยักหน้าเห็นด้วย สมควรอย่างยิ่งเพราะลูกน้องฟาหยางแต่ละคนใช่ว่าจะมีงานน้อย ๆ เสียที่ไหน "แต่ไม่ต้องห่วง พวกนั้นกับเราอยู่คนละที่พัก ไม่มีใครกวนตอนเธออยู่กับเหล่ากงได้หรอก" คำพูดเจ้าเล่ห์มาพร
ผ่านไปสองเดือนหลังจากการประกาศแต่งงานในวันนั้น ฟาหยางไม่ให้เยว่ซินรับงานใด ๆ ทั้งสิ้น และงานที่บริษัทก็เหมือนว่าเลี่ยงหรงจะเป็นคนจัดการทุกอย่างและถึงแม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังรายงานแก่ฟาหยางประหนึ่งบริษัทหลี่กลายเป็นบริษัทในเครือของฟาหยางไปเสียแล้ว "คุณหนูเยว่รับขนมอีกไหมคะ" และเพราะวัน ๆ เยว่ซินแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าคอร์สเจ้าสาวที่ห่าวอู๋และเครือญาติตระกูลหยางจัดหาให้จึงทำได้แค่นั่ง นอน กินและออกไปตามนัดบ้างเป็นครั้งคราว "พอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" คนตัวเล็กตอบพลางระบายยิ้มงดงาม มือเรียวสวยปิดหนังสือลงแล้วเหลือบมองเวลาเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ปกติฟาหยางมักจะกลับมาในเวลานี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า "คุณหยางมาถึงแล้วค่ะ" เป็นจังหวะพอดีกับที่มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกัน เธอทอดมองคุณหนูเยว่ซินที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีม ผิวขาวราวน้ำนมที่ไม่ได้ต้องแดดมานาน ทั้งแก้มและริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ๆ คุณหนูเยว่ก็ดูงดงามไปเสียทุกส่วน นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าออร่าของคนกำลังจะเป็นเจ้าสาว "อาซิน" พลันในวินาทีนั้นด้านหลัง
เยว่ซินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอเพิ่งจะยืนอยู่ที่ครัวในคอนโดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่ที่อิตาลีได้? ไม่ใช่แค่นั้นแต่ตอนนี้เธอมากับฟาหยางแค่สองคน! ใช่...ไม่มีอาโปและลูกน้องมาด้วยกันเลย "อาเยว่อยากทานอะไร" "ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ" มือเรียวยกขึ้นกั้นระหว่างกันทั้งแววตาที่ฉายความสับสนชัดเจน ฟาหยางหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น "นี่มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยนะคะ" "ทำไม เธอไม่อยากมาเที่ยวกับอาฟาหรือ?" คนตัวสูงคล้ายสุนัขตัวโตที่เยว่ซินได้แต่ถอนหายใจ มือหนาเอื้อมมาประคองกันไว้พลางเอ่ยขึ้นอีกรอบ "ไม่อยากลองอยู่กันแค่สองคนบ้างหรือ" ครั้นโดนออดอ้อนซึ่ง ๆ หน้าทำเอาคนตัวเล็กไร้คำจะเถียงอีก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันที่ที่พักแห่งหนึ่งในเกาะซิซิลี เยว่ซินไม่รู้เลยว่าเขาจัดการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนไหน "ความจริงชวนฉันดี ๆ ก็ได้นี่คะ อีกอย่างฉันไม่ได้เอาสัมภาระมาเลย" ไม่รู้จะพูดว่าโดนแกล้งได้ไหม เพราะฟาหยางไม่คิดจะบอกเธอสักคำ หากนี่เป็นเซอร์ไพรส์ก็ดูจะเกินเรื่องไปเสียหน่อย "ซื้อใหม่ทั้งหมดที่นี่" "..." "หายหน้ามุ่ยเถอะนะ ถ้าอาฟาบอกเธอล่วงหน