เมื่อซิน หรือ ‘เยว่ซิน’ หลุดเข้ามาในนิยายรักที่ดันมีตัวร้ายชื่อเดียวกับตนเอง แถมตอนจบเธอต้องกลายเป็นคนเสียจริตเพราะถูกพระเอกสั่งสอนเสียอย่างนั้น ดังนั้นเยว่ซินต้องรีบเอาตัวรอดโดยด่วน!
ดูเพิ่มเติมดวงตาสวยหลับพริ้ม แพขนตายาวชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ เจ้าของร่างเพรียวบางที่มีนามชื่อ 'เยว่ซิน' กำลังกรีดร้องกับตนเองในใจ
เธอนอนนิ่งเป็นผักเปื่อยเช่นนี้มาได้ราวๆห้าชั่วโมงแล้ว เมื่อตอนนี้เธอกำลังค้นพบว่าตัวเองได้หลุดเข้ามาอยู่ในโลกนิยายที่เธอกำลังอ่าน! ใช่...โคตรจะแฟนตาซีเลย เดิมทีเยว่ซินนั้นเป็นลูกของเจ้าสัวที่มีอำนาจคับคั่งในโลกปัจจุบัน เป็นลูกสาวเจ้าสัวที่มีแต่คนชื่นชมเอ็นดู มิหนำซ้ำยังมีผู้ชายมากหน้าหลายตามาขายขนมจีบไม่หวาดไม่ไหว แต่ร่างที่เธอได้เข้ามาอยู่ในนิยายนั้นกลับช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว! 'เยว่ซิน'อีกคนนึงที่กำลังจะกล่าวถึงคือ นางร้ายในนิยายรักที่เธอเพิ่งจะอ่านหน้าสุดท้ายจบไปหมาดๆ ชีวิตของเยว่ซินในนิยายนั้นช่างน่าเวทนายิ่ง เป็นหญิงสาวรูปร่างสวยใบหน้าจัดได้ว่าหากแต่งแต้มดีๆย่อมจะมีชีวิตที่เพอร์เฟค หากแต่นิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจ ติดทำตัวเป็นคุณหนูจนพ่อของตนเองขับไสให้ออกจากตระกูลมาลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง มิหนำซ้ำยังไปหมายปองชายหนุ่มมาเฟียตระกูลใหญ่ ที่มีอำนาจปกครองทั้งเมืองจีนและฮ่องกง ติดอันดับชายหนุ่มที่มีคนหมายปองจะแต่งงานด้วยมากที่สุด และนั่นคือพระเอกของเรื่องนี้อย่างไร! เขาคนนั้นมีนามว่า 'ฟาหยาง' ใบหน้าราวฟ้าประทาน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเป็นหนุ่มสุขภาพดี ติดที่นิสัยเย็นชา แววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ไม่สนใจผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น แต่แล้วเขาคนนั้นก็ได้พบกับ'อาจู' หญิงสาวจิตใจดีที่โดนทาบทามให้หมั้นหมายกัน แม้ตอนแรกชายหนุ่มจะปฏิเสธเสียงแข็ง หัวชนฝา แต่ด้วยความดีที่หญิงสาวปฏิบัติกับตนเองก็ทำให้ฟาหยางตกหลุมรักในที่สุด แต่เยว่ซินในนิยายไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ทั้งขัดขวาง กีดกัน สร้างเรื่องราวรอยร้าวมากมายให้กับนางเอกผู้บอบบาง จนสุดท้ายฟาหยางทนไม่ไหว จัดการสั่งสอนนางร้ายผู้นี้จนต้องกลายเป็นคนเสียสติ เยว่ซินถอนหายใจ หลังจากที่นอนนิ่งอยู่อย่างนี้หลายชั่วโมงก็รับรู้ว่าควรลุกขึ้นไปหาอะไรกิน ล้างหน้าล้างตาแล้วเริ่มจัดการวางแผนชีวิตตัวเองใหม่ ไหนๆก็หลุดเข้ามาทั้งที ลองใช้ชีวิตดูสักหน่อยจะเป็นไรไป! ในห้องพักคับแคบไร้ของสด เยว่ซินถอนหายใจอีกครั้ง โชคยังดีที่ในกระเป๋าพอมีเงินเหลือ งั้นเธอลงไปหาอะไรทานที่ร้านข้างนอกดูแล้วกัน อ้างอิงจากในนิยาย แม้ว่าเยว่ซินคนนั้นจะโดนพ่อขับไสออกจากตระกูล หากแต่ห้องพักที่อยู่ก็ไม่ได้ยากแค้นขนาดนั้น รถยนต์ก็ยังพอมีให้ขับ นั่นเท่ากับว่าเธอยังไม่สิ้นหวังไปเสียทีเดียว เยว่ซินจัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุด เนื่องจากในชีวิตจริงของเธอนั้นไม่ค่อยแต่งหน้าจัดนัก ครานี้เธอจึงแค่ปัดแป้งทาลิปบางๆแล้วเตรียมตัวออกไปหาอะไรทาน แม้ว่าในนิยายนั้นผู้หญิงคนนี้จะร้ายกาจและมีหลายคนเกลียดชังเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหญิงสาวมีโชคด้านรูปร่างหน้าตายิ่งนัก ผิวที่ขาวราวกับหิมะ และนิ้วเรียวสวยทำให้คนที่เพิ่งหลุดเข้ามาอิจฉาน้อยๆ "เอาล่ะ...เป็นไงเป็นกัน!" เยว่ซินพูดกับตนเองพร้อมกับตีที่แก้มเบาๆ ถ้าในนิยายเธอต้องกลายเป็นคนเสียสติเพราะการกระทำเป็นนางร้ายของตนเองที่ทำต่อพระเอกและนางเอก งั้นในชาตินี้เธอจะเปลี่ยนแปลงใหม่ พระเอกกับนางเอกงั้นหรือ... ถ้าเธอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาซะอย่าง เธอก็จะไม่มีจุดจบน่าเวทนาแบบนั้นแล้วนี่ เยว่ซินพูดและพยักหน้ากับตนเอง เธอจะใช้ชีวิตใหม่และจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกตัวเอกเด็ดขาด! ฮ่าฮ่าฮ่า แค่นี้ก็รอดแล้ว เยว่ซินเอ๋ย... หากแต่จะให้พูดตามตรงก็บอกเลยว่าเธอคิดพลาด! เยว่ซินลืมไปได้อย่างไรนะว่า 'อาจู' ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนั้น จิตใจดีแค่นั้น หล่อนเป็นห่วงและชอบทำตัวตามติดเยว่ซินที่เป็นนางร้ายซึ่งทั้งสองคนมีศักดิ์คลับคล้ายดั่งญาติกัน "อาจูเป็นห่วงค่ะ กลัวว่าพี่จะเหงาที่ออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว เลยจะไปเป็นเพื่อนด้วย" เพราะด้วยสาเหตุนี้ เยว่ซินในนิยายที่เป็นนางร้ายถึงได้ใช้ความดีของอาจูคอยกลั่นแกล้งนางสารพัด พอโดนจับได้ก็บีบน้ำตาเข้าหน่อย นางเอกของเราก็จิตใจอ่อนโยนพร้อมให้อภัยได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่กับพระเอกของเรื่องนี้...ในตอนใกล้จบนั้นเยว่ซินในนิยายได้ทำเรื่องที่เลวร้ายอย่างยิ่งโดยการจ้างผู้ชายหลายคนจับตัวอาจูไปแล้ววางแผนให้ข่มขืน แต่ฟาหยางกลับมาช่วยไว้ทัน สุดท้ายเขาที่ทนไม่ไหวก็ต้องสั่งสอนจนเธอต้องกลายเป็นคนเสียสติในที่สุด "วันนี้พี่อยากกินข้าวคนเดียวน่ะ...อาจูคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าพี่จะไม่ให้ไปด้วย" ฝั่งอาจูที่ได้ยินแบบนั้นหน้าถอดสี เม้มริมฝีปากตัวเองแน่นและก้มหน้าลงราวกับรู้สึกผิด "เพราะเรื่องที่พี่ฟาหยางดุพี่เยว่ซินวันก่อนใช่ไหมคะ...อาจูจะให้พี่ฟามาขอโทษค่ะ!" หญิงสาวพูดอย่างกระตือรือร้น หากแต่คนได้ฟังกลับหน้าถอดสี "ไม่ๆๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอก...น้องอย่าทำแบบนั้นเลย" เยว่ซินหน้าซีด เธออุตส่าห์จะหลีกเลี่ยงการพบกับตัวเอกทั้งหลาย หากแต่สาวน้อยตรงหน้าจะลากให้มาพัวพันเสียได้ ส่วนเรื่องที่หญิงสาวพูดมานั้น จากที่เยว่ซินลองนึกในนิยาย คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีฉากที่เธอได้เจอกับฟาหยางด้วยความบังเอิญ เธอเลยตัดสินใจเข้าไปทักทายหากแต่กลับโดนชายคนนั้นต่อว่าเหน็บแนม "งั้นอาจูคงทำตัวน่ารำคาญใส่พี่อีกแล้ว...ขอโทษด้วยนะคะที่อาจูจุ้นจ้านไปหน่อย" ฝั่งนางเอกตัวน้อยเอ่ยพูดด้วยแววตาสั่นระริก กุมมือของตัวเองไว้จนดูน่าสงสาร "เอ่อ..." ฝั่งเยว่ซินที่บัดนี้ไม่ใช่คนเดิมแล้วได้แต่นึกปลงตกกับตนเอง ทำไมเธอต้องมาเจอกับนางเอกตั้งแต่ออกมาจากห้องเลยล่ะเนี่ย "อาจูขอโทษที่ทำตัววุ่นวายกับพี่บ่อยๆ" "..." "พี่อย่าทำร้ายอาจูเลยนะคะ" ห๊าาา ครั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นกับตนเอง เยว่ซินถึงกับกุมขมับ โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ไม่เช่นนั้นเธอคงได้โดนลากไปสถานีตำรวจเป็นแน่ "ไม่...ไม่สิ" เยว่ซินตอบอย่างละล่ำละลัก มือไม้ปัดไปมาต้องการปฏิเสธ "งั้นอาจูไม่กวนพี่แล้วก็ได้ค่ะ" เยว่ซินมองเด็กน้อยตรงหน้าแล้วถอนหายใจ สมกับเป็นนางเอกจริงๆ ทั้งหน้าตาและนิสัยล้วนดีเลิศไปเสียทุกอย่าง เยว่ซินไม่ได้เอ่ยตอบอะไร นั่นคงทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเธอไม่อยากเสวนาด้วย จึงรีบถอยแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนที่กำลังเหม่อลอยชื่นชมอาจูในใจหลุดออกจากภวังค์แล้วก่นด่าตัวเองอยู่คนเดียว นี่เธอไปทำให้นางเอกเสียใจงั้นเร๊าะ!? แล้วชาตินี้จะหลุดพ้นเงื้อมมือพระเอกสุดหล่อคนนั้นได้ไหมนะ ถ้าอาจูยังคอยมายุ่งกับเธอแบบนี้ ขอร้องเถอะตัวเอกทั้งหลาย อย่าได้มายุ่งกับเยว่ซินคนนี้เลย เธอไม่อยากเป็นคนเสียสติ! อีกด้านในตึกสูงกว่า30ชั้น 'ฟาหยาง' ผู้นั้นกำลังนั่งจิบน้ำชาหาได้สนใจเรื่องอื่น มือหนาประดับรอยสักประจำตระกูลเต็มหลังมือดูน่าเกรงขาม ดวงตาคมทอดมองลงไปยังด้านล่างที่อยู่สูงนัก เขาชินชากับความสูงนี้ "คุณหยางครับ..." เสียงของลูกน้องด้านหลังดึงความสนใจชั่วครู่ ชายคนนั้นวางแฟ้มเอกสารลงด้วยความนอบน้อมก่อนจะเอ่ยพูด "ข้อมูลตระกูลหยวนครับ" ฟาหยางพยักหน้า ปรายตามองชั่วครู่ก่อนจะหันมาจิบชาต่อ "ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านจะให้คุณหนูจูเข้าพบหรือไม่ครับ" คุณหนูจูหรืออาจูผู้นั้นถูกทาบทามให้เป็นคู่หมั้นเขา แต่เขาสนใจที่ไหนกัน? "ถ้าเธออยากเข้ามาก็ให้มาแต่ฝากบอกไว้ก่อนว่าฉันมีงานเยอะ คงจะคุยด้วยไม่ได้" ชายมีศักดิ์เป็นลูกน้องโค้งรับก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป พวกเขารู้ดีว่าเจ้านายของตนไม่ชอบสุงสิงกับผู้หญิงคนไหน ที่ยอมให้เข้ามาวุ่นวายได้นั้นคงเพราะไม่อยากรำคาญพ่อของตนเอง ฟาหยางกลับมาสนใจที่เอกสาร ยกขึ้นเปิดมันเพียงชั่วครู่ก่อนจะต้องขมวดคิ้ว ตระกูลหยวนเกี่ยวอะไรกับตระกูลหลี่... ซึ่งตระกูลหลี่ที่กล่าวถึงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน... หลี่ เยว่ซิน... ยัยผู้หญิงน่ารำคาญคนนั้นไง ฟาหยางกวาดสายตาอ่าน มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย "พอโดนพ่อขับไสเลยหาที่เกาะใหม่งั้นหรือ" แววตาเย็นชาดูสนุกสนานขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าเขาจะเจอเรื่องดีๆไปหาเรื่องปั่นหัวยัยคนนั้นเสียแล้ว ความจริงเขาก็ไม่ชอบจุ้นจ้านรำคาญกับใคร...แต่ใครใช้ให้เยว่ซินคนนั้นมาลองดีโอ้อวดใส่ตนนักเล่า มันก็ต้องมีสั่งสอนกันบ้างนั่นแหละ...ยี่สิบสี่ธันวาคมคือวันที่คฤหาสน์ตระกูลหยางดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษ ได้ยินเสียงถกเถียงของทายาทตระกูลใหญ่ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการพูดแข่งกันราวกับพูดกับกระจก "เฟิ่งบอกว่าจะให้หม่าม๊าใส่ตัวนี้" "ก็เฮียบอกว่าตัวนี้ไงอาเฟิ่ง" เด็กชายวัยกำลังย่างเข้าหกขวบยื้อแย่งชุดคลุมสีแดงที่ทางห้องเสื้อส่งมาให้นายหญิงตระกูลหยางเป็นพิเศษ มีทั้งแบบที่กำลังนิยมในปัจจุบันและแบบที่ตัดออกมาสำหรับคุณหนูเยว่ซินโดยเฉพาะ "หม่าม๊าเอาตัวนี้นะ" เฟยหลงว่าพลางกำลังจะวิ่งเตาะแตะไปทางมารดาตัวเองที่ยืนเลือกแบบขนมสำหรับงานเลี้ยงที่จะจัดพรุ่งนี้ หากแต่กลับโดนมือป้อม ๆ ของแฝดคนน้องยกขึ้นห้ามกันไว้เสียก่อน "ไม่เอา หม่าม๊าต้องใส่ตัวนี้สิ" "เอ่อ..." เหล่าสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนเหงื่อตก พวกเธอรู้ดีว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหม่าม๊าของเฟยหลงและเฟยเฟิ่งแล้วนั้นจะไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ อาเฟิ่งยอมให้พี่ชายตัวเองได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องหม่าม๊า อาเฟยหลงหลับหูหลับตาไม่มองยามโดนน้องชายตัวเองแอบหยิบของเล่นชิ้นโปรดไปได้แต่ถ้าเป็นเรื่องม๊าเยว่ซินแล้วเขาไม่มีวันยอม "หม่าม๊า/หม่าม๊า" คราวนี้ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันจนเยว
ในบริษัทตระกูลหยางที่ห้องท่านประธานวันนี้ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวกว่าปกติ ฟาหยางจำต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อยเพราะเสียงถกเถียงกันของเจ้าแฝดหรือก้อนแป้งที่เยว่ซินชอบเรียก "อาเฟิ่งเอาอีกแล้ว!" ได้ยินเสียงเฟยหลงโวยวายอยู่ยกใหญ่ เด็กชายวัยสี่ขวบตัวสูงกว่าพนักวางแขนของโซฟานิดเดียวซึ่งอยู่ในชุดเอี๊ยมน่ารักที่ถูกหม่าม๊าจับแต่งตัวให้ เฟยหลงขู่ฟ่อมองน้องชายตัวเองที่นั่งอยู่บนนั้น "เฮียเสียงดัง" ก่อนเฟยเฟิ่งซึ่งในมือถือถุงขนมที่คาดว่าคงแบ่งกันไม่ลงตัวตอบพลางยกมืออีกข้างขึ้นปิดหู เจ้าก้อนแป้งอยู่ในชุดแบบเดียวกันทั้งหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกประการ "อาเฟิ่งก็คืนมาสิ!" "ไม่เอา ก็เฟิ่งอยากกิน" คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ปกติแล้วเฟยเฟิ่งมักจะตามใจพี่ชายตัวเองอยู่เสมอซึ่งฟาหยางคิดว่าคงเป็นเพราะอยากตัดรำคาญเสียมากกว่า เฟยหลงอมลมในปาก หันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาตัวช่วย "ป๊า!" ครั้นพอไม่รู้จะพึ่งทางไหนจึงเดินเตาะแตะมาหา ฟาหยางยอมวางปากกาในมือลง วันนี้เยว่ซินไปซื้อของกับจางลี่ถึงได้ฝากลูกลิงทั้งสองคนไว้ที่เขา "อืม...ว่าอย่างไร" แม้ได้ยินชัดทุกคำว่ามีปัญหาอะไรกันมาแต่ฟาหยางก็ยังเอ่ยถาม เขาต้องก
ช่วงหลังจากที่ทราบว่ามีเจ้าก้อนกลมสองก้อนอยู่ในท้องก็เป็นช่วงที่ฟาหยางปวดหัวไม่น้อยเนื่องจากอาการของคนท้องไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาอะไรได้ ฟาหยางที่วันนี้ต้องกลับจากบริษัทเร็วกว่าทุกวันขนาดที่ว่าเขาเพิ่งจะไปถึงบริษัทได้ไม่เกินสิบห้านาที 'คุณหนูเยว่ร้องไห้ค่ะ ไม่ว่าใครถามอะไรก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะเจอคุณหยางแค่คนเดียวค่ะ' สายจากสาวใช้ที่คฤหาสน์โทรมาหากันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ปกติเยว่ซินมักเป็นคนที่ยิ้มแย้มและอารมณ์ดีอยู่เสมอ เธอมีเหตุผลกับทุก ๆ เรื่องแต่ยามนี้ที่จู่ ๆ อาจด้วยฮอร์โมนหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นตูมกันไปเสียหมด พยายามทั้งปลอบทั้งหาของกินมาเท่าไหร่แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นที่พอใจของนายหญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย "อาซิน" ขายาวก้าวเร็ว ๆ ไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่ลงจากรถ ฟาหยางรีบขนาดที่เขาขับรถมาเองโดยไม่รออาโป ทำเอาฝั่งลูกน้องที่บริษัทก็วุ่นวายอยู่พอสมควร "ฮึก..." ยังได้ยินเสียงสะอื้นจากคนที่ฟุ่บหน้าอยู่กับหมอนอิง เหล่าสาวใช้ที่เห็นว่าฟาหยางมาแล้วจึงรีบลุกขึ้นค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นทันที "เกิดอะไรขึ้น" เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางรวบคนตัวเล็กเข้าในอ้อมแขน เยว่ซิน
สามสัปดาห์หลังจากแต่งงาน แม้ห่าวอู๋จะพูดอยู่ทุกวันว่าให้ทั้งคู่คิดประเทศที่จะไปฮันนีมูนกันเสียทีแต่เยว่ซินก็คิดไม่ออก หญิงสาวบอกเลื่อนทริปมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ห่าวอู๋เดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลหยางด้วยตัวเอง 'เตี่ยจองที่พักบนเกาะไว้ให้แล้ว เรื่องงานที่บริษัทเตี่ยจะจัดการทุกอย่างเอง อาเยว่ซินเตรียมตัวไปฮันนีมูนกับอาหยางได้เลย' นั่นคือประโยคที่ได้ฟังจากห่าวอู๋ก่อนที่วันต่อมาในตอนเช้ามืดก็โดนสามีตัวเองอุ้มขึ้นรถตั้งแต่ยังไม่ตื่นดี เยว่ซินนึกสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมเวลาจะไปทริปต่างประเทศแล้วจะต้องไม่ได้เตรียมตัวเสียทุกครั้งกันนะ แต่ถึงจะอยากโวยวายทั้งประมุขคนก่อนและคนปัจจุบันของตระกูลหยางนี้สักเท่าไรก็คงทำไม่ได้ แน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดเสี่ยงจะทำ "คราวนี้อาโปก็มาหรือคะ" สิ่งที่ต่างไปจากทริปที่อิตาลีครั้งนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นว่ามีลูกน้องมาด้วยกัน ฟาหยางขานรับในลำคอ "ถือเป็นวันพักผ่อนให้พวกเขาด้วย" เยว่ซินพยักหน้าเห็นด้วย สมควรอย่างยิ่งเพราะลูกน้องฟาหยางแต่ละคนใช่ว่าจะมีงานน้อย ๆ เสียที่ไหน "แต่ไม่ต้องห่วง พวกนั้นกับเราอยู่คนละที่พัก ไม่มีใครกวนตอนเธออยู่กับเหล่ากงได้หรอก" คำพูดเจ้าเล่ห์มาพร
ผ่านไปสองเดือนหลังจากการประกาศแต่งงานในวันนั้น ฟาหยางไม่ให้เยว่ซินรับงานใด ๆ ทั้งสิ้น และงานที่บริษัทก็เหมือนว่าเลี่ยงหรงจะเป็นคนจัดการทุกอย่างและถึงแม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังรายงานแก่ฟาหยางประหนึ่งบริษัทหลี่กลายเป็นบริษัทในเครือของฟาหยางไปเสียแล้ว "คุณหนูเยว่รับขนมอีกไหมคะ" และเพราะวัน ๆ เยว่ซินแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเข้าคอร์สเจ้าสาวที่ห่าวอู๋และเครือญาติตระกูลหยางจัดหาให้จึงทำได้แค่นั่ง นอน กินและออกไปตามนัดบ้างเป็นครั้งคราว "พอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" คนตัวเล็กตอบพลางระบายยิ้มงดงาม มือเรียวสวยปิดหนังสือลงแล้วเหลือบมองเวลาเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ปกติฟาหยางมักจะกลับมาในเวลานี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า "คุณหยางมาถึงแล้วค่ะ" เป็นจังหวะพอดีกับที่มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกัน เธอทอดมองคุณหนูเยว่ซินที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครีม ผิวขาวราวน้ำนมที่ไม่ได้ต้องแดดมานาน ทั้งแก้มและริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ๆ คุณหนูเยว่ก็ดูงดงามไปเสียทุกส่วน นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าออร่าของคนกำลังจะเป็นเจ้าสาว "อาซิน" พลันในวินาทีนั้นด้านหลัง
เยว่ซินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอเพิ่งจะยืนอยู่ที่ครัวในคอนโดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่ที่อิตาลีได้? ไม่ใช่แค่นั้นแต่ตอนนี้เธอมากับฟาหยางแค่สองคน! ใช่...ไม่มีอาโปและลูกน้องมาด้วยกันเลย "อาเยว่อยากทานอะไร" "ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ" มือเรียวยกขึ้นกั้นระหว่างกันทั้งแววตาที่ฉายความสับสนชัดเจน ฟาหยางหัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น "นี่มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยนะคะ" "ทำไม เธอไม่อยากมาเที่ยวกับอาฟาหรือ?" คนตัวสูงคล้ายสุนัขตัวโตที่เยว่ซินได้แต่ถอนหายใจ มือหนาเอื้อมมาประคองกันไว้พลางเอ่ยขึ้นอีกรอบ "ไม่อยากลองอยู่กันแค่สองคนบ้างหรือ" ครั้นโดนออดอ้อนซึ่ง ๆ หน้าทำเอาคนตัวเล็กไร้คำจะเถียงอีก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันที่ที่พักแห่งหนึ่งในเกาะซิซิลี เยว่ซินไม่รู้เลยว่าเขาจัดการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนไหน "ความจริงชวนฉันดี ๆ ก็ได้นี่คะ อีกอย่างฉันไม่ได้เอาสัมภาระมาเลย" ไม่รู้จะพูดว่าโดนแกล้งได้ไหม เพราะฟาหยางไม่คิดจะบอกเธอสักคำ หากนี่เป็นเซอร์ไพรส์ก็ดูจะเกินเรื่องไปเสียหน่อย "ซื้อใหม่ทั้งหมดที่นี่" "..." "หายหน้ามุ่ยเถอะนะ ถ้าอาฟาบอกเธอล่วงหน
ความคิดเห็น