เข้าสู่ระบบเวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมา
ทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน
“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
ฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน
“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”
ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขัน
อารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา
“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”
ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…
แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..
ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุด
ฉันคือใคร?
และเขา…เป็นใครกันแน่?
***
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป…
ความเงียบในเพนต์เฮาส์หรูยิ่งขับให้เสียงในหัวของฉันดังชัด เหมือนเร่งให้ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ทว่าภาพตรงหน้าที่ดูสมบูรณ์แบบกลับไม่ปลุกความคุ้นเคยขึ้นมาแม้แต่น้อย
ฉันกวาดตามองไปรอบห้อง พยายามหาสิ่งยืนยันความเป็นเจ้าของ ก่อนที่สายตาจะสะดุดกับกล้องสีดำบนโต๊ะ มือเอื้อมไปแตะ ภาพเลือนรางผุดขึ้น พร้อมอาการปวดขมับแล่นวาบขึ้นมาจนต้องชักมือกลับ ความทรงจำที่เกือบจะย้อนคืนถูกตัดขาดเหมือนมีใครปิดสวิตช์.
กระเป๋าที่ควรมีเอกสารยืนยันตัวตนกลับว่างเปล่า
ความกังวลผลักให้ฉันเริ่มค้นลิ้นชักทีละชั้น จนมาหยุดที่ลิ้นชักหนึ่งซึ่งดูเหมือนตั้งใจซ่อนไว้ เมื่อดึงออกมา ซองสีน้ำตาลขนาด A4 ก็ปรากฏอยู่ด้านใน
มือฉันสั่นเล็กน้อยตอนเปิด ก่อนพบเอกสารส่วนตัวและโทรศัพท์ที่ปิดอยู่
“ลิลิน โฮชิคาวะ…”
เสียงของฉันแผ่วลงเมื่อมองรูปบนบัตร หัวใจสั่นระรัวราวกับความจริงกำลังจะเผยตัว ฉันกำบัตรแน่น พลางยืดตัวเต็มความสูงด้วยแววตาแน่วแน่
ปลายทางชัดเจน…อยู่ในตัวอักษรบนกรอบสี่เหลี่ยมนั้น
***
ยามค่ำเพิ่งเริ่มต้น
เสียงดนตรีจากร้านเหล้าในตรอกผสมกลิ่นอาหารทอดและควันบุหรี่ ป้ายไฟหลากสีสว่างขึ้นทีละดวง แสงนีออนสะท้อนบนพื้นเปียกชื้นหลังฝน ราวกับทั้งเมืองเพิ่งตื่นจากการหลับใหล
แท็กซี่จอดตรงปากซอยตามที่อยู่บนบัตร
“ซอยนี้เป็นมุมมืดกลางกรุง มีทุกชนชั้น ตั้งแต่ขอทานยันนางเงา ระวังตัวด้วยนะครับ”
คนขับพูดพลางมองฉันผ่านกระจกหลังด้วยแววสงสัย
ฉันยิ้มรับตามมารยาท จ่ายค่าโดยสาร แล้วก้าวลงจากรถ
ลมเย็นปะทะใบหน้า กลิ่นควันและแอลกอฮอล์ผสมกัน กลายเป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้
ฉันยืนอยู่หน้าตรอกแคบที่ประดับไฟระยิบระยับเหนือหัว เสียงหัวเราะและแก้วกระทบกันดังลอดตามแนวทางเดิน
หญิงสาวในชุดสั้นเดินสวนออกมา ปากแดงจัด
เธอเหลือบมองฉัน ก่อนหัวเราะคิกแล้วเดินต่อพร้อมเพื่อน ๆ
ที่อยู่บนบัตรชัดเจน: 19/29 คอนโด เอเทอร์นิตี้ เรสซิเดนซ์
ชื่อหรูหราเกินกว่าสภาพรอบตัว แต่แปลกที่… บรรยากาศแบบนี้กลับคุ้นเคย ราวกับเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วก้าวเข้าไปในตรอกช้า ๆ
เสียงรองเท้ากระทบพื้นซีเมนต์ดังชัดท่ามกลางความวุ่นวายรอบตัว
ร้านชำเล็ก ๆ อยู่ตรงหัวมุม
หญิงวัยกลางคนในเสื้อกันเปื้อนจัดขวดน้ำบนชั้น พอเธอเงยหน้ามาเห็นฉัน ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น
“ลิลิน! หายไปไหนมาล่ะลูก ไม่เจอกันตั้งนาน!”
ฉันชะงัก
เธอเรียกชื่อฉัน… อย่างสนิทสนม เหมือนรู้จักกันดี
“เอ่อ… ขอโทษนะคะ เรา… เคยรู้จักกันเหรอคะ?”
ป้าคนนั้นหัวเราะน้อย ๆ
“อ้าว หนูก็มาซื้อของที่ร้านป้าเกือบทุกวัน จำไม่ได้เหรอ? เมื่อก่อนผมสั้นกว่านี้หน่อย ชอบถือถุงขนมกลับคอนโดนั่นไง”
ฉันนิ่ง ภาพพร่าเลือนแล่นวาบขึ้น กลิ่นขนมปังกรอบ เสียงหัวเราะใครบางคน ความอบอุ่นที่ไม่รู้มาจากไหน
ฉันฝืนยิ้ม “คงจำไม่ได้จริง ๆ ค่ะ… ขอโทษนะคะ”
ป้ามองฉันสักครู่ ก่อนพยักหน้า
“ไม่เป็นไรลูก คนเราก็มีช่วงที่ลืมได้เหมือนกัน”
เธอยื่นขวดน้ำเย็นให้
“ถือไว้ก่อน คืนนี้อากาศเย็น เดี๋ยวไม่สบายอีก”
ฉันรับขวดน้ำนั้น พร้อมรอยยิ้มให้เธอ แม้ในใจยังงุนงน แต่ก็กล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
เสียงเพลงจากคาราโอเกะผสมกับกลิ่นข้าวผัดและเบียร์
ตรอกแคบยามค่ำคืนยังเต็มไปด้วยชีวิต…แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกใบ
และเมื่อเงยหน้ามองสุดตรอก
แสงไฟจากป้าย Eternity Residence ส่องไกล ๆ
ก้าวต่อไปอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นแรง
เหมือนบางอย่างกำลังรอให้ฉัน “จำ” ได้อีกครั้ง
เมื่อก้าวเข้ามาในอาคาร ทุกอย่างกลับเงียบสงบต่างจากด้านนอก
ยามประจำตึกเงยหน้าจากเคาน์เตอร์ พอเห็นฉันก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมก้มหัวให้… เหมือนกำลังต้อนรับ “คนที่กลับบ้าน”
ฉันพยักหน้ารับ แล้วเดินลึกเข้าไป
เสียงส้นรองเท้าดังก้องในโถงที่มีเพียงแสงไฟสีเหลือง
หน้าประตูห้อง 19/29
ตัวเลขบนป้ายโลหะสะท้อนแสงเพดานเป็นเงา
ฉันยืนมองครู่หนึ่ง ก่อนล้วงกุญแจออกจากกระเป๋า
โลหะเย็นเฉียบในมือทำให้ใจเต้นวูบ
เสียงคลิกเบา ๆ เมื่อกุญแจหมุนเข้าล็อกพอดี
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







