LOGINนิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออก
ภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไป
ฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนัง
ฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟ
ในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..
ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง เตียงนอนปูจนตึง ภาพถ่ายที่ฉันยิ้มอย่างมีความสุขยังคงอยู่ในกรอบแต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่อาจเข้าถึง “….”เสียงเพลงดังแทรกเข้ามา ดึงให้ฉันแหวกม่านแล้วมองลงไปยังตรอกด้านล่าง..ความคุ้นเคยแล่นวาบเข้ามาในใจ ขณะเดียวกันความปวดศีรษะพุ่งขึ้นอย่างเฉียบพลันจนร่างโอนเอน ถอยหลังไปหลายก้าวจนสายตาสะดุดเข้ากับป้ายเล็ก ๆ บนประตูอีกบาน
‘ห้องล้างฟิล์ม’ดวงตากลมจ้องชื่อนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป กลิ่นน้ำยาจาง ๆ ลอยอบอวลทันทีที่ก้าวข้ามธรณี ประสาทสัมผัสเหมือนถูกดึงกลับไปยังอีกโลกหนึ่ง
“เหมือนมีการรื้อค้นบางอย่างในห้องนี้…” ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางมองตามร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่
ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยภาพถ่าย บางใบพร่าเลือน บางใบยังคมชัด แต่ทุกภาพ… ต่างทิ้งเงาของใครคนหนึ่งไว้ คนที่ฉันเคยรัก หรือบางที… อาจยังรักอยู่ไม่เคยเปลี่ยน
ฉันไล่มองทีละภาพ ราวกับกำลังตามหาความทรงจำที่หลุดหาย
จนสายตาหยุดที่ภาพหนึ่งซึ่งถูกแขวนไว้ในมุมที่แทบไม่มีใครเห็น เหมือนกับรอให้ฉันมาเจอในเวลานี้พอดีในภาพนั้น ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเด็กผู้หญิงตัวเล็ก เด็กคนนั้นคล้ายฉันราวกับฝาแฝด ทว่ามีบางอย่างที่ต่างออกไป
ส่วนชายข้าง ๆ… ใบหน้าของเขาช่างคุ้นเคย ราวกับเป็นคนที่ฉันผูกพันมาตลอดชีวิต ความสั่นไหวแล่นเข้าไปในอกใต้ภาพมีลายเซ็นจาง ๆ เขียนด้วยหมึกซีดจนแทบอ่านไม่ออก เส้นอักษรโค้งนุ่มราวกับมาจากมือของใครสักคนที่รู้จักฉันดีที่สุด
‘K. Hoshikawa’ฉันจ้องอยู่นาน ความคิดวุ่นวาย ก่อนจะยื่นมือไปแตะกรอบไม้ เผื่อสัมผัสนั้นจะปลุกบางสิ่งให้กระจ่าง
ทันใดนั้น กรอบภาพสะดุดตะปูแล้วร่วงลงกระแทกพื้นดัง เพล้ง!ฉันรีบทรุดตัวลงเก็บภาพด้วยหัวใจเต้นแรง นิ้วค่อย ๆ หยิบเศษกรอบที่แตกกระจัดกระจายขึ้นมารวบรวม แต่แล้วสายตาก็ค้าง ที่ด้านหลังกรอบ…
ซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเล็กถูกสอดอย่างแนบเนียนจนแทบไม่เห็น ดวตากลมเพ่งมันอยู่พักหนึ่ง ก่อนเสียงกระซิบจากความทรงจำแว่วขึ้นมาคุณซ่อนอะไรไว้…โฮชิคาวะ
ซองนั้นเก่าจนฝุ่นจับทั่ว แต่ตัวอักษรบนหน้าซองยังอ่านชัดเจน
H.F. Project และลายเซ็นเดิม… K. Hoshikawaมือสั่นเทาขณะเปิดซองออก ข้างในมีแผ่นฟิล์มเก่าหลายแผ่น บริเวณขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนไว้ ปี 2000 ฟิล์มนี้มีอายุกว่าสองทศวรรษ แต่เนื้อฟิล์มยังสะท้อนแสงระยิบระยับราวกับยังมีชีวิต และรอเพียงฉันปลุกให้ตื่น
ฉันรู้ดีว่าต้องทำอะไรต่อไป กลิ่นเคมีจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งทั่วห้อง ราวกับเวลาถูกหยุดค้างไว้
ค่อย ๆ ใส่ฟิล์มลงในเครื่องขยาย แสงส้มอุ่นจากหลอดเซฟไลท์กระจายไปทั่วผนัง เงาและแสงทาบซ้อนบนมือที่สั่นเบาๆทีละเฟรม… ภาพค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เฟรมแรก
ห้องกว้างขนาดใหญ่ ชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางเฟรม โฮชิคาวะ และอีกคน… ฉันไม่รู้ว่าเป็นใคร เบื้องหลังพวกเขาเต็มไปด้วยต้นแบบรองเท้าบนชั้นเรียงเป็นแถวเฟรมต่อมา…
โรงงานขนาดเล็ก เด็กหลายคนยืนกระจุกกันอยู่ในภาพ ภาพถัด ๆ ไปทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ โฮชิคาวะกำลังถ่ายเด็กข้างถนน และต่อจากนั้น… เด็กกลุ่มเดียวกันก็ปรากฏอยู่ในโรงงานเดียวกัน“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…?”
“นี่… เด็กคนนั้น… พวกเขาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”ฉันจ้องภาพเหล่านั้นด้วยความไม่เชื่อ ปนความสับสนและสะเทือนใจ
เฟรมถัดมา…
เด็กหญิงคนหนึ่งยิ้มให้กล้องด้วยแววตาใสซื่อ ใบหน้าของเธอคุ้นจนฉันใจหวิว เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ความทรงจำกลับพร่าเลือนเกินเอื้อมฉันส่ายหน้าเบา ๆ แล้วขยับไปยังเฟรมถัดไปซูมไปที่พื้นรองเท้าคู่หนึ่ง รองเท้าสีขาว ข้างรองเท้าถักด้วยเส้นใยใสละเอียด ส้นรองเท้าพิมพ์ตัวอักษรชัดเจน:
“H.F. Biofiber Prototype”ในเฟรมเดียวกัน ภาพสุดท้ายเผยให้เห็นเด็กหญิงอีกคนหันข้างให้กล้อง ทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าแผดขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับลง เหลือเพียงเงารอยเท้าสองคู่บนพื้นทดลอง
ฉันเพ่งมองเฟรมนั้นอีกครั้ง แล้วสายตาก็สะดุดกับโค้ดเล็ก ๆ ที่พิมพ์บนรองเท้า:
H.F.-02-QXQuantum X…
“Quantum X…” ฉันพึมพำแผ่วเบา ความรู้สึกคุ้นคล้ายเคยเห็นตัวอักษรนี้บนซองสิ่งของสักอย่าง บางอย่างที่จมลึกอยู่ในความทรงจำจนแทบแตะไม่ถึงฉันส่ายหัวแรง ๆ หวังจะสลัดภาพที่แล่นวาบขึ้นมา แต่ยิ่งปัดทิ้ง ใจก็ยิ่งเต้นแรงระส่ำ เหมือนเส้นบาง ๆ ของความทรงจำกำลังถูกดึงกลับจากเงามืด
ถ้าโครงการนี้เป็นส่วนต่อยอดจาก H.F. Project จริง…
นั่นหมายความว่าพวกเขาใช้ เส้นใยบันทึกชีวภาพ กับมนุษย์อีกครั้งและโฮชิคาวะ… พ่อของฉัน
คือคนที่ปิดบังความจริงทั้งหมดไว้หลังภาพถ่ายชุดนี้แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้น…
เธอเกี่ยวข้องยังไง?คำถามในหัวเพียงเสี้ยวเดียวกลับบีบศีรษะจนมึนมืด โลกสั่นคลอนราวกับฟิล์มกำลังหมุนกลับด้าน ฉันคว้าโต๊ะไว้แน่น นิ้วชาทั้งปลาย หายใจสะดุด ขณะที่พยายามบังคับจังหวะหัวใจที่เต้นถี่จนเจ็บร้าวทั่วอก
ฉันกัดฟัน ตั้งสติ แม้ร่างยังสั่นไม่หยุด แต่ภาพตรงหน้ากลับเริ่มซ้อนทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาเป็นช็อต ๆ บางช็อตคมกริบจนบาดใจ บางช็อตพร่าเลือนเหมือนฝันร้ายที่เคยลืมไปนาน
สมองบังคับให้ฉันมองทุกภาพจนขาไร้แรง ทรุดลงกับพื้น หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง มือไขว่คว้าโต๊ะไว้ไม่ทัน โลกหมุนคว้างราวกับกำลังถูกดูดเข้าไปในฟิล์มที่ไม่มีวันสิ้นสุด
และแล้ว
แกร่ก! ประตูดังสนั่น ก่อนมันจะถูกผลักเปิดออกอย่างช้า ๆ
ในลานสายตาพร่ามัว ฉันเห็นเพียงเงาร่างสูงยืนอยู่ตรงกรอบประตู
หัวใจฉันแทบหยุดเต้น ลมหายใจแข็งค้าง ทุกสิ่งในห้องเหมือนถูกกดปุ่มหยุด
“ใครอยู่ตรงนั้น…?”
คำถามของฉันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบ…
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงทันที.
“ผมตามคุณลิลินไปครับ… แล้วเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่คอนโดของพ่อเธอ ‘โฮชิคาวะ’ ครับ ”วรากรรายงานอารัญด้วยเสียงเรียบ แต่สัมผัสได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึก ๆเขายื่นซองสีน้ำตาลให้ อักษรบนหน้าซองเขียนไว้ว่า H.F. Project“แล้วนี่ครับ… สิ่งที่ผมเจอ”อารัญมองวรากรด้วยสายตาคมราวกับพยายามค้นความหมายจากใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนรับซองมาไว้ในมือและค่อย ๆ แกะออก ความเงียบรอบตัวหนาแน่นจนเหมือนอากาศหยุดไหล.ภายในซองคือ แผ่นฟิล์มเก่าบนขอบฟิล์มมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือ… ปี
นิ้วเรียวดันบานประตูให้เปิดออกภายในห้องเงียบสงบ ทุกอย่างยังคงวางอยู่อย่างเรียบง่ายในตำแหน่งเดิม ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่า ราวกับเวลาได้ถูกตรึงไว้ตั้งแต่วันที่ใครบางคนจากไปฉันก้าวไปอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง แสงนีออนจากป้ายริมทางด่วนลอดผ่านผ้าม่านเป็นเส้นเรื่อบาง สะท้อนบนกรอบรูปที่ยังแขวนเด่นอยู่บนผนังฉันยื่นมือไปแตะสวิตช์ไฟในรูปนั้น… หญิงชราผู้มีใบหน้าอ่อนโยนกำลังยิ้มให้หญิงสาวคนหนึ่ง ‘ตัวฉันเอง’ เพียงสบตากับภาพนั้น ความอบอุ่นก็ซัดเข้ามาจนหัวใจสั่นวูบ..ฉันเคลื่อนกายไปยังอีกห้อง
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีใครกดปุ่มกรอชีวิตให้ฉันข้ามช่องว่างนั้นมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก เบื้องหน้าคือเพนต์เฮาส์หรูหรากลางใจเมือง งดงามราวกับฉากหนึ่งในชีวิตของใครบางคน…แต่อาจไม่ใช่ของฉัน“ถึงแล้วครับ” อารัญผายมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกฉันยืนนิ่ง เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น มือกำชายเสื้อแน่น เมื่อความลังเลกับความประหม่าพุ่งขึ้นมาพร้อมกัน“หรือจะให้ผมอุ้มเข้าไป?” คำพูดนั้นทำให้หัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะรีบตอบกลับ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”ฉันสูดลมหายใจ พยายามรวบรวมสติ ขณะที่วรากรหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังราวกับเป็นเรื่องน่าขันอารัญยกมือมาประคองทิศทางให้ฉันหันกลับไปหา แววตาคมมั่นคงราวกับต้องการย้ำให้ฉันรับฟังทุกคำที่เอ่ยออกมา“คุณต้องอยู่ที่นี่นะครับ ผมจะดูแลคุณเอง”ความอุ่นจากปลายนิ้วค่อย ๆ แทรกเข้ามาจนลมหายใจฉันติดขัด ร่างกายพลันนิ่งงันราวกับต่อมรับรู้ทั้งหมดถูกดึงให้โฟกัสไปที่เขาเพียงคนเดียว…แม้ฉันจะไม่รู้จักตัวตนของเขาและตัวเอง แต่ท่าทีอ่อนโยนและการดูแลที่แฝงความพิเศษ กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย..ทว่าท่ามกลางสัมผัสและความอบอุ่นนั้น คำถามหนึ่งยังดังก้องไม่หยุดฉันคือใคร?และเ
“ลิลิน…”เสียงเรียกอ่อนโยนดังก้องในห้องว่างเปล่า..ฉันยืนอยู่ลำพัง เลื่อนสายตารอบห้อง ทุกสิ่งดูคุ้นเคยแต่พร่าเลือนราวกับความทรงจำที่ยังโหลดไม่เสร็จมุมหนึ่ง แสงส้มจากโคมไฟทาบลงบนใบหน้าอ่อนโยนของหญิงชรา เธอมองฉันด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อบอุ่นจนหัวใจฉันสั่นไหวจากนั้น ชายอีกคนก้าวออกมาจากมุมด้านใน มายืนเคียงข้างเธอ รอยยิ้มของทั้งคู่ช่างงดงามราวกับภาพที่ฉันเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง… แต่จำไม่ได้แต่แล้ว ร่างของทั้งสองค่อย ๆ มลายกลายเป็นหมอกบาง ฉันยื่นมือออกไปพร้อมคำวิงวอนสั่นเครือ “เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป”แต่ปลายนิ้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทุกอย่างหายไปในพริบตาฉันยืนนิ่ง ดวงตาไล่มองหาบางสิ่งด้วยหัวใจที่ถูกดึงรั้ง จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่กรอบรูปครอบครัวบนผนังพ่อ แม่ ลูก… และเด็กหญิงในภาพใบหน้าของเธอคล้ายฉันอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มของเธอสว่างไสวกว่าที่ฉันจำได้เสียอีกบางอย่างภายในอกบีบรัดแน่น เหมือนจะบอกฉันว่า “ภาพนั้น…สำคัญ”ฉันยกมือขึ้น ตั้งใจจะสัมผัสความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกรอบรูปนั้นทันใดนั้น แสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งวาบขึ้นมาฉันหรี่ตาแน่น พลางยกมือขึ้นบังจากความสว่างที่โถมเข้าใส่
“ดูมีพิรุธ… ต้องตามไปดูให้รู้เรื่องสักหน่อย กำลังเล่นอะไรกันอยู่ ยัยอเล็กซี่” แนนซี่พึมพำกับตัวเอง พอคิดได้ก็รีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิท ร่างบางก็เปิดประตูพุ่งขึ้นไปบนเบาะ พลางสั่งเสียงชัด “พี่! ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ เดี๋ยวให้พิเศษหลายเท่า”คนขับรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเร่งเครื่องตามรถหรูสีดำที่แล่นนำหน้าไป ไม่นาน จากถนนกลางเมืองอึกทึก เส้นทางก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงตึกสูงถูกแทนด้วยไฟนีออนและป้าย LED สีสันฉูดฉาดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางท้ายที่สุด รถหรูคันนั้นชะลอหยุดหน้าอาคารสูงโอ่อ่าที่ไร้ป้ายชื่อ
ในขณะที่ชื่อของ StrideX Group กำลังถูกสาดด้วยข่าวฉาวรายวัน จู่ ๆ สื่อออนไลน์ ก็ถูกเขย่าด้วยบทความที่ไม่มีใครตั้งตัวชื่อบทความนั้นคือ“StrideX: ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังแบรนด์พันล้าน”ชื่อที่ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่การวิจารณ์เชิงธุรกิจแต่เนื้อหาภายในกลับพุ่งเป้าไปที่อารัญโดยตรง ทั้งตัวเขา และรองเท้าที่กำลังเป็นกระแสของบริษัทในตอนนี้Quantum Primeประโยคเปิดที่ทำให้ทั้งวงการสะดุ้ง มีเพียงบรรทัดเดียว: “ข่าวลือที่ว่าโครงการ Quantum Prime เป็นการต่อยอดจากโครงการที่ปิดตัวลงไปเมื่อ 20 ปี… และมีการฝังข้อมูลเอไอไว้ในรองเท้า







