เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 12
เลี่ยงหวงพาซูเมิ่งเข้ามาในห้องประชุมอันแสนคุ้นเคยเพราะห้องนี้นางเข้ามาถึงสามครั้งแล้ว พอนางเข้ามาก็อดตื่นตะลึงไม่ได้ นอกจากคนที่นางเจอในวันเเรกก็ยังมีชายแปลกหน้าอีกหลายคน แต่ละคนใส่ชุดดูภูมิฐานน่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ที่น่าแปลกใจคือมีหญิงวัยกลางหนึ่งคนนั่งอยู่ด้วย จากห้องประชุมที่มีขนาดใหญ่ มีเก้าอี้หลายสิบตัว ตอนนี้ถูกคนจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางและเลี่ยงหวงจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ ท่านรองหัวหน้าอู๋ โดยเป็นเลี่ยงหวงที่นั่งถัดจากอู๋หลานซาน ซูเมิ่งนั่งถัดจากเลี่ยงหวง ส่วนทางขวามือเป็นชายที่นางไม่เคยเจอมาก่อน
เวลาผ่านไปราวชั่วก้านธูปหนึ่ง ประตูหน้าห้องถูกลงกลอน มีชายสองคนเฝ้าขนาบสองข้างของประตู ท่านเจ้าเมืองต่งปรายตามองซูเมิ่งวาบหนึ่งก่อนเบนสายตาออกไป สีหน้าของทุกคนเป็นไปในโทนเดียวกันก็คืออึมครึม เคร่งเครียด ทำให้ซูเมิ่งอดเเปลกใจมิได้
“พี่เลี่ยงหวง เอ่อนอกจากคดีของคุณชายหยางเจี้ยนแล้ว เจ้าคนร้ายก่อคดีอีกแล้วหรือ?” นางเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน
“เปล่านะ ทำไมรึ?”
“ก็ข้าเห็นสีหน้าของแต่ละคนในห้องนี้ดูเคร่งเครียดพิกล ก็นึกว่ามีใครตายอีกแล้ว”
เลี่ยงหวงรีบหันมาส่งสายตาเชิงดุให้ซูเมิ่ง
“พูดเป็นเล่นไป เจ้านี่ จะไม่ให้เครียดได้ไง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องจับคนร้ายต่างถูกกดดันจากหลายตระกูลใหญ่ หากจับไม่ได้เร็ว ๆนี้เรื่องนี้คงถูกส่งถึงโอรสสวรรค์ให้ล่วงรู้เป็นแน่”
…ที่แท้ก็ถูกกดดันนี่เอง เจ้าคนร้ายนี่ก็ช่างเลือกเหยื่อนะ เหยื่อแต่ละรายเป็นลูกคนใหญ่คนโตของเเต่ละเมืองทั้งนั้น
“ละเจ้าเห็นสตรีท่านนั้นไหม”
เลี่ยงหวงพยักเพยิดไปทางสตรีหนึ่งเดียวในห้องที่นางเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่เเรกเข้ามา นางจึงพยักหน้าเบา ๆ
“นั่นเป็นมารดาของเหยื่อรายที่สี่ที่เกิดขึ้นที่หนานเปียน และเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับสามในเมืองหนานเปียน ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นน้องสาวของพระสนมคนโปรดของโอรสสวรรค์อีกด้วย เจ้าคิดว่านางมาทำอะไรล่ะ”
ซูเมิ่งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยทำท่าครุ่นคิด
…ว่าเเล้วเชียว นางก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดมีสตรีเข้าร่วมได้ด้วย(เว้นตัวเองที่ปลอมเป็นชาย) ที่เเท้ก็ใช้อำนาจมากดดัน
“เมื่อไรพวกท่านจะจับคนร้ายได้! ต้องรอให้มีคนตายอีกสักกี่คน”
สตรีวัยกลางคนที่ก่อนหน้าเลี่ยงหวงพูดถึงเอ่ยขึ้น เสียงอ่อนนุ่มที่แฝงความเอาแต่ใจไว้สักสิบส่วนสร้างความไม่พอใจให้ปรากฎบนหน้าของหลายคนในห้องนี้
“น้องหญิงใจเย็น ๆก่อน” ชายวัยกลางคนที่นั่งข้าง ๆเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่าย ก่อนเอ่ยบอกเสียงเบา
สตรีนางนั้นส่งเสียง หึ อย่างขัดใจ ก่อนยอมสงบลง
…ดูท่าสมัยนี้ก็มีบุรุษที่กลัวภรรยาด้วย นึกว่าทุกบ้านสมัยนี้บุรุษจะเป็นใหญ่เสียอีก
“ตอนนี้ทางการกระจายคนออกติดตามบุคคลที่เพิ่งเข้าเมืองมาทั้งหมดแล้ว อยู่ในช่วงสังเกตการณ์และยังไม่มีรายงานความคืบหน้า และในวันที่เกิดเหตุกับคุณชายหยางเจี้ยน คนเหล่านั้นส่วนใหญ่มีหลักฐานที่อยู่ชัดเจน ส่วนคนที่เหลือคุมตัวสอบสวนและกักบริเวณชั่วคราว นี่คือสาเหตุที่เมืองของเราต้องขอยืมกำลังจากเมืองพวกท่าน เนื่องจากหลังจากวันที่เกิดเหตุของเหยื่อรายที่สี่จนถึงตอนนี้มีคนเข้าออกมาที่เมืองซีเปียนเป็นจำนวนมาก ทำให้กำลังคนของเมืองซีเปียนไม่พอ”
หัวหน้ามือปราบกู่เอ่ยเสียงทุ้มน่าเกรงขาม ใบหน้าแฝงความอ่อนล้าอย่างปิดไม่มิด
“ข้าเห็นด้วยกับท่านหัวหน้ามือปราบกู่ ในเมื่อเราไม่มีเบาะเเสเกี่ยวกับคนร้ายคงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ทางข้ายินดีแบ่งกำลังคนให้ตามที่ท่านต้องการ”
ชายผมดำแซมขาวบ่งบอกถึงอายุที่มากเอ่ยขึ้น เขาเป็นตัวแทนกองปราบของเมืองหนานเปียนที่ถูกส่งมาช่วยเหลือ ขณะพูดเขาแอบเหลือบสายตามองสตรีตัวต้นเหตุที่ทำให้ทุกเมืองต้องรีบเร่งจับคนร้ายจนแต่ละคนแทบไม่ได้หลับได้นอน
“ข้าเช่นกัน”
อีกเสียงดังขึ้น เขาคือรองหัวหน้ามือปราบเซียวซึ่งเป็นตัวแทนจากเมืองตงเปียนมาเข้าร่วมประชุม
กู่เทียนหลิวพอคลายกังวลบ้าง เเต่ผลจากการส่งคนไปสอบถามไม่มีใครน่าสงสัยจึงทำให้เรื่องการตามจับคนร้ายยังไม่คืบหน้า
กู่เทียนหลิวนั่งลง ทำให้ในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง
“ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้มีเด็กหนุ่มบอกว่าเขามีเเผนจับกุมคนร้ายมิใช่หรือ อยู่ไหนเสียแล้วล่ะ”
ฉิงอีเอ่ยเสียงสงบราบเรียบเกริ่นขึ้นมาทำเป็นไม่รู้ว่าใครแต่หางตาเขาเหลือบไปทางเด็กหนุ่มสวมหน้ากากสีขาว อันที่จริงคือเขาสังเกตเห็นเด็กหนุ่มได้ตั้งเเต่เดินเข้ามา และนั่งมองอยู่ตลอดก็เห็นว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนเดียวในห้องนี้ที่มีใบหน้าไร้ความกังวล เห็นสีหน้าระรื่นแล้วรู้สึกขัดตาจึงแกล้งเอ่ยถึง
ฉิงอี ปัจจุบันนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นมือปราบที่อายุน้อยที่สุด หรือถือว่าเป็นดาวรุ่งเลยก็ว่าได้ ตอนที่ท่านเจ้าเมืองต่งเอ่ยถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งทางการอันใดว่าจะให้เข้ามาฟังการประชุมนี้ด้วย เขาก็เป็นคนหนึ่งที่แย้งขึ้น แม้ว่าที่เขาเข้ามาประชุมเพราะบังเอิญเดินทางมาที่เมืองซีเปียนและถูกเชิญให้มาช่วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้คนนอกที่ไม่รู้ที่มามาทำผิดกฎเข้าฟังได้ แต่วันนี้เขาก็ยังเห็นเจ้าหนุ่มนี่ในห้องอยู่ดีจึงอดขัดใจไม่ได้
ซูเมิ่งหันไปสบตากับฉิงอี นางกำลังเพลิน ๆเรื่องวิ่งเข้ามาเฉย แต่นางหากลัวไม่!
“ช่างหลิน”
ท่านเจ้าเมืองต่งเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ตอบรับ นี่เขาอุตส่าห์บอกให้เจ้าหนุ่มนี่อยู่เงียบ ๆห้ามส่งเสียงแล้วเชียว ไม่คิดว่าจะถูกฉิงอีทักได้
ซูเมิ่งยืนขึ้น โค้งคารวะใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ข้าน้อย ช่างหลิน คารวะทุกท่านขอรับ”
ฉิงอียิ้มมุมปาก “เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
ทุกคนหันมองไปที่ซูเมิ่ง บางคนมีสีหน้าดูถูกอย่างเห็นได้ชัด มีบางคนเผยสีหน้าสงสัย
…วางกับดักนางเสียด้วย หากนางตอบว่าไม่ดีก็ต้องผิดใจกับท่านหัวหน้ากู่ แต่หากตอบในเชิงเห็นด้วย ก็คงถูกหยามยิ่งกว่าเดิม ซูเมิ่งยกยิ้มมุมปากแค่นเสียงในลำคอก่อนเอ่ย
“ข้าน้อยเห็นด้วยกับวิธีของท่านหัวหน้ามือปราบกู่ขอรับ แต่ข้าน้อยมีสงสัยเพียงเล็กน้อยอยากถามทุกท่าน…”
นางเผยรอยยิ้มมั่นใจปรายตามองฉิงอีอย่างท้าทายก่อนพูดต่อ
"หนึ่งจากลักษณะการฆ่าเหยื่อทั้งสี่รายมีลักษณะที่เหมือนกันทุกประการ คือ เหยื่อมีรอยฟกช้ำจากการถูกต่อยตีทั่วทั้งเนื้อตัว และมีรอยแผลจากมีดที่คอซึ่งเป็นสาเหตุจากการตายของเหยื่อและถูกจัดท่าทางนอนหงาย แต่จากผลการพิสูจน์ศพผู้ตายทั้งสี่ยืนยันได้ว่ารอยฟกช้ำเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากเหยื่อเสียชีวิตแล้ว นั่นหมายความว่าคนร้ายปาดคอเหยื่อก่อนและจึงต่อยตีทำร้ายเหยื่ออีกที ข้าจึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดคนร้ายจึงทำเช่นนี้ทั้งที่หากเป้าหมายคือการฆ่าคนแค่ปาดคอเหยื่อก็ตายแล้ว"
ทุกคนในห้องประชุมเงียบกริบ ใบหน้าของทุกคนเเสดงออกว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งที่นางเอ่ยก่อนหน้า ก่อนหัวหน้ามือปราบกู่จะเอ่ยขึ้น
“เจ้ากำลังจะบอกว่าคนร้ายมีความแค้นกับเหยื่อทั้งสี่คนรึ? เขาจึงระบายแค้นลงบนศพ”
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







