เข้าสู่ระบบบทที่ 11 (ต่อ)
“เอ้า นี่ท่านยังไม่รู้หรอกรึ”
…จะรู้ได้ไงล่ะ ก็ไม่เห็นมีใครบอกนางสักคำ ซูเมิ่งได้เเต่คิดในใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึก ๆจนหน้ากากเขย่าตาม
“คุณชายรองสกุลเย่น่ะ นามหยางเจี้ยน”
…อ่อ ไม่ใช่หยางเหวินแต่เป็นน้องชายนี่เอง ตอนเป็นบ่าวรับใช้ที่จวนแห่งนี้นางเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็นหน้าหรือไม่แม้จะเฉียดผ่าน ไม่คิดว่าพอหนีออกจากจวนได้จนกลายมาเป็นจอมยุทธ์คนนึงยังถูกลิขิตให้มาเกี่ยวพันกับคนน้องแทน
เย่หยางเจี้ยนงั้นหรือ จากที่นางจำได้ เขาเป็นคุณชายจอมเสเพลมีนิสัยต่างจากคนพี่ราวฟ้ากับเหว วัน ๆไม่ช่วยงานที่บ้าน ไม่สนใจการเรียน เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ตามเหลาสุราบ้าง หอนางโลมบ้าง ทำเอาทั้งฮูหยินใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าปวดหัวไม่เว้นวัน
อู๋หลวนซานเดินนำคนทั้งหมดไปยังประตูใหญ่ชูป้ายประจำตำแหน่ง พอบ่าวรับใช้หน้าจวนเห็นป้ายดังกล่าวก็รีบเปิดประตูแล้วพาทุกคนเข้าไปในจวนรอที่โถงรับรองทันที
ที่โถงรับรองวันนี้เเปลกกว่าทุกวันเพราะปกติที่โถงรับรองจะมีคนใหญ่คนโตบางคนมารอตรวจอาการบ้างแต่วันนี้ไม่มีสักราย พอพวกนางเข้าไปก็มีบ่าวใช้เข้ามารับรอง เทน้ำชาและบอกให้รอก่อนสักครู่
ตั้งแต่เข้ามาหัวใจนางก็เต้นเเรงมาก ถึงจะรู้ว่าตนปลอมตัวจนไม่เหลือเค้าบ่าวอัปลักษณ์แต่มันก็อดกังวลไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าภายใต้หน้ากากขาวยังคงสงบนิ่งผิดอาการข้างใน สองตาจ้องมองไปทางทิศที่บ่าวรับใช้หายไปและภาวนาว่าคนที่ไปตามให้มาคงไม่ใช่เย่หยางเหวิน
“คารวะคุณชายใหญ่เย่ขอรับ”
รองหัวหน้ามือปราบและคนอื่นลุกขึ้นทันทีที่เจ้าบ้านเดินเข้ามา
…เย่หยางเหวิน!!
ชายใบหน้าคุ้นเคยเดินเข้ามาท่าทีสง่าผ่าเผย เขายังสวมชุดขาวบริสุทธิ์ดังเดิมแม้บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแต่นางที่รับใช้ใกล้ชิดมานานย่อมมองเห็นถึงความโทรมความกังวลที่อยู่หลังนัยน์ตานั้น
พอได้สติซูเมิ่งจึงลุกขึ้นคารวะ ปรับสีหน้าให้ปกติ
“คารวะท่านรองหัวหน้ามือปราบอู๋ ท่านเลี่ยงหวง และ เอ่อ…”
หยางเหวินมองไปยังบุรุษที่สวมหน้ากากขาวคนท้ายสุดพร้อมเผยสีหน้าเชิงถาม
“จอมยุทธ์ช่างหลินน่ะ ช่างหลินนี่คุณชายหยางเหวิน พี่ชายของคุณชายหยางเจี้ยนที่เป็นผู้เสียหาย”
อู๋หลวนซานเอ่ย “คนนี้เป็นผู้ช่วยข้าเอง”
พอสบตาและมองไปที่ใบหน้าของบุรุษนามช่างหลิน คิ้วของหยางเหวินพลันขมวดเล็กน้อย
…นัยน์ตาลึกล้ำนั้นช่างแสนคุ้นเคย แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเหมือนใคร
“ข้าน้อยคารวะคุณชายขอรับ”
ซูเมิ่งอดไม่ได้ต้องเอามือลูบที่คอตัวเอง …เฮ้อ ลูกกระเดือกปลอมยังอยู่ เสียงที่เปล่งออกไปก็เปลี่ยนเป็นเสียงคล้ายชายหนุ่มวัยละอ่อน พอมั่นใจนางก็โค้งคารวะอีกครั้ง
“พวกท่านมาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวานใช่หรือไม่ งั้นตามข้ามาเลย”
หยางเหวินสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระของตนเบา ๆก่อนเดินนำเพื่อพาไปพบน้องชายของตนที่พักผ่อนอยู่ที่เรือน เดินมาเพียงชั่วก้านธูปหนึ่งทั้งหมดก็หยุดลงตรงหน้าประตูไม้บานหนึ่ง เบื้องหน้าคือห้องของหยางเจี้ยน เหยื่อผู้โชคร้ายนั่นเอง
“หยางเจี้ยนยังขวัญเสียจากเหตุการณ์เมื่อวานอยู่บ้าง หากเขาทำอะไรผิดไปโปรดอย่าถือสา”
หยางเหวินหมุนตัวกลับมาบอกเสียงเบา
“ข้าเข้าใจขอรับ”
หยางเหวินเปิดประตูพาทุกคนเข้าไป พลันมีวัตถุก้อนใหญ่พุ่งมาที่พวกเขา ทุกคนเบี่ยงหัวหลบทันทียกเว้นคนหลังสุดที่โดนเข้าไปเต็มเปา
…เนื่องจากซูเมิ่งเดินตามเข้ามาหลังสุดและนางก็เป็นคนที่ส่วนสูงน้อยที่สุดทำให้เจ้าพวกคนตัวสูงบังทัศนียภาพเบื้องหน้าเสียสิ้น รู้ตัวอีกทีก็มีอะไรบ้างอย่างกระแทกหัวแล้ว
“โอ้ย”
ซูเมิ่งล้มหงายท้องก้นกระแทกพื้น “ใครปาหมอนใส่หัวข้าเนี่ย”
นางหยิบหมอนยาวขึ้นมาจากพื้นส่วนสายตาก็กวาดหาเจ้าของ
“พวกเจ้าจะมาซ้ำเติมข้างั้นรึ ออกไปให้หมดนะ! เเค่ก ๆ”
ห่างออกไปไม่ไกลมีชายใบหน้าซีดเซียวนอนชะโงกตัวขึ้นมาอยู่บนเตียงคนหนึ่ง แม้ปากไร้สีเลือดฝาดแต่แววตาแสดงออกถึงความหงุดหงิดอย่างไม่เกร็งใจใคร พอเลื่อนสายลงมาจะเห็นว่าที่คอมีผ้าพันรอบเลือดซึมเล็กน้อย
…เห็นว่าเป็นคนป่วยหรอกนะ นางจะไม่เอาเรื่องที่โยนหมอนมาใส่ละกัน
“หยางเจี้ยนเจ้าหยุดโวยวายก่อน นี่คือท่านรองหัวหน้ามือปราบต้องการถามคำถามเจ้า” หยางเหวินเอ่ยเสียงแข็ง
“หึ หากไม่เพราะข้าฉุกคิดได้ คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้หรอก ทำหน้าที่ประสาอะไรปล่อยให้ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ทำร้ายชาวเมืองได้ มิสู้เอาคนของตระกูลข้าคุ้มครองเมืองเสียดีกว่า…”
“หยางเจี้ยน!”
ก่อนที่จะบาดหมางไปทั้งสองฝ่ายหยางเหวินรีบห้ามผู้เป็นน้องชาย หยางเจี้ยนสบตาพี่ชายสักครู่ก่อนยอมปิดปากเงียบแต่ไม่วายส่งเสียง หึ ออกมา
“แน่ใจนะพี่เลี่ยงหวง ว่านี่พี่น้องกันจริง นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว”
ซูเมิ่งเอ่ยเสียงเบา พอเลี่ยงหวงได้ยินดังนั้นก็เผยยิ้มวาบหนึ่งเป็นการเห็นด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกคุณชายหยางเหวิน ข้าน้อยเข้าใจ”
อู๋หลวนซานเอ่ยและเดินเข้าไปใกล้คนที่นอนอยู่บนเตียง “ข้าน้อยรบกวนเวลาคุณชายไม่นานหรอก”
หยางเจี้ยนนิ่งเงียบ ตอนนี้เขาล้มตัวลงนอนอีกครั้งอย่างทุลักทุเล คงเพราะขยับมากและใช้แรงตอนอาละวาดเมื่อครู่ตอนนี้เลยเจ็บบริเวณแผลมากกว่าเดิม
…หึ หากเจ้าพวกนี้ไม่มาเขาก็คงไม่ต้องเจ็บแผลแบบนี้หรอก! หยางเจี้ยนได้เเต่เอ่ยในใจเพราะเขากลัวพี่ชายตนเอง
“ท่านจำหน้าคนร้ายได้หรือไม่ แล้วเหตุใดท่านจึงไปอยู่บริเวณนั้นช่วงนั้น”
“ข้า ข้าก็เดินเล่นของข้าตามปกติ”
หยางเจี้ยนไม่สบตาใคร ก่อนเล่าต่อ
“ตรอกนั้นมืดมาก ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น รู้ตัวอีกทีก็มีอะไรเย็น ๆมาจ่อที่คอข้า มันบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ข้าขัดขืนจนกระทั่งมีคนมามันก็หนีไป ข้ารู้เพียงเท่านี้เเหละ ตอนนี้ข้าเพลียมากแล้วอยากพักผ่อน”
พูดจบหยางเจี้ยนก็พลิกตัวหันหน้าเข้าด้านใน พอเห็นดังนั้นทุกคนจึงได้แต่เดินออกมาเงียบ ๆ
“วันนั้นคุณชายหยางเจี้ยนออกไปข้างนอกกับใครรึ? ข้าขอคุยด้วยหน่อย” รองหัวหน้าอู๋เอ่ย
จากนั้นหยางเหวินพาพวกเขาไปที่ห้องโถงกลางก่อนนำตัวบ่าวรับใช้คนสนิทของหยางเจี้ยนเข้ามา เขาเป็นชายร่างใหญ่ ใบหน้าเข้มดูโหด
“วันนั้นคุณชายไปทานข้าวที่หอกุ้ยหลง จากนั้นไปที่ถนนทิศประจิมก็เพื่อไป เอ่อ หาฟางเอ๋อเลยบอกให้ข้าน้อยไปเดินเล่นแล้วคุณชายก็ไปหาแม่นางฟางเอ๋อ บ่าวนึกขึ้นได้ว่าคุณชายลืมถุงเงินไว้ บ่าวกลับไปตามหาคุณชายอยู่สักพักก็เจอคุณชายที่ตรอกมืดนั้น ตอนบ่าวไปถึงก็มีแค่คุณชายยืนอยู่คนเดียวแล้วขอรับ”
“ใครคือฟางเอ๋อรึ?”
“เอ่อ เป็นแม่นางที่ช่วงนี้คุณชายโปรดปรานขอรับ สองสามวันมานี้ คุณชายมักแวะไปหาแม่นางฟางเอ๋อที่ถนนทิศประจิม นางเป็นลูกสาวเจ้าของร้านขายเต้าหู้ขอรับ”
สิ้นเสียงบ่าวรับใช้ร่างโต บริเวณโดยรอบก็เงียบสนิท จนซูเมิ่งเอ่ยขึ้น
“แล้วทุกครั้งก่อนไปหาแม่นางฟางเอ๋อเจ้าก็แยกกับคุณชายหยางเจี้ยนงั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว”
อู๋หลวนซานสอบถามอีกสักพักก็ขอตัวกลับ พอถึงที่ว่าการเวลาก็ล่วงเลยไปยามอิ๋นแล้ว ซูเมิ่งถูกบังคับให้พักอยู่ในที่ว่าการ พอนางอ้างว่าไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนก็มีคนนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้และเอาชุดของนางไปซัก มีอาหารมาส่งถึงห้องนอน มองออกไปนอกเรือนนอนก็มีคนเฝ้า
…ดูท่าท่านเจ้าเมืองจะไม่ไว้ใจนาง คงกลัวนางนำเรื่องเกี่ยวกับคดีไปเผยแพร่กระมัง เล่นไม่ปล่อยให้นางหนีไปไหนได้เลย
ก่อนแยกจากเลี่ยงหวงนางได้ขอกระดาษกับหมึกมาชุดหนึ่ง คิดไว้ว่าก่อนนอนนางจะเขียนทุกอย่างที่ได้รู้วันนี้ให้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ มันจะทำให้จับประเด็นได้ง่ายขึ้น ข้อมูลที่รู้วันนี้ถือว่ามีประโยชน์มากคดีนี้เป็นกรณีของฆาตกรที่ป่วยเป็นจิตเภทอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทั้งพฤติกรรมการฆ่าที่มีแบบเเผนราวกับต้องการตอกย้ำบางอย่าง อีกทั้งเหยื่อเเต่ละรายแทบไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันและไม่มีศัตรูร่วมกัน แต่ก็มีบางจุดที่นางยังไม่สามารถหาคำตอบได้
เห็นเลี่ยงหวงบอกว่าพรุ่งนี้จะมีประชุมครั้งใหญ่ซึ่งรวมตัวแทนจากหลายเมืองมาร่วมถกหาวิธีจับคนร้ายซึ่งนางก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมด้วยได้ เพื่อเงินแล้วนางต้องจับคนร้ายมาให้ได้!
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







