เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 12 (ต่อ)
ซูเมิ่งยิ้ม “ที่ท่านพูดมาก็มีส่วนถูก…”
นางพูดยังไม่ทันจบเสียงทุ้มต่ำอีกเสียงก็เอ่ยเเทรก
“เจ้าผิดแล้ว! พวกข้าสืบดูแล้วเหยื่อทั้งสี่ไม่มีศัตรูร่วมกัน บางคนแทบไม่มีความเกี่ยวพันเลยด้วยซ้ำ”
มือปราบเซียวจากเมืองตงเปียนที่นั่งข้างรองหัวหน้าเซียวเอ่ยขึ้น แววตาเหยียดหยามนางอย่างออกอาการ เขาก็ว่าแล้วเชียว เจ้าเด็กหนุ่มนี่มือปราบก็ไม่ใช่ทำเป็นอวดเก่งเสียเปล่า ๆ แล้วยังสวมหน้ากากแสนเฉิ่มนั่นอีก
“ข้าหาได้บอกว่าคนร้ายคือศัตรูร่วมไม่ ข้าหมายถึงคนร้ายอาจมีความแค้นจริงแต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นกับเหยื่อทั้งสี่ราย…”
ซูเมิ่งหยุดพูดในหัวกำลังคิดคำอธิบายที่ฟังเข้าใจง่ายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าคดีแบบนี้เป็นกรณีการตอบสนองของคนที่มีอาการจิตเภทเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ตนเก็บกดไว้ภายในใจ
“หากท่านลองนำข้อมูลของเหยื่อแต่ละรายมาเทียบกันจะมีส่วนที่เหมือนกันหลายอย่าง นั่นคือ เหยื่อแต่ละรายล้วนเป็นบุรุษ ยังไม่ออกเรือน เป็นบุตรของตระกูลใหญ่ และมีนิสัยเสเพล ..เอ่อ เเฮ่ม ข้าหมายถึง รักความสนุก ใช่หรือไม่?”
ตอนพูดอยู่นางเผลอสบตากับสตรีผู้เป็นมารดาของเหยื่อคนหนึ่งซึ่งมองทางนางเขม็ง นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูด ซึ่งส่วนใหญ่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าเป้าหมายของคนร้ายคือเหยื่อที่มีลักษณะเหล่านี้”
“จริงด้วย เพราะคุณชายหยางเจี้ยนผู้เป็นเหยื่อรายที่ห้าก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน”
เลี่ยงหวงบ่นพึมพำ แต่เนื่องจากห้องเงียบสกัดทุกคนจึงต่างได้ยินที่เขาพูด สายตาที่มองมาที่ซูเมิ่งเริ่มเปลี่ยนไป
“และจากที่ข้าพูดไปว่า เป้าหมายของคนร้ายคือเหยื่อที่มีลักษณะตามที่ข้าบอกไป ทำให้ข้าคาดเดาไว้ว่าคนร้ายอาจเคยถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ และเขาต้องอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถตอบโต้คนที่ทำร้ายได้ด้วย ทำให้ต้องเก็บความโกรธแค้นเหล่านี้เอาไว้ จนต้องมาลงที่เหยื่อเหล่านี้แทน”
ซูเมิ่งถูกทางองค์กรบังคับให้เรียนวิชาจิตวิทยาและก็มีกรณีศึกษาเป็นเหล่าฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งฆาตกรส่วนใหญ่เป็นโรคทางจิตเภททั้งนั้น นางจึงขอยืมเทคนิคการวิเคราะลักษณะคนร้ายจากตำรวจในชาติก่อนนางมาใช้บ้าง ก่อนหน้านี้นางเคยถกเรื่องนี้กับเลี่ยงหวง และเขาก็บอกว่าหากเป็นบ่าวก็สามารถถูกกระทำแบบนี้ได้โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมายแต่อย่างใด
“ทำไมต้องลงที่เหยื่อเหล่านี้ด้วย ความจริงระบายความแค้นคนทั่วไปไม่ดีกว่าจะได้ไม่ถูกไล่ตามจับ”
ฉิงอีเอ่ยถาม ตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้แล้วชายปิดบังใบหน้าตรงหน้าเป็นใคร และไปเรียนวิธีการเหล่านี้มาจากไหน ตั้งแต่เขาทำงานมาเพิ่งเคยเจอลักษณะการคิดแบบนี้ เพียงแค่ดูข้อมูลก็สามารถระบุรายละเอียดต่าง ๆได้มากกว่ามือปราบที่ไปดูที่เกิดเหตุจริง และมากกว่าเขาที่ถือได้ว่าเป็นดาวรุ่งแห่งวงการมือปราบ
“ท่านพูดถูกขอรับ หากเลือกระบายที่คนทั่วไปก็จะเป็นเพียงคดีเล็ก ๆมีคนสนใจเพียงน้อยนิด แต่นั่นไม่ตรงต่อความต้องการของคนร้ายเอาเสียเลย”
ซูเมิ่งสบตาเจ้าของคำถาม ในใจนางแอบยอมรับว่าเขาถือว่าเป็นคนที่หัวไว คิดตามนางทันจนสามารถแย้งออกมาได้ ซึ่งนั่นเป็นผลดีต่อซูเมิ่งที่นางถือโอกาสอธิบายให้คนอื่นเข้าใจมากขึ้น
“เจ้าหมายถึง คนร้ายต้องการให้เกิดคดีใหญ่งั้นรึ?”
เจ้าเมืองต่งเอ่ยขึ้น เขาพาลนึกถึงตอนที่พบเจ้าหนุ่มคราแรกที่ถูกเด็กไร้ที่มาแย้งเรื่องการประกาศจับ
“ใช่ อีกเหตุผลหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนร้ายไม่ได้ต้องการปกปิดการฆ่าคือ สัญลักษณ์ที่ทิ้งเอาไว้ว่าต่อไปจะก่อคดีที่เมืองใด มิเช่นนั้นคนร้ายจะมีเหตุผลใดทำไมต้องบอกด้วยว่าจะก่อคดีที่เมืองไหนต่อไป พูดโดยสรุปคือ คนร้ายมีประสงค์เพื่อให้ชาวเมืองทุกคนรู้ และกำลังท้าทายพวกท่าน”
ซูเมิ่งก้มลงยกชาขึ้นดื่มเเก้กระหาย
พอนางพูดจบห้องก็เงียบสงัด ในห้องอึกครึมบรรยากาศเย็นเยียบ อารมณ์แต่ละคนบ่งบอกว่าอยากบีบคอใครสักคน
“เเฮ่ม และจากลักษณะการก่อคดี ข้าบอกได้ว่าคนร้ายน่าจะมีลักษณะอย่างไร ไม่ทราบพวกท่านอยากลองฟังหรือไม่?”
ซูเมิ่งแกล้งหยุดพูด พอนางเห็นท่าทีราวจะฆ่าตนก็ยกยิ้มบางเบา ก่อนเอ่ยเสียงไม่ดังไม่เบา
“หนึ่ง คนร้ายก่อคดีคนเดียว ต้องเป็นสตรีหรือไม่ก็บุรุษที่รูปร่างไม่ใหญ่มากติดออกผอมบางและไม่มีวรยุทธ์…”
“เดี๋ยวก่อน!! เจ้าอย่าได้เดามั่วนะ! เหตุใดต้องเป็นแบบนั้นด้วย" รองหัวหน้าเซียวเอ่ยขัด
“ที่เป็นอย่างนั้นเพราะ เหยื่อทุกรายตอนเกิดเหตุจะอยู่คนเดียว และทุกคนล้วนไม่มีวรยุทธ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น คุณชายหยางเจี้ยนเหยื่อรายที่ห้าซึ่งจากคำของบ่าวที่รับใช้ติดตัวเขาบอกว่า ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เหยื่อจะไปหาหญิงสาวนางหนึ่งที่เเถวนั้นเป็นประจำซึ่งทุกครั้งจะไม่ให้เขาไปด้วย และวันที่เกิดเหตุก็เช่นกัน คนร้ายติดตามสังเกตเหยื่อจนรู้ว่าเวลาเหยื่ออย่างแน่ชัดและเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อลงมือ แต่วันนั้นเป็นโชคดีของเหยื่อที่บ่าวผู้ติดตามมีเหตุให้ต้องหาเจ้านายตนก่อนเวลาจึงทำให้คนร้ายก่อคดีไม่สำเร็จ”
มีหลายคนอ้าปากพะงาบ ๆอยากแย้งนางใจแทบขาดแต่ก็จนด้วยเหตุผลจึงได้แต่หุบปากนิ่ง
“ข้าว่าที่ช่างหลินพูดมาก็มีเหตุผล มิสู้ลองนำลักษณะคนร้ายไปค้นหาดูโดยเฉพาะคนที่เข้าเมืองซีเปียนในช่วงนี้”
หัวหน้ามือปราบกู่เอ่ยขึ้นก่อนหันไปสบตากับซูเมิ่ง นัยน์ตานั้นดูอบอุ่น ทำเอาเจ้าตัวหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก
…ก็นางไม่ค่อยได้รับสายตาแบบนี้นี่นา ชาติก่อนบุพการีก็ตายตั้งแต่นางยังเด็ก ชาตินี้ก็ยังกลับบ้านไม่ได้ ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวหัวใจ หากท่านพ่อของไป๋ซูเมิ่งเจ้าของร่างมีสายตาอบอุ่นแบบท่านหัวหน้ามือปราบกู่ก็คงจะดี
ซูเมิ่งสะบัดหัวไล่ความคิดเหล่านั้นทิ้งไป นางกลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง นางยิ้มส่งคืนก่อนรีบตอบ
“ใจเย็นก่อนขอรับท่านเจ้าเมือง ข้ายังมีลักษณะคนร้ายอื่นอีก”
นางหมุนกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคน “คนร้ายต้องเป็นคนที่ไม่มีคนสนิทด้วยมากนัก ชอบอยู่คนเดียว และอดีตอาจเคยเป็นบ่าวคอยรับใช้คุณชายที่มีลักษณะนิสัยประมาณเดียวกับเหยื่อผู้ตาย หรือเป็นชายที่ถูกกระทำเป็นเวลานานจากคนในครอบครัวหรือจากคนที่ตนเองไม่สามารถตอบโต้ได้”
“ข้ามีข้อสงสัย ทำไมเจ้าถึงระบุว่าอดีตเคยเป็นบ่าว หมายความว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้วงั้นรึ” ท่านหัวหน้ามือปราบกู่เอ่ย
“ใช่…” ซูเมิ่งยังเอ่ยไม่จบฉิงอีก็เเทรกขึ้น
“เพราะว่าหากเป็นบ่าวจะไม่สามารถก่อคดีได้สะดวก และไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระโดยเฉพาะการก่อคดีข้ามเมืองเช่นนี้ ใช่หรือไม่?”
ซูเมิ่งพยักหน้าให้ทุกคนหลังนางสบตาลึกล้ำนั่นของเจ้าของคำพูดเมื่อครู่
“งั้นข้าจะนำคนไปตรวจสอบตามที่เจ้าบอกก่อน ข้าขอตัว!”
หัวหน้ามือปราบกู่พูดจบก็หมุนกายออกจากห้องไปพร้อมกับลูกน้องหลายคน
ซูเมิ่งกลับมานั่งที่ นางพูดเท่าที่ตอนนี้นางรู้ออกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็หน้าที่พวกเขาแล้ว
…ขอให้หาตัวคนร้ายพบเถอะ นางคันมืออยากสัมผัสเงินนับพันตำลึงแล้ว
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







