เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 13 (ต่อ)
เขาหันไปกล่าวกับทุกคน นอกจากคนของมือปราบเมืองซีเปียนและเมืองตงเปียนที่เขานำมาแล้วยังมีคนของเมืองหนานเปียนอยู่ด้วย
“งั้นท่านคงให้กระดาษในมือท่านแก่ข้าได้แล้วมั้งขอรับ เพราะว่าหากเรายังจับคนร้ายไม่ได้ก็คงไม่รู้ว่าใครจะชนะพนัน เอ หากท่านไม่ให้ข้าจะคิดว่าท่านจงใจไม่ต้องการหาคนร้ายเจอเพราะกลัวแพ้นะขอรับ”
พอซูเมิ่งพูดจบคนเกือบหมดห้องก็พากันจ้องไปที่มือปราบเซียวเขม็ง
“นำไปสิ ข้าต้องการให้หาคนร้ายให้พบอยู่แล้ว”
มือปราบเซียวรีบยื่นกระดาษที่มีข้อมูลให้ซูเมิ่ง พอนางได้สิ่งที่ตนต้องการก็รีบนำไปวางบนโต๊ะบริเวณที่ว่าง เลี่ยงหวงรีบเดินตามนางมานั่งข้าง ๆอาสาเป็นผู้ช่วยให้ ส่วนคนอื่นในห้องหลังจากจบเรื่องสนุกก็กลับไปเคร่งเครียดดังเดิม ห้องประชุมขนาดเล็กนี้มีคนเข้าออกแทบจะตลอดเวลา เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามนางเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษก็สบตากับฉิงอีที่เหมือนมองนางอยู่มาสักพักแล้ว
…เขาเข้ามาตั้งเเต่เมื่อไหร่ แล้วมองนางด้วยเหตุใด แววตาเขานั้นดูเคลือบเเคลงสงสัยบางอย่าง
“คารวะท่านรองหัวหน้ามือปราบฉิงอีขอรับ”
ซูเมิ่งเอ่ยขึ้น ฉิงอีหยักหน้าเชิงรับก่อนเดินเข้ามาทางนาง “เจ้ากำลังเขียนอะไร เอาให้ข้าดูหน่อย”
ซูเมิ่งก้มหน้ามองกระดาษที่ตนกำลังอ่านทบทวนซึ่งเป็นลายมือเลี่ยงหวงที่เขียนตามคำบอกนาง
…เขาจะมาไม้ไหนกัน อยู่ดีดีก็มาขอดู นางได้เเต่ตะขิดตะขวงใจแต่ก็ต้องส่งกระดาษให้
“อืม นี่ลายมือเจ้างั้นรึ ดูมั่นคงแต่ก็แฝงความอ่อนโยน”
ฉิงอีเงยสบสายตาชายที่เห็นใบหน้าเพียงเสี้ยวหน้า ผิวขาวราวหิมะช่างเข้ากับสีของหน้ากากทำให้ดูโดดเด่นน่ามองประหลาด
“ขอบคุณที่เอ่ยชมขอรับ นั่นลายมือข้าเอง”
เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้น บนใบหน้าขวยเขิน …นั่นเป็นคำชมจากท่านฉิงอีเชียวนะ มือปราบดาวรุ่งแห่งเมืองหลวง คนที่เขายึดเป็นต้นเเบบ คนที่ทำให้เขาอยากเป็นมือปราบ
ฉิงอียิ้มค้างมองไปทางเลี่ยงหวง
“ข้าเขียนไม่คล่องน่ะ แล้วก็ได้ท่านมือปราบเลี่ยงหวงช่วยเขียนให้” ซูเมิ่งเอ่ย
…อย่าว่าเเต่เขียนคล่องเลย นางโตที่ต่างประเทศขนาดเขียนตัวอักษรจีนในชาติที่แล้วนางยังยากเลยแต่ก็พอเขียนได้ นี่ตัวอักษรจีนโบราณเชียวนะ แค่นางอ่านออกถือว่าพยายามมากแล้ว ตัวอักษรจีนโบราณที่เขียนด้วยพู่กันล่าสุดบิดเบี้ยวจนแทบอ่านไม่ออก ใครเห็นเป็นต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่
“อ่อ แล้วนี่ที่เจ้าเขียนคือ…”
“เป็นสิ่งที่ข้าจะนำไปถามท่านหัวหน้ามือปราบกู่น่ะขอรับ”
พูดจบคนที่อยู่ในบทสนทนาก็เดินเข้า
“ถามข้างั้นรึ?” กู่เทียนหลิวเดินเข้ามาใบหน้าแฝงความฉงน
“ใช่ขอรับ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างตกหล่นไป…”
ซูเมิ่งเดินเข้าไปหากู่เทียนหลิว นางยื่นกระดาษให้ดูซึ่งจดข้อมูลของคนที่เข้าออกเมืองซีเปียนในช่วงนี้นับตั้งแต่วันที่เหยื่อรายที่สี่ถูกฆ่าและมีข้อบ่งชี้ว่าต่อไปเป้าหมายอยู่ที่เมืองนี้
“จากที่ข้าดูส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าที่เดินทางมาจากเมืองอื่น ๆซึ่งมากันทีหลายสิบชีวิต มีทั้งบ่าวรับใช้ บ่าวคนขับรถม้า รวมถึงมีลูกเมียด้วย และนอกจากนี้ยังมีชาวเมืองทั่วไปที่เข้าเมืองเพื่อมาทำธุระด้วย”
ในรายงานที่กู่เทียนหลิวนำมาให้นางนั้นถือว่าละเอียดมาก เพราะนอกจากจะลงวันที่ที่แต่ละคนเข้าเมืองแล้ว ยังลงจำนวนคนในแต่ละกลุ่ม รวมถึงชื่อและรายละเอียดเล็ก ๆน้อย ๆมาด้วย
“ใช่ ข้ารับรองได้ว่าทุกขบวนถูกข้าจดบันทึกไว้หมดแล้ว”
กู่เทียนหลิวพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเพราะเรื่องนี้มีการตรวจสอบหลายรอบแล้ว รถม้าทุกขบวนต้องถูกลงบันทึกไว้ จะมีเพียงในช่วงสองวันเเรกเท่านั้นที่เป็นการตรวจสอบย้อนหลัง เพราะว่าที่เมืองซีเปียนจะได้รับข่าวว่าคนร้ายมุ่งหน้าต่อไปมาที่นี่ก็ล่วงเลยสองวันหลังจากเกิดเหตุแล้ว เนื่องด้วยการเดินทางระหว่างเมืองใช้เวลาประมาณสองวัน
“แล้วช่วงวันเเรก ๆท่านทำการตรวจสอบอย่างไรหรือ?”
ระหว่างที่นางเอ่ยฉิงอีก็เดินเข้ามา เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าชายลึกลับคนนี้ล่วงรู้อะไรจากการเเค่อ่านบันทึกการเข้าออกเมือง มือปราบส่วนใหญ่ต้องออกไปดูสถานการณ์จริง สอบถามพยาน ลงมือค้นหาถึงจะได้เบาะเเสเพิ่ม แต่นี่เขาเห็นว่าเจ้าหนุ่มคนนี้วัน ๆเอาแต่นั่งจ้องกระดาษ เอะอะอะไรก็จะขอดูบันทึก
“เนื่องจากปกติการเข้าเมืองจะมีการลงบันทึกจำนวนขบวนคนที่เข้าเมืองอยู่แล้ว โดยให้ตัวแทนในแต่ละขบวนลง ข้าจึงส่งคนไปตามรายชื่อและสอบถามรายละเอียดเเทนและบันทึกมาอย่างที่เจ้าเห็น”
ซูเมิ่งพยักหน้า นางชี้นิ้วไปรายชื่อที่นางวงไว้
“ข้าคิดว่าทั้งแปดขบวนนี้อาจบันทึกคนในขบวนตกหล่นไป”
ขบวนที่วงไว้คือขบวนของชาวเมืองที่เดินทางเข้ามาทำธุระส่วนใหญ่ในช่วงสองวันแรก มีเพียงคนที่เดินทางโดยใช้ม้า และชาวเมืองธรรมดาอีกสี่ขบวนที่นางไม่ได้วงไว้
ซูเมิ่งเห็นว่าทุกคนดูไม่เชื่อในสิ่งที่นางเอ่ยจึงรีบเสริม
“เนื่องจากทั้งแปดขบวนนี้เดินทางโดยใช้รถม้ามีจำนวนคนไม่ต่ำกว่าสองคนในขบวน มีการบันทึกนามแต่ละคนไว้และลงข้อมูลไว้เช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งบ่าวก็ถูกลงไว้…เเต่ทั้งแปดขบวนนี้มีสิ่งที่ต่างจากสี่ขบวนที่ข้าไม่ได้เน้นไว้ นั่นก็คือ ไม่มีคนไหนในขบวนที่บันทึกว่าเป็นผู้ขับรถม้า แน่นอนว่ารถแต่ละคันต้องมีคนขับอยู่แล้วใช่หรือไม่”
ซูเมิ่งเห็นข้อนี้จากการที่สี่ขบวนที่นางไม่ได้วงล้วนมีเขียนไว้ว่าบ่าวคนไหนขับรถม้า แต่อีกแปดขบวนนี้ไม่มีเลย
“อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนี้ ข้าน้อยอธิบายได้ขอรับ”
เป็นชายลูกน้องกู่เทียนหลิวที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้น
“ทั้งเเปดขบวนนี้เดินทางโดยจ้างรถรับจ้างขอรับ เนื่องจากรายชื่อที่ลงไว้เป็นตัวแทนส่วนใหญ่จะเป็นชาวเมืองที่เดินทางมาไม่ใช่คนขับรถจ้าง ทางเราจึงไม่ได้ตรวจสอบไปถึงนั่นได้ขอรับ”
“รถม้ารับจ้างงั้นหรือ?”
ซูเมิ่งยกมือขึ้นกุมคางตนเองอย่างคนครุ่นคิด “งั้นมีศูนย์รถม้าหรือไม่ เอ่อ ข้าหมายถึงเเหล่งพักรถม้าหรือที่ที่มีรถม้ารับจ้างรวมกันเยอะ ๆน่ะ”
“มีขอรับ เป็นเเหล่งพักรถม้า เป็นจุดจ้างรถม้าด้วย”
“ข้าคิดว่าอาจต้องไปตรวจสอบที่นั่นสักหน่อย”
พอซูเมิ่งพูดจบ ทั้งกู่เทียนหลิวและฉิงอีก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกนางและลูกน้องของกู่เทียนหลิวสามสี่คนก็มุ่งหน้าไปที่โรงรับจ้างรถม้าทันที ไปถึงกู่เทียนหลิวก็สั่งให้คนดูเเลโรงรับจ้างรถม้าเรียกคนรับจ้างขับรถม้าทั้งหมดมา พวกเขากระจายกำลังตรวจสอบคนพบว่าทุกคนมีหลักฐานที่อยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุกับคุณชายหยางเจี้ยน และพอลองนำลักษณะคนร้ายที่ซูเมิ่งบอกไว้ก่อนหน้ามาเทียบก็ไม่มีใครตรงเลยสักคน
พอซูเมิ่งเห็นดังนั้นนางก็ไม่คิดล้มเลิก เพราะนางค่อนข้างมั่นใจในผลที่ตนวิเคราะห์ไว้ …มันต้องมีตกหล่นตรงไหนสักเเห่งเป็นแน่
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ? ว่าคนรับจ้างขับรถม้ามีแค่นี้”
ซูเมิ่งหันไปถามคนดูเเลโรงรับจ้างที่ตัวสั่นเทิ้ม ในใจเขาทั้งงุนงงสับสนและหวาดหวั่นที่อยู่ดี ๆมีคนของมือปราบมาขอตรวจค้น
“มีเท่านี้ขอ...รับ ทุกห้องไม่มีคนแล้ว มีเท่านี้ขอรับ”
ฉิงอีที่ถือโอกาสตามช่างหลินมาด้วยละสายตาจากเถ้าแก่คนดูเเลโรงรถม้ารับจ้าง เขาหันไปมองเหล่าคนรับจ้างที่ยืนเรียงเบื้องหน้าพวกเขา มีบางคนยังใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยด้วยซ้ำ เขาไล่สายตาจนไปถึงชายคนหนึ่งยืนตัวสั่นยิ่งกว่าใคร ปากพะงาบ ๆอ้าหุบหลายครั้ง มือสองข้างกำเเน่น
“เจ้าคนนั้นน่ะ!”
ฉิงอีพยักหน้าให้ลูกน้องของกู่เทียนหลิวคนหนึ่งเข้าจับชายคนนั้นออกมา พาเขาออกมาจากกลุ่มคนรับจ้างมาหยุดยืนตรงหน้าฉิงอีและซูเมิ่ง ขาสองข้างเขาก็อ่อนแรง ล้มลงเข่ากระเเทกพื้น แต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บเพราะตอนนี้ใจเขาทั้งหวาดหวั่นทั้งกลัวจนเเทบอยากวิ่งหนี
“ข้า ๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดนะขอรับ ข้าเปล่า ข้าเปล่า!”
“เจ้าทำอะไรผิดมางั้นรึ? มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาให้หมด”
ฉิงอีใช้น้ำเสียงดังกว่าปกติคาดคั้น
ชายคนที่ฉิงอีให้จับออกมานั้นรีบเงยหน้า
“ข้าเปล่าขอรับ ข้าแค่อยากจะบอกว่ายังมีคนขับรถม้าอีกคนขอรับ พักอยู่ห้องข้าง ๆข้าน้อย”
“งั้นเดี๋ยวข้าน้อยจะรีบไปเอาเขาออกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ ไปสิ!”
คำสุดท้ายเถ้าแก่รีบหันไปตะคอกบอกบ่าวข้างกายตน เขาเพิ่งบอกว่าเอาคนออกมาหมดแล้วแท้ ๆ นี่กลับยังมีเหลืออยู่หักหน้าตนจนได้
“ไม่ทันแล้วขอรับ ตอน...ตอนข้าน้อยออกมาหน้าห้องช่วงที่เถ้าแก่บอกให้ออกมารวมกันเพราะมีมือปราบมา เจ้านั่นมันก็ออกมานอกห้องพอดีแต่ไม่ได้ตรงมาที่นี่ เดินออกประตูหลังไปแล้วขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! เลี่ยงหวง!นำคนออกไปค้นหารอบ ๆจับคนที่น่าสงสัยมาให้หมด”
กู่เทียนหลิวรีบออกคำสั่ง ส่วนซูเมิ่งก็เดินเข้าไปหาชายที่นั่งอยู่บนพื้น
“เจ้ารู้จักชายคนนั้นรึ?”
ชายขับรถม้าเงยหน้ามองซูเมิ่ง วาบหนึ่งที่เขาเผลอสบตารู้สึกเหมือนถูกอ่านใจจึงรับหันหลบสายตาอย่างเร็ว
“ปะเปล่าขอรับ เขาพักอยู่ข้างห้องข้าน้อยเเต่ถึงกระนั้นก็ไม่ค่อยได้พบกันเท่าไร เคยเจอผ่าน ๆตอนเข้าออกห้องเท่านั้น เอ่อ เขาน่าจะนามชุนกระมัง เขาไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไรนัก มักจะออกไปข้างนอกแต่เช้าและกลับมามื้อค่ำทุกวันขอรับ มื้อเย็นก็จะซื้อจากข้างนอกเข้าไปกินในห้องไม่เคยเจอที่โรงอาหารสักครา”
“เขาทำเเบบนั้นทุกวันเลยหรือ?”
ซูเมิ่งนิ่งคิดอะไรในหัวสักครู่ก่อนเอ่ย
“ใช่ขอรับ ข้าน้อยเห็นชุนเข้าและออกห้องแบบนี้ทุกวัน และแทบจะเป็นเวลาเดิม มีเพียงสองสามวันมานี้ที่อยู่ในห้องทั้งวัน พวกข้าน้อยเองยังเเปลกใจแต่ก็ไม่มีใครเคยถามเขาขอรับ”
พอทุกคนได้ยินดังนั้นก็นึกถึงลักษณะนิสัยคนร้ายที่ซูเมิ่งเคยกล่าวไว้
“ชุนเป็นชายร่างเล็กใช่หรือไม่?” กู่เทียนหลิวเอ่ยขึ้น
“ใช่ ๆขอรับ ผอมบางที่สุดในคนขับขับรถม้าที่ข้าน้อยเคยเห็นขอรับ แต่ก็คล่องแคล่วว่องไวดีทีเดียวขอรับ”
กู่เทียนหลิวหันไปสั่งให้ลูกน้องนำกำลังคนไปตรวจสอบห้องพักของคนขับรถม้าทุกห้องเน้นโดยเฉพาะห้องของชุน เขาสอบถามลักษณะอื่นของชุนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เวลาผ่านไปจนท้องฟ้ามืดลงพวกนางจึงเดินทางกลับที่ว่าการแต่ทิ้งคนไว้สังเกตการณ์ที่โรงรถม้ารับจ้างพร้อมสั่งให้ปิดให้บริการชั่วคราว ท่านกู่เทียนหลิวขอตัวไปรายงานผลส่วนนาง เลี่ยงหวง และฉิงอีก็เดินไปห้องประชุมเล็ก
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







