แชร์

บทที่ 14

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 20:56:28

#####บทที่ 14

            ตอนนี้เป็นยามซื่อ กู่เทียนหลิวจึงเดินเข้ามาพร้อมกับท่านเจ้าเมืองและคนอื่นอีกหลายคน รวมถึงมือปราบเซียวที่เดินเข้ามาไม่แม้จะมองมาที่ซูเมิ่ง กู่เทียนหลิวมองสบตากับซูเมิ่งที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษที่นางกำลังไล่ทบทวนรายละเอียดใหม่อีกครั้ง

            “ยังหาตัวคนขับรถม้าชุนไม่เจอ คาดว่าคงรู้ตัวและซ่อนตัวเป็นที่เรียบร้อย”

            น้ำเสียงกู่เทียนหลิวแฝงความเหนื่อยล้าแต่ก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยน

            “นี่ไม่เท่ากับเราต้องเริ่มต้นใหม่หรอกหรือเนี่ย”

            เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังมาก

            …ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเพิ่งได้ดีใจที่สามารถระบุตัวคนร้ายได้แล้ว แต่ความหวังนั้นก็พลันแตกสลายอีกครา 

            ยกเว้นเพียงซูเมิ่งที่ใบหน้าไร้ความกังวลเช่นคนอื่น หลังจากที่นางนั่งไล่ดูลักษณะการก่อคดีทั้งหมดอย่างละเอียดอีกคราเพราะนึกสงสัยบางอย่างหลังจากที่ได้ฟังคำให้การของคนขับรถม้า และตอนนี้นางก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            “ไม่หรอก ข้าน้อยมีเเผนจับคนร้ายมาเสนอขอรับ”

            ทุกคนหันมามองที่ชายร่างบางซึ่งสวมหน้ากากส่งเสริมให้ดูลึกลับน่าค้นหา ตอนนี้ในสายตาของพวกเขาไร้ซึ่งแววดูถูกเหยียดหยามเช่นเดิมแล้ว เเต่เต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังแทน

            “จากที่ได้ฟังคนขับรถม้าข้างห้องบอกว่าชุนจะทำอะไรเหมือนเดิมทุกวันทั้งเวลาเข้าหรือออกห้อง และพฤติกรรมอื่น ๆเหมือนเดิม พอนำมาดูร่วมกับลักษณะการก่อคดีกับเหยื่อทั้งห้าคนที่มีรูปแบบเหมือนกันทุกศพคือ หลังใช้มีดปาดคอให้เหยื่อเสียชีวิตแล้ว ทำร้ายเหยื่อจากนั้นจะจัดให้เหยื่อนอนหงายมือวางข้างตัวทุกรายมิมีผิดเพี้ยน นั่นทำให้ข้าน้อยสรุปได้ว่าคนร้ายมีนิสัยรักความสมบูรณ์แบบ แต่ในคดีที่ห้าที่เหยื่อคือคุณชายหยางเจี้ยนนั้นเขาทำพลาดซึ่งถือเป็นการทำลายความสมบูรณ์แบบของตนเอง”

            ซูเมิ่งหยุดให้ทุกคนคิดตามนางให้ทัน ก่อนเอ่ยถาม

            “พวกท่านคิดว่า หากท่านคือคนที่มีลักษนิสัยรักความสมบูรณ์แบบ แต่ทำงานที่ตนเองภาคภูมิใจนักหนาว่าไร้ที่ติผิดพลาดท่านจะรู้สึกอย่างไร” 

            นางมองไล่ไปทีละคน ถามคำถามอย่างไม่เจาะจงใคร

            “ต้องรู้สึกแย่มาก ๆ ผิดหวังกับตนเอง และต้องหาทางเเก้ไข” 

            ฉิงอีเอ่ยขึ้น พอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นนางก็พยักหน้า

            “ใช่แล้ว เขาต้องหาทางเเก้ไขสิ่งที่ตนเองทำพลาดแน่นอน ดังนั้นข้าคาดว่าเหยื่อคนต่อไปที่ชุนจะลงมือก็คือคุณชายหยางเจี้ยนเช่นเดิมเพื่อเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดของตน”

            นางเอ่ยน้ำเสียงสงบ พอพวกเขาได้ฟังก็เข้าใจถึงสิ่งที่ซูเมิ่งต้องการจะสื่อ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ามันขัดกับหลักความจริงมากอยู่ หากเขาเป็นคนร้ายคงไม่โง่เขลาขนาดกลับมาลงมือกับเหยื่อคนเดิมหรอกเพราะมีโอกาสถูกจับได้สูงมาก

            “เจ้านำหลักการใดถึงมาเดาว่าคนร้ายจะกลับมาฆ่าคุณชายหยางเจี้ยนอีกครั้ง ข้าไม่เห็นด้วยกับการคาดเดาของเจ้า” 

            มือปราบเซียวเอ่ยเสียงแข็ง ที่เขาเอ่ยขัดมิใช่กลัวว่าจะจับคนร้ายได้แล้วเขาจะเเพ้พนัน แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนร้ายย้อนกลับมาฆ่าเหยื่อคนเดิมอย่างไม่คิดกลัวถูกจับเพียงเพราะเเค่เป็นคนรักความสมบูรณ์แบบ

            “ข้าบอกแล้วว่าข้าเพียงเสนอเท่านั้น ส่วนพวกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยว” 

            นางเดินกลับไปที่หน้ากองกระดาษก่อนนั่งลง นางก้มหน้าขีด ๆเขียน ๆไม่สนใจใคร เวลาผ่านไปกว่าเค่อที่ห้องเงียบกริบไร้เสียใด ก่อนที่เสียงหนาของฉิงอีจะเอ่ยขึ้น

            “ข้าเชื่อช่างหลิน”

            “ข้าเช่นกัน” กู่เทียนหลิวถอนหายใจแรงก่อนเอ่ย

            “งั้นตามนี้ ข้าหวังว่าเราจะจับคนร้ายได้เร็ว ๆเรื่องนี้ต้องลำบากท่านกู่แล้ว” 

            ท่านเจ้าเมืองต่งเอ่ยขึ้น เขามองไปที่ซูเมิ่งวาบหนึ่งนัยน์ตาลึกล้ำแววตาอ่านยากแล้วหมุนตัวเดินออกไปพร้อมคนติดตามสองคนเดิม

            “งั้นข้าขอตัวก่อน คงต้องขอความร่วมมือกับคุณชายหยางเจี้ยน หากข้าได้ความแล้วจะกลับมาแจ้งท่านแล้วกัน” 

            กู่เทียนหลิวกล่าวบอกฉิงอีที่แม้ตำเเหน่งตนจะใหญ่กว่าแต่หากเทียบกันแล้วฉิงอีกลับมีอำนาจมากกว่าเพราะเขาถือว่าเป็นมือปราบอนาคตไกลจากเมืองหลวงและได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มากพอสมควร

            ซูเมิ่งหยักยิ้มมุมปากบางเบาทั้งที่ยังก้มหน้าวาดรูปทั่วไปอย่างเดิม ที่นางเสแสร้งขีด ๆเขียน ๆเพื่อให้หลุดออกจากความสนใจทุกคนเท่านั้น เอาจริงคือนางก็เงี่ยหูรอฟังคำตอบอยู่ตลอดนั่นเเหละ

            เลยยามซื่อมาเเล้วซูเมิ่งเพิ่งเข้ามาในห้อง วันนี้นางตื่นมาก็ทานข้าวเที่ยงพอดีเพราะวันนี้ไม่มีใครไปปลุกนาง และด้วยความที่เมื่อวานนางนอนดึกมากจึงตื่นสายเป็นธรรมดา นางคาดเดาไว้ว่าป่านนี้ทางมือปราบคงวางแผนจับกุมคนร้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง แต่มีบางอย่างที่นางคาดไม่ถึงเกี่ยวโยงมาถึงนางเช่นกัน!

            “เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย!? คนของทางการก็มีตั้งมากมายข้าไม่ยอมเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย”

            ตอนนางเข้ามาท่านหัวหน้ามือปราบกู่ก็เดินเข้ามาคุยกับนางเรื่องเเผนที่วางไว้ทั้งหมด ซึ่งในแผนนั้นก็มีนางซึ่งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลายเป็นคนที่ต้องสวมรอยเป็นหยางเจี้ยนล่อจับคนร้ายซะงั้น โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าซูเมิ่งมีขนาดตัวใกล้เคียงกับหยางเจี้ยน คนในกองปราบส่วนใหญ่เป็นคนมีวรยุทธิ์ทั้งนั้นกลัวคนร้ายจะไหวตัวทัน และที่สำคัญนางก็เป็นคนจุดประกายแผนการนี้ขึ้นมาหรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือนางต้องรับผิดชอบนั่นเอง

            …หึ นี่พวกเขาคิดว่านางเป็นคนดีมากหรือไง ที่นางมาช่วยทั้งหมดเป็นเพราะเงินหรอกเถอะ

            ชาตินี้นางตั้งใจไว้ว่าอยากจะใช้ชีวิตเยี่ยงคนหนูธรรมดาทั่วไป หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากมาเกี่ยวข้องกับเรื่องคดีนี้นักหรอกหากไม่ติดว่าการกลับบ้านนั้นต้องใช้เงิน และหนทางนี้ก็เป็นทางที่ได้เงินไวดีนางถึงยอมสอดตัวเข้ามา  คนเรายิ่งหนีสิ่งใดเรื่องนั้นเหมือนยิ่งวิ่งเข้าหาจริง ๆ

            …ชีวิตคุณหนูธรรมดาของนางนั้น นางไม่อยากให้มีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงถึงพยายามหาทางกลับบ้านเอง ไม่อยากบอกกับทางการเพราะนางก็ไม่รู้เรื่องอันใดมากนักเกี่ยวตัวคุณหนูตระกูลไป๋นี้บอกไปใครเขาจะเชื่อกัน นางกะไว้ว่าหลังจากได้เงินก้อนนี้แล้วนางจะจ้างรถม้ารับจ้างสักคันให้ไปส่งที่เมืองหลวงเสียเลย ไปถึงที่นั่นละค่อยคิดอีกทีว่าจะกลับตระกูลไป๋อย่างไร

            “พวกข้าไปคุยกับคุณชายหยางเจี้ยนแล้วเขาไม่ยอมเป็นเหยื่อล่อให้ทางการ ข้าถึงได้เสนอแผนว่าให้เขาช่วยเพียงเล็กน้อยที่เหลือเดี๋ยวทางเราหาทางจับคนร้ายเอง และพวกข้าก็รับรองความปลอดภัยของเจ้าด้วย มีมือปราบติดตามเจ้าทุกฝีก้าวไม่มีอันตรายแน่นอน”

            กู่เทียนหลิวเอ่ยเรื่องนี้เพราะคิดว่าที่ช่างหลินไม่ยอมทำงานนี้เพราะกลัวไม่ปลอดภัย แต่หารู้ไม่ว่าคนอย่างซูเมิ่งนั้นหากลัวเรื่องนั้นไม่

            …ชาติก่อนนางเป็นสายลับนะ เเค่ฆาตกรโรคจิตนั้นไม่ระคายมือนางอยู่แล้ว แต่ที่ซูเมิ่งไม่ทำเป็นเพราะว่าหน้าที่นั้นไม่ได้จำเป็นต้องใช้นางต่างหาก นางระดมหัวคิดไปตั้งเยอะไยต้องลงแรงอีกเล่าทั้งที่เงินก็ได้เท่าเดิม

            “เจ้าต้องการอะไรกล่าวมาเลยดีกว่า”

            ฉิงอีเอ่ยขึ้นหลังเขานิ่งมองอยู่นาน

            ซูเมิ่งหยักรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม …นั่นเเหละประเด็น!

            “จากที่บอกในประกาศว่าหากจับคนร้ายได้ทางการจะให้เงินพันตำลึงใช่หรือไม่ ข้าขอเพิ่มเป็นสองพันตำลึง แล้วข้าจะทำงานนี้แน่นอน ห้ามต่อลองหากไม่ตกลงท่านก็หาคนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนได้เลย”

            ซูเมิ่งพูดยังไม่ทันจบฉิงอีก็เอ่ยทันที

            “ตกลง เจ้าไปเตรียมตัวได้เเล้ว”

            ใบหน้าภายใต้หนากากขมวดคิ้วมองเขาปราดหนึ่ง

            …รีบตกลงเร็วไปไหม หระหรือว่านางพลาดเสียรู้ให้เขาเสียแล้ว! สองพันตำลึงนี่ถือว่าเยอะหรือน้อยกันนะสำหรับงานนี้ เพ้ย ทำไมก่อนหน้านางยังรู้สึกเหนือกว่าอยู่แล้วเชียว แต่ตอนนี้นางแทบอยากลงไปนอนดิ้นกับพื้นกัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

            ตอนนี้ซูเมิ่งนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ในห้องกินอาหารชั้นสองของหอกุ้ยหรงซึ่งเป็นสถานที่ที่หยางเจี้ยนมักมากินเป็นประจำ แผนล่อจันคนร้ายก็คือ พวกเขาจะให้หยางเจี้ยนที่อาการบาดเจ็บเริ่มหายแล้วเดินทางจากที่จวนตระกูลเย่มาที่หอกุ้ยหรงอย่างคราก่อนเกิดเรื่อง พอหยางเจี้ยนเข้ามาในห้องนี้แล้วก็สลับตัวกับนางที่นั่งรออยู่ก่อน โดยนางนั้นใส่เสื้อผ้าเหมือนหยางเจี้ยนแต่ต่างที่มีหมวกคุมหน้าไว้ จากนั้นนางต้องไปหาฟางเอ๋อที่เป็นคนโปรดของหยางเจี้ยนที่ถนนทิศประจิม และก็รอคนร้ายลงมือ โดยนางก็หวังว่าคนร้ายจะลงมือวันนี้นางจะได้ไม่ต้องมาปลอมตัวบ่อย ๆ

            ซูเมิ่งดำเนินตามแผนจนถึงถนนทิศประจิม นางเอ่ยไล่บ่าวรับใช้ที่ติดตามหยางเจี้ยนตัวปลอมอย่างนางให้ออกไปตามแผน นางเดินตามถนนไปเรื่อย ๆ สองหูเงี่ยฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัว นางเดินจนมาถึงซอยที่เกิดเหตุก่อนหน้าแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววคนร้าย นางเดินวนไปวนมาท้องก็เริ่มหิว ซูเมิ่งแวะซื้อซาลาเปาหนึ่งลูก หมั่นโถหนึ่งลูก แต่ในตอนที่นางกำลังดึงถุงเงินของหยางเจี้ยนที่เอวตนเองนั้นพลันมันก็หายวับไปกับมือ!

            นางมองตามหลังของเจ้าเด็กเหลือขอที่ฉกถุงเงินไปจากมือนางแล้ววิ่งหายไปในกลุ่มคน ซูเมิ่งยื่นซาลาเปาคืนเจ้าของร้านก่อนออกตัววิ่งตามไป นางวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาก็คลาดกับเจ้าเด็กขี้ขโมยนั่นเสียแล้ว ซูเมิ่งหยุดวิ่งกวาดสายตาหาร่างเล็ก

            …หึ มีหยุดรอนางเสียด้วย กลัวนางตามไม่ทันหรือไง นางว่าแล้วเชียวว่าเจ้าเด็กนี่ต้องเป็นนกต่อ

            “นั่นเจ้าเด็กเหลือขอเอาเงินข้ามาเสียดีดีนะ!” 

            ซูเมิ่งแสร้งตะโกนด้วยน้ำเสียงอย่างคนโกรธเสียเต็มประดาก่อนออกวิ่งตามเด็กคนนั้นไป วิ่งมาสักพักรอบข้างก็ไร้ผู้คนรวมถึงที่ปลายทางข้างหน้าก็ไร้เงาหัวเจ้าเด็กนกต่อนั่นเช่นกัน ทางข้างหน้าเป็นเเหล่งรวมขยะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง มีหลายกองที่เป็นเศษผักเน่า บริเวณนี้มีกำเเพงสูงกว่าที่อื่นจึงทำให้มีดูมืดกว่าเวลาจริง

            …ถือว่าคนร้ายมีรสนิยมในการเลือกสถานที่จัดการเหยื่อที่ดี

ซูเมิ่งเดินเข้าลึกขึ้นเรื่อย ๆ กองขยะที่มีความสูงราวอกนางซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตำแหน่งที่ซูเมิ่งเพิ่งเดินมาถึงก็กระจายออกพร้อมร่างคนร่างหนึ่งทุ่มใส่นางทั้งตัวทันที

            ผัวะ!!!

            ซูเมิ่งเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายทำให้ชุนที่พุ่งเข้ามาทั้งตัวตกลงไปบนพื้นจนเกิดเสียง นางถอยออกมาตั้งหลักพร้อมปัดตรงบริเวณที่ตัวของคนร้ายนามชุนเฉียดผ่านเมื่อครู่

            เมื่อครู่ต่อมรับกลิ่นที่จมูกนางแทบพัง …เพราะกลิ่นตัวเจ้านั่นร้ายเสียยิ่งกว่ากลิ่นขยะที่อยู่รอบ ๆเสียอีก

            ในสายตาของชุนนั้นเขามองซูเมิ่งด้วยความหวาดหวั่น เมื่อครู่เขาคลาดว่าจะสามารถล้มเหยื่อของตนได้แน่นอนเเล้วเชียว ทว่าเขากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า และยิ่งพอมองไปที่คุณชายหยางเจี้ยนก็ยิ่งตระหนกเพราะนอกจากจะไม่ตื่นกลัวเขาอย่างที่ควรจะเป็นแล้วยังมีท่าราวกับไม่มีเขายืนอยู่ตรงนี้อีกเล่า!

            “ย๊าาา” 

            ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งกรุ่นโกรธ ชายร่างเล็กแต่ก็ขนาดตัวใหญ่กว่าซูเมิ่งรีบลุกขึ้น กำมีดในมือให้มั่นก่อนวิ่งเข้าหาซูเมิ่งโดยใช้แรงทั้งหมดที่มี

            ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง นางรอจนชายในชุดแสนสกปรกขยับเข้าใกล้ในระยะที่เเขนด้านที่ถือมีดของชุนห่างจากหน้านางไม่กี่ชุ่น ซูเมิ่งเอื้อมมือจับแขนเสื้อข้างนั้นส่วนมือของนางอีกข้างก็เอื้อมไปจับสาบเสื้อดึงเฉียงเข้ามา ก่อนยกขาข้างเดียวกันสับไปที่ข้อพับของชุนทำให้เขาเสียการทรงตัวล้มลงตัวกระแทกพื้นอย่างแรง มีดที่ถืออยู่ก่อนหน้ากระเด็นหลุดมือ

            การตอบโต้ของนางเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงวาบหนึ่งเท่านั้นชุนก็ลงไปนอนมึนงงอยู่บนพื้นเสียแล้ว 

            เหล่ามือปราบที่ติดตามซูเมิ่งมาตลอดเพิ่งวิ่งเข้ามา เมื่อครู่พวกเขาเห็นเงาบางอย่างพุ่งออกมาจากกองขยะพวกเขาก็ผละจากที่ซ่อนวิ่งมาที่ช่างหลิน แต่พอมาถึงตัวก็เห็นคนร้ายที่พวกเขาเฝ้าแกะรอยหากำลังนอนอ้าปากพะงาบ ๆอยู่แทบเท้าเสียแล้ว 

            มือปราบสองคนเดินเข้าไปรวบตัวคนร้ายส่วนคนที่เดินเข้ามาหาซูเมิ่งคือรองหัวหน้ามือปราบอู๋หลวนซาน

            “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” 

            ซูเมิ่งหยุดเอามือที่นางจับคนร้ายเมื่อครู่เช็ดที่เสื้อผ้า หันไปส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ พอยกมือขึ้นมาดมก็ยังคงมีกลิ่นติดอยู่ดี

            “แล้วนี่ข้าต้องทำอะไรอีกไหม?”

            …ตัวเหม็นจะแย่เเล้ว นางอยากกลับห้องไปอาบน้ำล้างตัว ซูเมิ่งได้เเต่เอ่ยในใจ 

            …ไอ้ทนนั้นมันก็ทนได้ แต่ไม่ทนเสียยังจะดีกว่า เพราะไป ๆมา ๆนางเริ่มรู้สึกคันที่มือ แต่ก็อดกลั้นไว้ไม่ยกขึ้นมาเกา

            “ไม่มีอันใดแล้วท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะนำเรื่องไปรายงานทั้งหมดเอง”

            พอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นนางก็ผละจากไปทันที 

            สายตาของอู๋หลวนซานจับจ้องตามหลังซูเมิ่งไป ในหัวเขาครุ่นคิดสบสน

            …เจ้าเด็กลึกลับคนนี้เป็นใคร เหตุใดถึงได้มีเรื่องให้เขารู้สึกทึ่งได้ตลอดเวลา ทั้งทักษะการสืบคดี และยังท่าต่อสู้อันเเปลกพิศดานที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนั่นอีกเล่า พอมองไปที่ชายรูปร่างผอมบางเนื้อตัวมอมแมมก็พลันปล่อยลมหายใจออกอย่างโล่งอก 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status