เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 17 (ต่อ)
ไป๋ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดอย่างมิคิดปิดบัง ทำเอาฮูหยินของซือฉีที่มีฐานะเป็นไป๋ฮูหยินสายรองยื่นมือแตะเเขนก่อนเอ่ยขึ้น
“ใจเย็นก่อนพี่เฟยจิน ท่านแม่ทัพหย่งคังต้องจัดการได้แน่”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น ตระกูลไป๋คงไม่ต้องตกต่ำเพราะนังลูกตัวปัญหาหรอกกระมัง หึ”
เฟยจินเงยหน้ามองไปยังสามีของตนฝั่งตรงข้าม “เดี๋ยวนะงานจะเริ่มแล้วไยลู่ซานยังไม่มาเล่า เจ้าเห็นหรือไม่?
นางหันไปถามฮูหยินสายรองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คิ้วขมวดมุ่น
“ตอนพบท่านแม่ทัพเดินมากับท่านพี่ที่หน้าประตูวังก็พบเพียงเหิงซานแล้วเจ้าค่ะ ส่วนลู่ซานนั้นข้าไม่เห็นเลย”
“คงทำงานยังไม่เสร็จกระมังเจ้าคะ เดี๋ยวก็คงตามมา ท่านพี่เป็นคนตรงต่อเวลามากงานสำคัญเยี่ยงนี้คงไม่พลาด”
พอผู้เป็นมารดาได้ยินทั้งสองเอ่ยก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนก้มลงสนใจชาเขียวกลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้าแทน ตั้งแต่เข้าโถงมานางยังไม่เอ่ยทักทายใครเลยแม่กระทั่งเหล่าฮูหยินที่เป็นสหาย นั่นก็เพื่อเลี่ยงการถูกถามคำถามที่นางไม่แม้จะคิดเอ่ยถึง
หลังจากทุกคนต่างเข้ามานั่งประจำตำเเหน่งได้ไม่นาน เสียงขันทีก็ดังขึ้น
“ฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนมกุ้ยเฟย[10]เสด็จ”
สิ้นคำทุกคนก็ลุกขึ้นยืนยอบกายคำนับอย่างพร้อมเพรียง เหล่าผู้มาใหม่เดินเข้าไปข้างในสุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ เป็นเก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางเข้าและพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับแสดง
“นั่งลงเถิด วันนี้ข้ามิใช่เจ้าของงาน ทุกคนทำตัวตามสบายเถิด”
ฮ่องเต้อยู่ในชุดสีเหลืองทองอร่ามน่าเกรงขาม เขาเป็นบุรุษอายุราวสี่สิบเศษที่ใบหน้าออกใจดีมักมีรอยยิ้มเเต่งแต้มแทบทุกเวลา แต่เหล่าขุนนางต่างก็รู้ว่าภายใต้ใบหน้านี้เต็มไปด้วยความเด็ดขาดและความเจ้าเล่ห์ หากถูกจับได้ว่าฉ้อโกงบ้านเมืองจะต้องมีจุดจบที่ฆ่าล้างตระกูลทุกราย ทำให้ราชสำนักเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างทุกวันนี้
ส่วนฮองเฮาที่นั่งเคียงข้างฮ่องเต้วันนี้ดูงามสง่ากว่าผู้ใด นางสวมชุดเเดงลายหงส์บนหัวสวมเครื่องประดับประจำตำแหน่งไร้ผู้ใดเทียบเทียม ส่วนสนมกุ้ยเฟยที่นั่งอีกด้านของฮองเต้แต่ระดับต่ำลงมา นางนั่งยิ้มหวานไม่เอ่ยคำใดตั้งแต่เข้ามา ด้วยรู้ว่าวันนี้ตนมาเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นหาใช่ตัวเอกในงานไม่
ในส่วนของพิธีการดำเนินจนครบทุกคนก็ลงมือทานอาหารตรงหน้าทำให้ในห้องโถงไร้เสียงพูดคุยมีเพียงเสียงกระเบื้องกระทบกันบ้าง เวลาผ่านไปหลายเค่อ ผู้เป็นฮองเฮาเงยหน้ามองไปทางบุตรชายของตนผู้ดำรงตำเเหน่งไท่จื่อ ก่อนละสายตามองไปยังตำแหน่งที่นั่งของฝั่งสตรีมองหาใครบางคนซึ่งนางก็ไม่เห็นบุคคลคนนั้นดังคาด ริมฝีปากที่ทาชาดสีเเดงเพลิงพลันหยักยกขึ้น
“อืม ไป๋ฮูหยินคุณหนูซูเมิ่งไม่มาหรอกรึ ไยข้ามิเห็นนางเลย”
พอฮองเฮาพูดดังนั้นตำเเหน่งที่นั่งของสตรีตระกูลไป๋ก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมสายตาทันที ไป๋ฮูหยินเงยหน้าสบพระเนตรฮองเฮาด้วยใบหน้าซีดสลด
“อะเอ่อ …”
“ทูลฮองเฮา บุตรีของกระหม่อมป่วยหนักจึงไม่สามารถมาถวายพระพรฮองเฮาได้ขอรับ ขอพระองค์โปรดประทานอภัย” ไป๋หย่งคังรีบเอ่ยบอก
“เจ้าอย่าได้ถือสาเลย หวงโฮ่ว[11]”
มือหนายื่นมากุมมือฮองเฮาไว้ทำเอาเจ้าของมือบางใบหน้าขึ้นสีเเดงระเรื่อ
“ข้าหาได้กล่าวโทษไม่ เพียงแต่ข้ามิได้พบหน้าว่าที่สะใภ้ในอนาคตมาช้านาน จึงอดคิดถึงมิได้เท่านั้นเองเพคะ”
ฮองเฮากล่าวกับชายที่นั่งข้าง ๆด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ก่อนหันไปกล่าวกับไป๋หย่งคัง
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง ตามหมอหลวงไปดูอาการแล้วหรือ?”
“หมอประจำตระกูลสั่งต้มเทียบยาเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วง กระหม่อมทราบซึ้งใจแทนบุตรีของกระหม่อมยิ่งนัก"
น้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความหนักแน่นและความน่าเกรงขามสมกับตำแหน่งเเม่ทัพ ทั้งที่ในใจเขาหวาดหวั่นยิ่งนักเพราะจนป่านนี้ยังตามหาบุตรสาวตนเองไม่พบเลย เขายังเฝ้าคอยเบาะเเสจากหอสรรพสิ่งที่ตนจ้างไว้ ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงต้องปกปิดเรื่องที่ลูกสาวตนหายตัวไปอย่างเต็มความสามารถ
“คงอาการหนักมาก ข้าจะให้หมอหลวงคังไปตรวจอาการนางเสียหน่อย”
กล่าวเสร็จก็หันไปสั่งนางกำนัลข้างกายให้ไปตามหมอหลวงคังที่ทำหน้าที่ตรวจอาการเฉพาะฮองเฮาและฮ่องเต้มา
“ท่านแม่ทัพไป๋คงไม่เอ่ยปฏิเสธเราหรอกกระมัง”
ฮองเฮาที่พอเห็นไป๋หย่งคังทำท่าจะปฏิเสธก็รีบเอ่ยขึ้นทำให้เขาหุบปากลงทันใด ไป๋เหิงซานรีบก้าวมาคุกเข่าข้างกายพ่อของตนก่อนเอ่ยบอก
“พวกกระหม่อมตระกูลไป๋เทียวเสาะหาหมอเทวดามาดูอาการให้แล้วพะยะค่ะ ความกรุณาของฮองเฮานี้ล้ำค่ายิ่งนักไว้คราหน้าข้ากระหม่อมจะแทนคุณทดแทน แต่ครานี้เกรงว่าจะรับไว้มิได้พะยะค่ะ”
ไป๋เหิงซานโขกหัวลงเสียงดังสะท้อนทุกคนในโถงต่างหุบปากเงียบรอการตอบสนองจากคนเบื้องบน
“บังอาจ! ฮองเฮาอุตส่าห์ประทานหมอหลวงคังให้ไปดูอาการแต่พวกเจ้ากลับปฏิเสธ หรือว่าจะจริงดังที่ข่าวลือว่าไว้”
เป็นเสนาบดีกรมคลังผู้เป็นบิดาของจ้าวฮองเฮาเอ่ยขึ้น พอทุกคนได้ยินดังนั้นเสียงดังซุบซิบก็ดังกระจายไปทั่วทั้งโถงโดยหัวข้อสนทนาก็คือเรื่องที่เสนาบดีจ้าวริเริ่มเมื่อครู่
“ข่าวลือเรื่องอันใดกัน? ท่านเสนาบดีจ้าว”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ บนใบหน้าเริ่มฉายแววรำคาญ เขาเริ่มรู้สึกได้ว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เรื่องงานบ้านเมืองเขามิเคยผิดพลาดแต่เรื่องวังหลังนั้นเขาไม่ค่อยเข้ามายุ่ง เพราะให้อำนาจแก่ฮองเฮาเต็มสิบส่วน เเต่มองจากสถานการณ์ตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับตระกูลไป๋ซึ่งถือเป็นตระกูลแม่ทัพที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของอาณาจักรเขาจะไม่ยุ่งไม่ได้
“ถวายบังคมพะยะค่ะฝ่าบาท สองสามวันมานี้มีข่าวลือว่าเหตุที่ไม่มีใครเห็นคุณหนูซูเมิ่งมากว่าเดือนไม่ใช่เพราะป่วยหนัก แต่เป็นเพราะหายตัวไปล่ะพะยะค่ะ”
เสนาบดีกรมคลังจ้าวเอ่ยจบก็ลอบชำเลืองมองไปยังไป๋หย่งคังอย่างรู้สึกสาแก่ใจ ฝ่ายทางฮ่องเต้พอรู้แจ้งพลันเหลือบมองไปทางสองบุรุษรูปร่างผึ่งผายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า สายตามองคู่นั้นไร้ซึ่งความหย่ำเกรงต่อผู้ใดไร้แววความกังวลเผยออกมา
“จริงหรือท่านแม่ทัพไป๋?”
“มีข่าวลือนี้จริงพะยะค่ะ ไม่รู้ว่าผู้ใดตั้งใจปล่อยข่าวโคมลอยนี้ออกมา และปล่อยออกมาเพื่อเหตุอันใด”
ไป๋หย่งคังหันสบตาเสนาบดีจ้าวอย่างแฝงนัยสำคัญ ก่อนหันกลับมา
จ้าวฮองเฮารีบเอ่ยขึ้น ใบหน้าแฝงความตกใจไว้หลายส่วน
“มีข่าวลือนั่นจริงหรือ? ท่านเเม่ทัพไป๋อย่าได้กังวลไปเลย ซูเมิ่งก็เปรียบดังลูกสาวข้าเช่นกันข้าย่อมปกป้องนาง เอาเยี่ยงนี้หรือไม่ข้าจะให้หมอหลวงคังไปรักษานางซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นการยืนยันไปในตัวว่าข่าวลือนั่นมิเป็นความจริง ท่านพี่เห็นว่าวิธีนี้เป็นเช่นไรเพคะ”
ประโยคสุดท้ายนางหันมาถามบุรุษข้างเคียง พอคนถูกถามรับรู้ได้ถึงความหวังดีของฮองเฮาจึงพยักหน้าเห็นด้วย ครานี้ทั้งไป๋หย่งคังและไป๋เหิงซานคุมสีหน้าและท่าทางสงบนิ่งไม่ไหวเเล้ว เหงื่อแตกชุ่มหลัง ในหัวพวกเขาต่างคิดวนหาทางเเก้ไข ทว่าฮองเฮานั้นไม่หยุดคอย
“ต้องรบกวนหมอหลวงคังแล้ว”
เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวานหยด นางพยักหน้าเชิงคำสั่งให้หมอหลวงไปทำตามที่นางเอ่ย ทันใดนั้นประตูห้องโถงก็เปิดออกจากด้านนอก พร้อมเสียงเเหลมสูงของขันทีดังขึ้น
“คุณชายไป๋ลู่ซาน คุณหนูซูเมิ่งมาแล้ว”
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







