แชร์

บทที่ 18

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:01:43

#####บทที่ 18

            ประตูบานใหญ่ถูกขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูผลักเข้ามา สายตากระหายใคร่รู้ของทุกคนในโถงพุ่งไปที่ผู้มาใหม่อีกครั้ง คนเเรกที่เดินเข้ามาเป็นไป๋ลู่ซานคุณชายรองของตระกูลไป๋ เขาสวมชุดสีฟ้าเนื้อผ้าดีเงางามปักลายเมฆาสีเงินเข้าได้กับเข็มขัดหยกคุณภาพดี ทำให้ภาพรวมเขากลายเป็นคุณชายผู้เเสนอบอุ่น แต่ถึงรัศมีความงามจะสูงส่งเพียงใดแต่ทุกคนก็มองเพียงวาบเดียวก่อนรีบละสายตาจ้องไปยังบุคคลเบื้องหลัง

            ร่างโปร่งบางของสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดสีขาวบริสุทธิ์พริ้วไหว ภาพตรงหน้าทำให้ผู้มองแทบหยุดหายใจ ทันที่ได้เห็น…

            ริมฝีปากบาง ใบหน้าเรียวรูปไข่อ่อนหวานไม่ต่างจากมวลบุบผา ขนตางอนยาวราวปีกวิหค ผิวขาวดั่งหิมะ ใบหน้าผ่องเช่นนี้ช่างงดงามไร้ที่ติ แต่น่าเสียดาย…สตรีผู้นี้ทั่วทั้งใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดฝาด ริมฝีปากที่ควรเเดงระเรื่อกลับขาวซีดราวกับทั้งร่างของหญิงนางนี้ไร้เลือดหล่อเลี้ยง แล้วไหนจะอากัปกริยาที่เดินนั่นอีกล่ะ ดูไร้เรี่ยวแรงจนต้องมีบ่าวรับใช้นางหนึ่งคอยพยุงไม่ให้ร่างอันน่าทะนุถนอมนั้นล้มไปกับพื้น

            ผู้คนที่ได้เห็นภาพนั้นต่างพากันถอนหายใจไม่เว้นแม้เเต่ผู้สูงส่งที่สุดเเห่งแคว้น!

            ทั้งสามเดินบนทางตรงกลางที่เว้นไว้สำหรับการเเสดง พวกเขาเดินไปตรงหน้าไป๋หย่งคังและไป๋เหิงซานที่เบิกตาโพรงมองสตรีที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างตกตะลึง รอจนทั้งไป๋ลู่ซานและไป๋ซูเมิ่งทำความเคารพทั้งสองจึงได้สติ

            “ถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮาพะยะค่ะ”

            “ถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮาเพคะ” 

            ซูเมิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานติดจะแหบเล็กน้อย เสียงนางแผ่วเบาแต่ก็ได้ยินกันถ้วนทั่วเพราะภายในโถงเงียบกริบ 

            “หม่อมฉันสมควรได้รับโทษยิ่งนักที่มาสายเพคะ”

            พูดจบสตรีร่างบอบบางก็ยกมือสะบัดเบา ๆให้หลุดจากการพยุงของบ่าวรับใช้จนทำให้ร่างบางล้มลงคุกเข่ากับพื้นเสียงดังสะท้อน นางก้มหน้าแนบพื้นอย่างยอมรับผิด

            …แต่หารู้ไม่ว่าใบหน้าที่จ้องมองพื้นนั้นแววตามีเลศนัยด้วยใบหน้ายิ้มร้าย

            “ลุกขึ้นเถิด ไม่มีใครว่าเจ้าหรอก” 

            เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลดีแก่ซูเมิ่งอย่างมากเพราะมันคือการการันตีได้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาว่านางได้แน่นอน มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นการตบพระพักต์ฮองเต้ซึ่งไม่มีใครทำอยู่แล้ว

            ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นเชิดปรายคางน้อย ๆ เเผ่นหลังยืดตรงงามสง่า

            “อาการหม่อมฉันนั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเช่นนี้มานานหลายปี ไม่คาดเลยว่าแม้เเต่ในวันพระราชสมภพของพระองค์ซึ่งสำคัญยิ่งเช่นนี้พระองค์ยังทรงคิดถึงหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องขอบพระทัยฮองเฮายิ่งยวดเพคะที่ทรงเป็นห่วงเป็นใยหม่อมฉันถึงเพียงนี้” 

            แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความอิดโรยแต่รอยยิ้มที่ฉายออกมานั้นทำเอาหลายคนถึงกลับเผลอไผล ทว่าสตรีบนตำเเหน่งสูงสุดนั้นกลับรู้สึกตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง แววตาฉายแววดุดันขึ้นวาบหนึ่งอย่างมิเคยเป็นเพราะคำกล่าวนั้นของซูเมิ่ง

            …การได้ตำเเหน่งฮองเฮามาจนตอนนี้ต้องผ่านด่านทดสอบมากมายคำกล่าวเชิงแฝงของสตรีอายุไม่ถึงครึ่งของนางไยนางจะเเปลความไม่ออก

            หากไล่ทวนคำกล่าวของซูเมิ่งอย่างถี่ถ้วนจะรู้ได้ว่าคนพูดมีเจตนาเสียดสีนางอย่างเห็นได้ชัด สตรีที่สมควรถูกลักพาตัวไปตามเเผนที่นางและท่านพ่อนางวางไว้กลับยืนอยู่ตรงหน้าแถมยังกำลังย้อนรอยนางอีก!

            คำกล่าวนั้นหากเเปลความจะหมายถึงว่า อาการป่วยของตนก็มีมาตั้งนานเเล้วแต่ทำไมฮองเฮาถึงได้คิดจะช่วยเมื่อยามนี้ซึ่งประจวบเหมาะที่มีข่าวลือนี้ออกมา ซึ่งซูเมิ่งคิดไว้ว่าเเค่อยากลองโยนหินถามทางเพียงเท่านั้นซึ่งพอเห็นสีหน้าที่แม้เเสดงออกมาวาบเดียวนั้นนางก็รู้ทันทีว่าสมมุติฐานของตนเป็นจริง

            การที่นางถูกลักพาตัวรวมถึงเรื่องข่าวลือนี้ต้องมีฮองเฮาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อยเป็นแน่!!!

            พอจ้าวฮองเฮากดเปลวไฟที่ครุกรุ่นในอกลงได้ก็ยิ้มหวานก่อนเอ่ยขึ้น 

            “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไปนั่งประจำที่ก่อนเถอะเดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะหาว่าข้าใจร้ายบังคับคนป่วยให้มาร่วมงานเสียเปล่า ๆ”

            นางก้มหน้าลงรับคำฮองเฮา มุมปากหยักยก

            …ดูท่าคำพูดเมื่อครู่คนรับสารจะมองออกถึงเจตนาของนางถึงได้เอ่ยเช่นนี้

            นางเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรฮองเฮาโดยตรงก่อนเอ่ยเสียงหวาน 

            “หาไม่เพคะ แม้หม่อมฉันจะป่วยหนักเพียงใดก็ต้องมาถวายพระพรฮองเฮาให้ได้” 

            นางทิ้งระเบิดลูกใหญ่อีกครั้งก่อนหมุนตัวออกมา

            นางให้บ่าวรับใช้พาไปยังกลุ่มสตรีตระกูลไป๋ ซึ่งนางก็สบตากับแววตาดุดันของสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แววตานั้นช่างเต็มไปด้วยความเกลียดชังเเตกต่างจากที่นางคิดไว้ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

            นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนเข้าเมืองหลวงมาความทรงจำของซูเมิ่งคนเดิมถึงมีเเต่เรื่องที่เกี่ยวกับผู้เป็นบิดาและพี่ชายทั้งสอง น่าจะเป็นเพราะนางเป็นบุตรีที่มารดาชังกระมัง แต่ด้วยเหตุผลใดนั้นแม้กระทั่งร่างเดิมก็ยังไม่เข้าใจ เหมือนว่าตั้งเเต่นางจำความได้ไป๋เฟยเจินก็ไม่เคยแสดงความรักแก่นางหรือเเม้กระทั้งอ้อมกอดก็มิเคย นั่นทำให้เรื่องนี้เป็นปมด้อยในใจของร่างเดิมไม่น้อย เเต่หาใช่สำหรับนางไม่

            สำหรับซูเมิ่งแล้วนางคิดว่าการที่นางมารับช่วงต่อร่างนี้นางจะพยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด ใครดีมานางดีตอบใครร้ายมานางก็จะให้สิ่งนั้นกลับไป เพราะชาตินี้นางมิได้อยู่ภายใต้อาณัติใครอย่างชาติก่อนแล้ว ชาตินี้นางจะอยู่หรือตายนางต้องเป็นคนกำหนดเองเท่านั้น

            ซูเมิ่งนั่งลงข้างหลังไป๋หยางเจิน ตั้งแต่นางมาถึงตรงนี้จนกระทั่งนั่งลงยังไม่มีใครทักนางสักคนซึ่งนางก็ไม่สนใจ ซูเมิ่งมองไปเบื้องหน้าก็สบเข้ากับแววตาฉงนของบุรุษผู้หนึ่ง

            ดวงตาสองคู่จ้องกันอยู่นานต่างฝ่ายต่างพยายามอ่านความคิดของอีกฝ่ายผ่านทางสายตา…

            เว่ยเทียนเหิงหรือไท่จื่อของเเคว้นนี้คือคนที่กำลังสบตาคู่เรียวนั่น

            …ยิ่งมองยิ่งไม่รู้สึกคุ้นเคยราวกับไม่ใช่สตรีที่เเต่ก่อนมักมองเขาด้วยสายตาราวกับมองเทพเซียน สายตาของสตรีนางนี้นั้นเเต่ก่อนต้องเต็มไปด้วยความเคารพบูชา และความหลงใหล เจอกันแต่ละครั้งก็เฝ้าตามติดเขาราวเงาตามตัว แต่ในวันนี้นั้นช่างแตกต่าง ตั้งเเต่นางก้าวเท้าเข้ามายังไม่แม้จะชายตามองมาที่เขา และครั้งนี้น่าจะเพราะความบังเอิญ เขาถึงได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของนางสักที

            หลังจากอาหารถูกนำออกไปจากทุกโต๊ะแล้วจนเหลือเพียงถ้วยชาและกาน้ำชาไว้ให้จิบแก้กระหาย การเเสดงของเหล่าคุณหนูที่ถูกเชิญมาเข้าร่วมงานก็เริ่มขึ้น การเเสดงเหล่านั้นฉากหน้าเป็นการเเสดงความสามารถเพื่อถวายพระพรให้เจ้าของวันเกิด ทว่าทุกคนต่างรู้ว่าเป็นการแสดงให้ฮองเฮาประเมินถึงความเหมาะสมต่อตำเเหน่งชายาของไท่จื่อต่างหาก

            ระหว่างที่สายตาของคนส่วนใหญ่ต่างมองไปที่การเเสดงของคุณหนูกลุ่มหนึ่งตรงพื้นยกสูงของทางเดินกลางพลันประตูบานใหญ่ก็เปิดออกอีกครั้งพอดีที่การเเสดงการร่ายรำกลุ่มจบลงพอดี

            ชายร่างสูงในชุดสียามรัตติกาล เนื้อผ้ามันวาวเเหวกอกเห็นกล้ามหน้าอกลาง ๆ ลวดลายด้วยไหมสีขาวประดับให้ทั้งชุดดูสวยสง่า เข็มขัดหยกเนื้องามราคาแพงยิ่งทำให้คนสวมดูสูงสง่ามากขึ้น ใบหน้านิ่งสงบ ริมฝีปากบางเหยียดตรง ดวงตามองตรงไร้ความรู้สึกราวท้องฟ้ายามไร้ดวงดาวยามมองเข้าไปยังนัยน์ตาดีดำทมิฬนั้น ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวง บ่ากว้างและหลังเหยียดตรงนั้นทำให้เขาดูมีอำนาจไม่ต่างฮ่องเต้

            “ชะ ชิน…” 

            ขันทีหนุ่มที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูกำลังอ้าปากจะตะโกนประกาศให้ทุกคนรู้เหมือนอย่างเคย เเต่พอชายผู้มาใหม่หันกลับมาเขาก็รีบหุบปากลงทันที เขาสบเข้ากับนัยน์ตาเฉยชานั่น สองขาพลันสั่นพึ่บพั่บดีที่มือคว้าขอบประตูได้ทัน ไม่ทำให้ตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น

            ชายร่างสูงเดินเข้าโถงที่ประดับประดาอย่างหรูหราด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แม้การมาครั้งนี้เจ้าตัวจะไม่ต้องการเป็นที่สนใจของใครแต่ด้วยเป็นจังหวะที่การเเสดงจบลงพอดีทำให้การที่ประตูเปิดอีกครั้งนี้เป็นจุดสนใจทันที

            “วันนี้พายุเข้าเป็นแน่ ข้าถึงได้เห็นเจ้าในงานแบบนี้ ฮ่าฮ่า”

            เว่ยซือเหยียนผู้เป็นฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก เขามองไปที่ผู้มาใหม่พร้อมระบายรอยยิ้มอารมณ์ดี ซึ่งแตกจากคนที่ถูกกล่าวด้วยอย่างสิ้นเชิง เขาเดินผ่านกลุ่มคุณหนูที่เพิ่งร่ายรำเสร็จอย่างไม่แม้ชายตาเเล ในขณะที่ผ่านก็มีคุณหนูบางคนขาอ่อนล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสีหน้าเหมือนไม่ได้สติตาลอยมองตามชายชุดสีรัตติกาลไม่ละสายตา

            “…” 

            เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดก่อนเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่มีขันทีข้างกายฮ่องเต้เพิ่งยกมาวางถัดจากตำเเหน่งฮ่องเต้ระหว่างสนมกุ้ยเฟย

            พอฮ่องเต้เห็นผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายพ่อแม่เดียวกันนั่งลงก็โบกมือให้เริ่มการเเสดงต่อไปต่อ ส่วนตัวเองก็หันมาคุยกับชายที่มาใหม่ต่อ

            “กลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อไร ไยไม่เห็นส่งข่าวบอกข้าบ้าง”

            “เมื่อไม่กี่วันก่อน” 

            เขาพูดไปพลางยกชาสีใสที่นางกำนัลเพิ่งรินให้ขึ้นดื่ม “ท่านไม่ใช่บิดา มารดาข้าเสียหน่อย ข้าต้องบอกด้วยรึว่าข้าจะไปไหนมาไหน”

            “หึ เจ้าอย่าลืมนะว่าข้าเป็นพี่ชายสุดที่รักของเจ้า และที่สำคัญข้าเป็นฮ่องเต้ของแคว้นนี้นะเจ้าอย่าลืม” 

            น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูผ่อนคลายไม่ได้เเสดงอำนาจความเป็นฮ่องเต้อย่างที่พูด

            “หึ”

            ฮ่องเต้หนุ่มมองไปยังผู้เป็นน้องชายของตนเขาที่มีตำเเหน่งเป็นชินหวัง เป็นพี่น้องคนเดียวที่เขาไม่ได้ไล่ให้ออกจากเมืองหลวงหลังจากขึ้นครองราช เพราะเขารู้ว่าน้องชายเขาผู้นี้ไม่ได้มีความคิดอยากขึ้นมานั่งบนบัลลังก์เลยแม้เเต่น้อย ในช่วงที่เว่ยซือเหยียนยังเป็นไท่จื่อก็ได้เว่ยซือหมิงเป็นกำลังเสริมสำคัญช่วยเขาให้ขึ้นครองราชได้อย่างมั่นคง พอหลังจากที่เขาขึ้นครองราชแล้วน้องชายคนนี้ก็ไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานราชสำนักเท่าไรนัก มักจะหายหน้าหายตาออกจากเมืองหลวงบ้าง นานทีถึงจะกลับมาให้เขาเห็น

            ทว่าเเม้เว่ยซือหมิงจะไม่ได้เข้ามาช่วยงานราชสำนักแต่เขาก็มีอำนาจมากมายเป็นรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น ทำเอาเหล่าข้าราชบริพารไม่กล้ามีเรื่องด้วยและมีบ้างที่หาทางประจบแต่มักจะไม่เป็นผลเสียเท่าไร

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status