LOGIN#####บทที่ 18 (ต่อ)
การเเสดงมีทั้งร่ายรำเป็นกลุ่มและเดี่ยวบ้างจนกระทั่งถึงคุณหนูคนสุดท้ายที่ได้ฉายาว่าเป็นคุณหนูอันดับหนึ่งเเห่งเมืองหลวงนี้ที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ นามหานเผยหนิง สาวน้อยรูปร่างผอมบางเดินออกมากลางพื้นที่เเสดง ตามมาด้วยมีบ่าวยกพิณมาวางตาม อันที่จริงคุณหนูคนอื่นที่ออกมาก็มีบางคนที่เล่นพิณเช่นกัน แต่เท่าที่ซูเมิ่งฟังมาบทเพลงที่คุณหนูเผยหนิงบรรเลงไพเราะที่สุดและเลือกเพลงได้ฉลาดที่สุด เพราะเป็นเพลงที่กล่าวถึงการสรรเสริญฮองเฮาเป็นนัยแฝงต่างจากคนอื่นที่เลือกบทเพลงเกี่ยวกับความรักระหว่างชายหญิงเพื่อเกี้ยวไท่จื่อโดยตรง ซูเมิ่งแอบปรบมือให้หานเผยหนิงในใจอย่างรู้สึกยกย่อง …แม้จุดประสงค์การเเสดงนี้จะเพื่อให้ตนได้เป็นชายาของไท่จื่อแต่คนที่เลือกนั้นหาใช่ตัวไท่จื่อไม่ คนที่ต้องประจบคือผู้เป็นเเม่ต่างหาก ซึ่งนางก็สังเกตได้ว่าฮองเฮาดูท่าจะพึงพอใจคุณหนูเผยหนิงที่สุดเช่นกัน เพราะตั้งแต่การเเสดงจบบนใบหน้าของฮองเฮาก็ประดับรอยยิ้มไม่เสื่อมคลาย แถมยังให้รางวัลเผยหนิงเยอะที่สุดด้วย หานเผยหนิงคารวะขอบพระทัยฮองเฮาด้วยท่าทางอ่อนหวาน สายตาแอบเหลือบไปหาทิศที่ไท่จื่อนั่งอยู่ซึ่งนางก็เห็นว่าเขาก็กำลังมองมาทางนางเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งกว้างขึ้น และในตอนที่หมุนตัวจะกลับไปนั่งที่นั้นนางก็สบตาซูเมิ่งพอดี พลันในใจก็อดนึกริษยาไม่ได้ …คนตรงหน้าได้นั่งในตำแหน่งที่คุณหนูทั่วเมืองหลวงต่างปรารถนาโดยไม่ต้องดิ้นรนอันใดเลย พลันในหัวก็นึกเรื่องบางอย่างได้จึงหมุนตัวกลับไปอีกรอบและเอ่ยกับฮองเฮา “เสียงพิณของกระหม่อมมิสู้ฝีมือคุณหนูซูเมิ่งได้หรอกเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าเสียงพิณของนางไพเราะยิ่งนักเพคะ” พอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นพลันคิ้วขมวดมุ่น …หือ มิยักนึกได้ว่าร่างนี้เล่นพิณไพเราะขนาดนั้นดูเหมือนว่าทักษะของร่างนี้เล่นเป็นแต่ไม่น่าจะเทียบเผยหนิงได้ คงตั้งใจหาเรื่องนางมากกว่ากระมัง “เป็นเช่นนั้นรึ?” ฮองเฮาพอได้ยินชื่อซูเมิ่งรอยยิ้มก็ลดน้อยลงเล็กน้อย นางไม่คิดว่าจะให้สตรีนางนี้ที่นางไม่ชอบหน้าออกมาเเสดงความสามารถสักเท่าใด ความจริงคนที่นางอยากให้เป็นหวงไท่จื่อเฟยคือหลานสาวฝ่ายมารดานางคนนี้ต่างหาก ตระกูลหานเป็นตระกูลฝ่ายบู๊ที่มีอำนาจมากตระกูลหนึ่งเป็นรองแค่ตระกูลไป๋ ทว่าอีกไม่นานต้องมีอำนาจมากกว่าแน่นอน เพราะในราชสำนักนั้นมีหลายพวกที่ต้องการกำจัดตระกูลไป๋ที่รุ่งเรืองเกินไป นี่คือสาเหตุหลักที่แม้การได้เกี่ยวดองกับตระกูลไป๋จะเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้ลูกของตนในฐานะไท่จื่อ แต่ก็เพิ่มศัตรูเช่นเดียวกัน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเลือกทำลายตระกูลไป๋เสียเพื่อให้ตระกูลหานเป็นใหญ่ในฝ่ายบู๊เเทน “หม่อมฉันไม่ทราบเช่นกันเพคะเพียงได้ยินคนพูดต่อ ๆกันมา มิสู้พระองค์ให้คุณหนูซูเมิ่งแสดงเสียหน่อย” เผยหนิงแย้มยิ้มหวานแฝงนัยบางอย่างให้สตรีที่นั่งอยู่เบื้องบน ครานี้ใบหน้าฮองเฮายิ้มมากขึ้นอย่างสมใจ …ต้องขอบใจหลานสาวนางคนนี้ยิ่งนัก นางเข้าใจแผนการที่เผยหนิงยื่นมาให้นางแล้ว …เคยได้ยินมาที่ว่าคงไม่ใช่เรื่องจริง หึหึ “ก็ดีเหมือนกันวันคล้ายวันเกิดข้าทั้งทีได้ฟังว่าที่ลูกสะใภ้บรรเลงพิณคงจะสุขใจยิ่งนัก แต่คุณหนูไป๋ร่างกายมิเเข็งแรงข้าคงมิรบกวนหรอก ไว้คราหน้าก็แล้วกัน” นางหันไปเอ่ยกับซูเมิ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มสตรีตระกูลไป์โดยตรง แต่คราหลังนางลดเสียงลงพร้อมทำหน้าเสียดายปนเศร้าใจ พอจบประโยคของฮองเฮา ทุกคนในงานส่วนใหญ่ก็หันมามองยังซูเมิ่งด้วยสายตาหยามเหยียดอย่างปิดไม่มิด แม้จะแสดงออกไม่ชัดเจนเพราะเกร็งใจท่านแม่ทัพบ้าง …มีอย่างที่ไหนเล่าคุณหนูตระกูลอื่นที่ไม่ได้เป็นเเม้คนในครอบครัวยังมอบอะไรเป็นพิเศษให้ฮองเฮา แต่นี่เป็นถึงคุณหนูว่าที่ชายาเอกองค์ไทจื่อกลับไม่เตรียมอะไรมาให้เลย ซูเมิ่งแย้มยิ้มหวานส่งกลับไปทั้งใบหน้าซีดเซียวนั้น นางไม่สะทกสะท้านต่อสายตาทุกคนที่ส่งมาเลย เพราะนางมิใช่ลูกพลับนิ่ม[12]เสียหน่อย อยากให้นางเสียหน้านักใช่ไหมเดี๋ยวไป๋ซูเมิ่งคนนี้จัดการให้ ไป๋ซูเมิ่งวางถ้วยน้ำชาในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่ยังคงขาวซีดหันมองไปยังหานเผยหนิงเจ้าคนต้นเรื่องจากนั้นจึงไล่สายตาขึ้นสบตรง ๆกับฮองเฮา รอยยิ้มค่อย ๆปรากฎขึ้นบนหน้าของซูเมิ่ง “หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยฮองเฮาด้วยเพคะ ตอนนี้ร่างกายหม่อมฉันยังอ่อนเเรงยิ่งนักคงไม่สามารถบรรเลงพิณให้พระองค์ได้จริง” ซูเมิ่งค่อย ๆย่างเดินทำท่าทางอย่างคนป่วยไม่มีแรงจริงเดินมายืนห่างจากหานเผยหนิงไม่ไกล “มิทราบว่าคุณหนูเผยหนิงไปได้ยินว่าข้าเล่นพิณได้ไพเราะมาจากผู้ใด ข้าคิดว่านอกจากท่านอาจารย์ที่สอนข้าและท่านพี่ทั้งสองของข้าแล้วนั้นข้าก็มิเคยเล่นให้ใครฟังมาก่อนจริงเชียว ครานี้ข้าต้องขอคารวะน้ำชาสักถ้วยให้กับความรู้ที่กว้างไกลของท่านเสียหน่อยแล้ว” หานเผยหนิงอ้าปากพะงาบ ๆดวงตาจ้องเขม็งมาที่ซูเมิ่ง ทั้งนางและคนอื่น ๆไม่คิดว่าซูเมิ่งจะกล้าตอกกลับเช่นนี้ …ไฉนใคร ๆก็พูดกันว่าคุณหนูตระกูลไป๋เป็นดั่งลูกพลับนิ่มไงเล่า แล้วคนตรงหน้านี้คือใคร ช่างห่างไกลข่าวลือนั้นยิ่งนัก ฮองเฮาที่เห็นว่าหานเผยหนิงถูกย้อนก็รีบเอ่ยขึ้นเเทรกทันที “ข้าไม่ถือโทษเจ้าหรอก งานครานี้ข้าได้ฟังเพลงพิณจากเผยหนิงแล้ว ใจข้ารู้สึกสุขใจยิ่งนักพอแทนเจ้าได้ เจ้าไปนั่งที่เถิด เดี๋ยวอาการป่วยจะกำเริบเสียเปล่า” พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็ส่ายหัวตัวเองเบา ๆ ในใจ รู้สึกสนุกยิ่งขึ้น คำพูดฮองเฮาฟังเผิน ๆนั้นกล่าวถึงการบรรเลงพิณแต่ตีความอีกนัยนั้นกำลังหมายถึงตำเเหน่งหวงไทจื่อเฟยอยู่ นางกล่าวหยอกเย้าว่าจะให้เผยหนิงมาเเทนที่ซูเมิ่งนั่นเอง อันที่จริงสำหรับซูเมิ่งนั้นตำเเหน่งไทจื่อเฟยนั้นนางไม่ได้ต้องการเพราะนางไม่ใช่ไป๋ซูเมิ่งคนที่หลงรักไท่จื่อหัวปักหัวปรำ นางได้มาเกิดชาตินี้ก็อยากใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาตำเเหน่งฮองเฮาในอนาคตที่มาพร้อมความยุ่งยากนั้นนางหลีกได้จะรีบหลีกให้พ้น …แต่วันนี้นั้นนางยอมไม่ได้เด็ดขาด ไม่รู้ว่าคนฝ่ายฮองเฮานั้นมีเป้าหมายอะไรถึงได้โจมตีมาที่นางและตระกูลไป๋เช่นนี้อย่างมิหยุดหย่อน ซึ่งสิ่งแรกที่นางต้องทำคือจัดการสถานการณ์ตรงหน้าให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไปวางเเผนจัดการอีกทีหลังจากนี้ “วันฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพทั้งที แม้หม่อมฉันจะป่วยหนักไร้เรี่ยวแรงดีดพิณถวายแต่หม่อมฉันย่อมมีสิ่งพิเศษมามอบให้พระองค์อยู่แล้วเพคะ ฮองเฮาโปรดรอสักครู่” ซูเมิ่งหันไปส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ตระกูลไป๋ที่ไป๋ลู่ซานส่งให้มาติดตามนางตอนอยู่ในงานเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้นำหีบใบเล็กที่ซูเมิ่งเตรียมไว้ก่อนหน้ามา ในใจทุกคนต่างคาดเดาสิ่งที่อยู่ในกล่องว่าคือสิ่งใด คาดเดามูลค่าไปต่าง ๆนานา มือเรียวบางที่ขาวดุจดั่งหิมะรับหีบสีทองอร่ามลวดลายงดงามมาก่อนหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าฮองเฮาอีกครั้ง ฮองเฮาพยักหน้าให้นางกำนัลข้างกายเดินไปเปิดดูหีบนั้นดู พอหีบถูกเปิดใบหน้าสับสนงุนงงก็เกิดขึ้นบนหน้าของนางกำนัลซึ่งเป็นคนเดียวที่เห็นของในหีบ นางเงยหน้ามองสบตากับซูเมิ่งก่อนมองสลับไปมองของในหีบไปมา ก่อนตัดสินใจหมุนตัวรายงานฮองเฮาและคนอื่นให้ได้รู้ “เป็นใบชาผู่เอ๋อร์เพคะ” สิ้นคำก็มีเสียงหลุดหัวเราะของสตรีดังขึ้นครู่หนึ่งแล้วหายไป ก่อนน้ำเสียงกึ่งดูถูกของเผยหนิงจะดังขึ้น “เจ้าไม่รู้หรือว่าฮองเฮาชอบทานชาหลงจิ่น[13]มิใช่ชาผู่เอ๋อร์[14]” หานเผยหนิงมองไปที่ใบชาในกล่อง พลันในใจก็รู้สึกโล่งอก คราแรกนางนึกว่าในหีบจะมีสิ่งของล้ำค่าอันใดที่ไหนได้เป็นเพียงแค่ใบชาผู่เอ๋อร์ซึ่งเป็นชาดำที่น้อยคนนักจะชื่นชอบและไม่ยกเว้นแม้เเต่ฮองเฮา อีกอย่างของที่ถวายแด่ฮองเฮาก็เป็นเพียงใบชาที่หาซื้อได้ง่ายมิควรค่ายิ่งนัก ไป๋ซูเมิ่งยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้ามิเสื่อมคลายแม้คนรอบข้างจะเเสดงท่าทางดูถูกนางเพียงใด ไป๋ซูเมิ่งเรียกบ่าวรับใช้นางเข้ามาก่อนสั่งบางอย่างให้นางไปนำมา “สิ่งที่หม่อมฉันจะมอบให้ฮองเฮาหาใช่ใบชานี้ไม่ ในระหว่างที่หม่อมฉันรักษาตัวอยู่ที่จวนมิได้ออกข้างนอกกว่าเดือน หม่อมฉันดื่มชาทุกวันจนเริ่มเบื่อรสชาติของชาจึงได้ผสมจนได้รสชาใหม่ขึ้นมา ครานี้หม่อมฉันจึงขอบังอาจผสมชาให้ฮองเฮาได้ชิมดูเพคะ” ซูเมิ่งหันมาชี้แจงอย่างสงบนิ่งแม้เรื่องที่ตนเพิ่งพูดเมื่อครู่นั้นเก้าส่วนนางแต่งขึ้นมาสด ๆ ความจริงชาที่นางจะผสมนั้นเป็นชาที่ชาวอังกฤษนิยมดื่มกัน มันคือการเอาชาดำผสมกับนมหรือน้ำตาลเมื่อให้ได้รสชาติเเปลกใหม่และกลมกล่อมขึ้นต่างหาก ชาติก่อนที่นางเป็นสายลับได้มีโอกาสเดินทางไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ พอหลังจากทำงานเสร็จสิ้นยังติดนิสัยการดื่มชาดำมาจนตอนนี้ ยิ่งพอก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ชอบรสชาติชาดำแต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้ นางจึงคิดได้ขึ้นมาและถึงคราวเอามาใช้ก็งานนี้ …ใช่แล้วเป้าหมายครั้งนี้นางหาใช่ฮองเฮาไม่ นางกะเอาใจฮ่องเต้ต่างหาก “มิเห็นเคยได้ยินว่าชาสามารถนำมาผสมกันได้ ฮองเฮามิใช่คนที่เจ้าจะให้ดื่มอะไรก็ดื่มได้นะ” หานเผยหนิงรีบเอ่ย ไป๋ซูเมิ่งอมยิ้มน้อย ๆมองไปยังคนพูด แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากก็มีเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเสียก่อน “ฮองเฮาไม่ชิม แต่ข้าอยากชิม ชงมาเถอะ” ไป๋ซูเมิ่งหันมองตามเสียงจึงสบเข้ากับนัยน์ตาดำลึกล้ำที่จ้องมองกลับมาทำเอาขนในกายลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ เขาคือชายในชุดดำหรูหราที่มาสายเสียยิ่งกว่านาง นัยน์ตาไร้ความรู้สึกนั่นพออยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแล้วก็ดูดีคนละแบบกับฮ่องเต้ที่มีใบหน้าแฝงรอยยิ้มแทบตลอดเวลา นางไม่สามารถล้วงความคิดจากนัยน์ตาคู่นั้นได้ งั้นนางจะถือว่าเขาพูดช่วยนางแล้วกัน “ขอบพระทัยเพคะ ชินหวัง” ส่วนฮองเฮาที่เหมือนถูกตบหน้ากลางอากาศก็ได้เเต่เก็บความไม่พอใจตนไว้ในใจ เพราะชินหวังนั้นมิใช่คนที่นางจะต่อกรด้วยได้ บ่าวรับใช้ของซูเมิ่งกลับมาพร้อมกับขันทีสองคนที่ยกโต๊ะเข้ามาวางไว้เบื้องหน้านาง ก่อนนำกากระเบื้องที่ข้างในบรรจุนมอุ่นและน้ำเชื่อมในถ้วยกระเบื้องเล็ก ๆมาวาง และมีน้ำสะอาดในหม้อที่วางบนเตาขนาดเล็ก กาน้ำชา ถ้วยชา เอาทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะ ไป๋ซูเมิ่งไม่รอช้า นางนั่งลง มือเรียวรินน้ำร้อนลงในกาน้ำชาเล็กน้อยแกว่งเบา ๆให้ทั่วกาน้ำชาก่อนเททิ้งไปและวางไว้ทางขวามือ หันมาเทนมอุ่นและตักน้ำเชื่อมลงในถ้วยชาปากกว้างประมาณไม่มาก จากนั้นหยิบใบชาผู่เอ๋อร์ในหีบใส่ลงในกาน้ำชาและเทน้ำที่พอเดือดตามลงไป ซูเมิ่งหยุดรอเกือบครึ่งเค่อก่อนรินชาลงถ้วยที่นางใส่ทั้งนมและน้ำเชื่อมไปแล้วก่อนหน้า ซึ่งตลอดการชงชานั้นทุกคนต่างจ้องแทบไม่กระพริบตาด้วยความอยากรู้ ในเมืองนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนนำอย่างอื่นมาผสมกับชา แต่กลิ่นที่ลอยโชยมานั้นทำเอารู้สึกกระหายน้ำจนต้องยกชาตรงหน้าตนเองขึ้นมาจิบอย่างอดไม่ได้ “เรียบร้อยเพคะ ชานี้จะทานให้อร่อยยิ่งต้องรีบทานทันทีเพคะ” พูดจบซูเมิ่งก็ส่งถ้วยชาให้นางกำนัลนำไปส่งให้ชินหวัง สายตาทุกครู่ต่างมองตามถ้วยชาจนกระทั่งชินหวังยกชาขึ้นจิบก็ยังไม่ละสายตา เว่ยซือหมิงยกถ้วยชาขึ้นสูดกลิ่นก่อนยกจรดริมฝีปาก ทันทีชาที่อุ่นกำลังดีสัมผัสลิ้นพลันรู้สึกเเปลกใจระคนสงสัย รสชาติกลมกล่อมขึ้น รสหวานกำลังดี ทำให้หลังดื่มชารู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งยิ่งกว่าเคย เขายกดื่มจนหมดในคราเดียว พอวางถ้วยลงลืมตาขึ้นก็พบว่าทุกคนรวมถึงชายคนข้าง ๆเขามองจ้องมา “ชาดี” เว่ยเทียนเหิงมองไปที่ความว่างเปล่าในถ้วยชาพลางยกยิ้มเชิงล้อเลียนน้องชายที่อายุน้อยกว่าเขาสิบกว่าปีคนนี้ก่อนหันไปพูดกับสตรีที่ยืนสงบนิ่งไร้ท่าทีตื่นเต้นเหมือนคุณหนูคนอื่นเมื่อยามอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจอย่างเขา “ข้าก็อยากชิมเช่นกัน” ไป๋ซูเมิ่งเดินกลับไปทำให้อีกถ้วย พอฮ่องเต้ได้ลิ้มรสนัยน์ตาพลันสว่างไสว ออกปากชมพร้อมตบรางวัลมากเสียยิ่งกว่าที่ฮองเฮาให้เเก่คุณหนูทุกคนรวมกัน เหล่าข้าราชบริภารต่างมองซูเมิ่งเปลี่ยนไป เขาหันไปบอกบ่าวของตนให้จำทุกขั้นตอนที่ซูเมิ่งทำ เพราะในที่เเห่งนี้มีเพียงชินหวังเเละฮ่องเต้เท่านั้นที่ได้ชิม นอกนั้นไม่มีใครกล้าขอให้นางทำให้ …ยากนักจะเจอสิ่งที่ฮ่องเต้พอใจเยี่ยงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าไร้เลือดฝาดนั้นเเสดงถึงความพอใจยิ่งนัก ช่างขัดตาสตรีที่มีอำนาจสูงสุดในที่เเห่งนี้จนทำให้สองมือกำเเน่นภายใต้เเขนเสื้อ …ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้ใบชาผู่เอ๋อร์จะกลายเป็นชาที่คนหาซื้อมากที่สุดในเมืองหลวงเเห่งนี้ “ขอบพระทัยเพคะฮองเต้” ซูเมิ่งคารวะก้มหน้าเเนบพื้น “ไว้คราหลังก็มาเที่ยวเล่นที่วังบ้างนะ” ฮ่องเต้พูดจบก็สร้างเสียงฮือฮาทั่วโถง …พวกเขาอาจประเมินความพอใจของฮ่องเต้ที่มีต่อตระกูลไป๋น้อยไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่านับจากวันนี้การเคลื่อนไหวของราชสำนักจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







