เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 19
หลังจากกลับจากงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮาซึ่งซูเมิ่งขอกลับมาก่อนงานเลิก เพราะฉะนั้นจนถึงเช้าวันนี้นางก็ยังไม่เจอคนในจวนคนอื่นเลยนอกจากพี่รองเมื่อวาน เมื่อวานนี้ซูเมิ่งรีบไปขอพบไป๋ลู่ซานที่มักทำงานอยู่ที่ศาลกลางตามที่นางจำได้ และก็ได้พบกับพี่ชายนางอย่างที่คาดไว้แต่กว่าจะได้พบก็ปาไปใกล้เวลาที่งานเริ่มแล้ว ทำให้ไปสายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คราเเรกซูเมิ่งคิดว่าจะกลับจวนเลยแต่ด้วยความที่นางไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่จวนตอนนี้เป็นอย่างไรจึงเปลี่ยนมาเข้าทางพี่รองของนางก่อน ให้พี่รองของนางออกหน้าไปก่อนส่วนเรื่องที่นางหายไปกว่าเดือนซูเมิ่งก็โบ้ยว่าจะเล่าให้ฟังคราวหลังพร้อมกับคนอื่น นั่นก็คือวันนี้นั่นเอง ในเรือนที่ซูเมิ่งเข้ามาพักก็คือเรือนอิงฮวา ที่ชื่อนี้เพราะตลอดทางก่อนเดินมาถึงเรือนนอนเต็มไปด้วยต้นอิงฮวา[15] และไป๋ซูเมิ่งคนเก่าก็ชอบดอกไม้ชนิดนี้เช่นกัน ส่วนซูเมิ่งคนนี้ก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้เกลียดอันใด และในเรือนนี้ก็มีบ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งนามเย่าถิงที่พี่รองให้ตามนางไปงานด้วยเมื่อวาน และมีบ่าวรับใช้ขั้นสองอีกสองคนนาม ฉายถิงและเชียนถิง ส่วนไป๋จื่อที่ตามนางมาจากนอกเมืองหลวงก็เข้าเรือนมาเป็นบ่าวข้างกายซูเมิ่งเช่นกันแต่ยังไม่ได้วางตำเเหน่งอะไรอย่างเป็นทางการ ตอนนี้นางกำลังตามเย่าถิงเพื่อไปยังห้องโถงกลางซึ่งเป็นเรือนต้อนรับส่วนกลางของจวนตระกูลไป๋ เดินมาประมาณหนึ่งเค่อนางก็ถูกพามายืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างพี่ชายใหญ่ของซูเมิ่ง กลุ่มคนในห้องนี้เป็นคนคุ้นเคยในความทรงจำของนางทั้งนั้น หลายคนนั้นมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นนางเดินเข้ามา “ท่านลุงหาน้องรองเจอแล้วหรือเจ้าคะ ข้านึกว่านางถูก…” เซี่ยวเชี่ยนมองสำรวจไป๋ซูเมิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยใบหน้าตกใจ แต่จากหญิงสาวตรงหน้าไร้ร่องรอยหรือท่าทีเหมือนคนถูกลักพาตัวไปเลยสักนิด เนื้อตัวหมดจรด ใบหน้าเบิกบาน ซูเมิ่งหันไปมองสบตากับเซี่ยวเชี่ยนผู้เป็นบุตรีคนโตของไป๋ซือฉีและมีศักดิ์เป็นพี่หญิงใหญ่ตระกูลไป๋ เซี่ยวเชี่ยวอายุมากกว่าซุเมิ่งสองปี ปีนี้ก็ครบสิบเจ็ดปีแล้ว ยังไม่ออกเรือนแต่อีกไม่กี่เดือนเหมือนว่าจะจัดงานแต่งแล้ว ผู้โชคดีคนนั้นคือคุณชายตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง สำหรับซูเมิ่งคนเก่าแล้วนางถือว่าพี่หญิงใหญ่คนนี้เป็นแบบอย่างในเรื่องความเป็นกุลสตรี …แต่อาการที่เเสดงออกมาตอนนี้นั้นหลุดความเป็นกุลสตรีหมดสิ้น “ใช่เจอแล้ว” ไป๋หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ ตอนนี้สายตาทุกคู่ในห้องแห่งนี้พุ่งมาที่ซูเมิ่งเป็นที่เรียบร้อย …ในห้องโถงนี้มีแค่ตระกูลไป๋สายหลักและสายรอง ไม่มีบ่าวอยู่ในห้องเลยสักคน ดูท่าท่านพ่อของนางหวังให้นางเล่าเรื่องที่นางหายตัวไปจริงๆ และน่าจะมีคนรู้เรื่องนี้เเค่คนในห้องนี้เท่านั้นด้วย ไป๋ซูเมิ่งส่งรอยยิ้มอ่อนหวานให้ทุกคนก่อนเอ่ยขึ้น “เป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเจ้าค่ะ ข้าต้องขออภัยทุกคนให้ต้องเป็นห่วงด้วย” “เข้าใจผิดงั้นรึ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้าหายตัวไปไม่ได้ถูกลักพาตัวไปงั้นรึ?” เฟยจินผู้เป็นมารดาของนางรีบเอ่ยแย้งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเเสดงความเกรี้ยวโกรธพอเจ้าตัวรู้สึกตัวก็รีบสงบสติอารมณ์ “ข้าหมายถึงการที่เจ้าหายตัวไปเป็นเดือน ๆ ให้ข้าต้องเป็นห่วงให้ท่านพี่ต้องออกตามหาเจ้าให้วุ่นคือเรื่องเข้าใจผิดงั้นหรือ งั้นแล้วเจ้าหายไปที่ใด?” น้ำเสียงเบาลงแต่ก็ยังปิดความไม่พอใจในน้ำเสียงไม่มิด “ในวันนั้นข้านั่งรถม้าเเยกกับพวกพี่เดินทางไปพระราชวังคนเดียว แล้วอยู่ดีดีรถม้าคันข้าก็ถูกขับออกนอกเส้นทาง ระหว่างทางก็มีโจรกลุ่มนึงเข้ามาปล้นเจ้าค่ะ คือตอนนั้นข้ากลัวมากแต่โชคดีที่มีคนผ่านมาช่วยข้าได้ แต่ด้วยความกลัวข้าจึงป่วยเป็นเดือน พอหายป่วยข้าก็รีบให้เขาพามาส่งที่จวนทันทีเจ้าค่ะ” …ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าคนไหนบ้างที่นางไว้ใจได้ นางจึงเลือกปกปิดดีกว่า เพราะการที่วันที่นางถูกลักพาตัวนั้นเหมือนเป็นการจงใจให้นางนั่งรถม้าคันนั้นคนเดียว ดูเหมาะเจาะเกินไป “แล้วเหตุใดทั้งข้าและก็ท่านพี่ส่งคนไปหาเจ้าจนทั่วถึงไม่เจอเบาะแสอันใดเลย ที่ด่านตรวจก็ไม่พบคนที่ใบหน้าเหมือนเจ้าผ่านเช่นกัน” ไป๋ซือฉีเอ่ยขึ้น “อ้อ พอดีท่านผู้มีพระคุณของข้าให้ข้ารักษาตัวอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ เขาเป็นคนยากจนคนหนึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงอันใด” เหงื่อในมือของนางออกจนชุ่มมือ นางดูจากสายตาข้องใจของทุกคนดูท่าจะไม่จบเพียงเท่านี้เสียด้วย ในหัวก็นึกหาทางออกมากมาย ซูเมิ่งจึงตัดสินใจส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางพี่รองที่นั่งฝั่งตรงข้าม “เขาคือใครกันรึ?” “เป็นครอบครัว ๆหนึ่ง …” “ท่านอาขอรับ ข้าว่าน้องรองน่าจะเหนื่อยแล้ว ปล่อยให้นางไปพักผ่อนเถอะขอรับ” ไป๋ลู่ซานรีบเอ่ยแทรกแม้เขาจะไม่รู้เจตนาของน้องสาวตน แต่ปากเจ้ากรรมก็โพล่งไปก่อนสมองคิด พูดจบก็หันไปสบตากับพี่ชายใหญ่ด้วยสายตาแบบเดียวกับซูเมิ่ง “นางเพิ่งหายป่วยอย่าคาดคั้นนางเลยขอรับให้นางไปพักก่อนเถิด” ไป๋เหิงซานเอ่ยเสียงขรึม ไป๋ซูเมิ่งลอบถอนหายใจเบา ๆ ในใจมีความอบอุ่นเเผ่ซ่าน “งั้นหากเจ้าหายป่วยสนิทแล้วอย่าลืมนำของไปตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยล่ะ วันนี้พอแล้วแยกย้ายพักผ่อนเถิด” ไป๋หย่งคังกล่าวจบก็ลุกขึ้นทันที ด้วยคำพูดของผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านทำให้ทุกคนที่แม้มีข้อสงสัยก็ต้องพับเก็บกลับไป ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าที่ซูเมิ่งพูดเต็มไปด้วยข้อสงสัยแต่ก็ต้องเงียบไว้ “เเม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่หากคนนอกรู้ก็มิใช่เรื่องดี หวังว่าจะไม่มีข่าวใดเล็ดลอดออกไป ให้ทุกคนจำไว้ว่าตลอดเดือนที่ผ่านมาบุตรีของข้าป่วยหนักและรักษาตัวอยู่ในจวนตลอด!” สายตาแฝงความดุดันนั้นไล่สบตาทุกคน ด้วยความที่ไป๋หย่งคังอยู่ในสนามรบมานานหลายสิบปีทำให้รัศมีที่เเผ่ออกมากดดันทุกคนจนหลายคนหายใจติดขัด พอเจ้าตัวรู้ตัวก็ลดอารมณ์ตนเองลงก่อนเดินออกไป สายตาของคนเบื้องหลังที่มองตามบ่ากว้างเดินออกไปพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนออกไป๋ไหย่งคังลอบสบตาบุตรชายคนโตอย่างรู้กัน แล้วจึงเดินไปรอที่ห้องหนังสือส่วนตัวที่อยู่เรือนถัดไปไม่ไกล นั่งจิบชารอไม่นาน คนสามคนก็เดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้า เหิงซาน ลู่ซาน และซูเมิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือของผู้เป็นบิดา ในใจของไป๋ซูเมิ่งตอนนี้ร้อนรนราวคนทำความผิด หลังจากที่นางรอดจากการซักถามจากทุกคนและกำลังกลับเรือน จู่ ๆพี่ใหญ่ก็มาขวางและพานางมาที่ห้องเเห่งนี้ พอนางเข้ามาก็สบเข้ากลับสายตาคมกริบของผู้เป็นบิดา “บอกความจริงมาเถิด” ไป๋หย่งคังรวมถึงพี่ชายทั้งสองมองมาที่ซูเมิ่งเป็นจุดเดียว เหงื่อในมือนางออกจนชุ่ม หัวใจเต้นตุบ ๆ ในหัวคิดไม่หยุด …นางจะบอกดีไหมว่าซูเมิ่งของพวกเขาตายไปแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้หาใช่คนที่พวกเขารักไม่ ถ้าหากนางบอกไปชีวิตต่อจากนี้นางจะเป็นอย่างไร? …แล้วก็บอกดีไหม เรื่องที่มีคนประสงค์ร้ายหวังทำลายคุณหนูตระกูลไป๋อยู่ และยังมีเรื่องที่นางกำลังสงสัยแต่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์นั่นอีกล่ะ สายตาที่จับจ้องมากดดันอย่างไม่ลดละ ไป๋ซูเมิ่งลอบซูดปากก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าถูกลักพาตัวไปจริงเจ้าค่ะ ในวันงานคล้ายวันพระราชสมภพของไท่จื่อ จวนเรานำรถม้าไปสองคันซึ่งข้าถูกแยกไม่นั่งรถม้าอีกคนคนเดียว ระหว่างทางข้าไม่ได้สังเกต อยู่ ๆคนขับรถม้าก็ขับออกนอกเส้นทางและนำข้าไปส่งให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นถูกบางคนจ้างวานให้พาข้าออกไปขายเป็นนางโลมที่นอกเมืองหลวงเจ้าค่ะ…” “ว่าไงนะ!!! ใครหน้าไหนมันกล้าทำเรื่องเช่นนี้” ไป๋หย่งคังตบโต๊ะดังป้าบ ถ้วยชาหล่นแตกกระจายบนพื้น โต๊ะไม้แดงอย่างดีถูกแรงผ่าเป็นสองซีก ขนาดอดีตสายลับเก่าอย่างซูเมิ่งยังถึงกลับสะดุ้งตกใจ …ใครจะคิดกันเล่าว่านั่งคุยอยู่ดีดี ท่านพ่อของนางจะโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ ส่วนพี่ชายทั้งสองของนางถึงกลับผุดลุกขึ้นสีหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดขึ้นปูดบนหน้า มือทั้งสองกำเเน่น ซูเมิ่งกลับมาตั้งสติ นางรีบเอ่ยขึ้นเพื่อยับยั้งไม่ให้เรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้ “ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกถูกจับไปจริงแต่ระหว่างทางมีชาวยุทธ์เฒ่าคนหนึ่งช่วยลูกไว้เจ้าค่ะ ลูกเลยรอดมาได้อย่างปลอดภัย” ไป๋หย่งคังปรับลมหายใจให้ช้าลง “จอมยุทธ์เฒ่าอย่างนั้นรึ?” “ใช่เจ้าค่ะ ระหว่างเดินทางข้ามเมืองลูกถูกจับมัดและนั่งอยู่ในรถม้าจู่ ๆคนชั่วที่จับลูกมาก็ถูกฆ่าและลูกก็ถูกท่านจอมยุทธ์ผู้เฒ่าพาหนีออกมาเจ้าค่ะ” “จอมยุทธ์เฒ่าคนนั้นมีนามว่าอันใด? แล้วเหตุใดเขาถึงต้องช่วยเจ้า? แล้วเจ้าหายไปไหนเป็นเดือน? เหตุใดไม่ส่งข่าวคราวบ้างเลย” เหิงซานเอ่ยถาม น้ำเสียงคลายความโกรธลงบ้างแล้ว “เนื่องด้วยข้าถูกพาออกไปห่างจากเมืองหลวงมากแแล้วจึงใช้ระยะเวลานานกว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง รวมทั้งตอนนั้นข้าก็ไร้เงินติดตัว ส่วนท่านจอมยุทธ์ก็เป็นคนสมถะไม่มีเงินมากขนาดพาข้ามาส่งได้ทันที อีกอย่างจอมยุทธ์ผู้เฒ่าที่ช่วยข้าไว้ท่านเป็นคนสันโดษเจ้าค่ะ ท่านเป็นคนดีมากเห็นคนทำชั่วไม่ได้จึงยื่นมือเข้าช่วย ส่วนตัวตนท่านนั้นเป็นใครนั้นข้าบอกไม่ได้จริง ๆ และเท่าที่ข้าคิดคือหากข้าแจ้งข่าวให้พวกท่านรู้ไม่แน่อาจรู้ถึงหูคนที่ประสงค์แล้วเป็นภัยแก่ตัวข้า ข้าจึงต้องหาทางกลับมาเองเจ้าค่ะ ข้าต้องขอโทษท่านพ่อและท่านพี่ด้วยที่ทำให้เป็นห่วง” ซูเมิ่งลงไปคุกเข่ากับพื้นก้มเอาหัวโขกพื้น แต่ก่อนที่หัวนางจะเขกลงบนพื้นเเข็งก็มีมือ ๆหนึ่งมารองไว้เสียก่อน พอนางเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับเเววตาอบอุ่นดั่งสายธารของลู่ซาน “เหตุใดน้องข้าจึงพูดจาห่างเหินเช่นนี้ น้องข้าแท้ ๆข้ากลับปกป้องเจ้าไม่ได้ ทำให้เจ้าต้องไปตกระกำลำบาก ข้าสิต้องลงโทษตัวเอง” ลู่ซานพยุงซูเมิ่งขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม “อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านพ่อ การที่ข้าได้ออกไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกทำให้ข้าได้เรียนรู้อะไรได้หลายอย่างเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเป็นตัวถ่วงให้พวกท่านต้องเป็นห่วงเสมอมาจากนี้ไปพวกท่านมิต้องเป็นกังวลข้าได้เรียนทักษะมากมายจากท่านจอมยุทธ์ คุณหนูไป๋อ่อนแอคนก่อนข้าได้ทิ้งนางไปแล้ว จากนี้ไปข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกท่านอีกแล้วเจ้าค่ะ” ชายทั้งสามคนหันสบตากัน พวกเขาต่างคิดว่าไป๋ซูเมิ่งคนตรงหน้าต่างจากคนเดิมราวคนละคน ในใจก็อดสะท้านมิได้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาที่พวกเขาไม่ได้อยู่เคียงข้างนางคงต้องผ่านอะไรมาอย่างแสนสาหัสเป็นแน่จึงทำให้จากหญิงสาวอ่อนแอ เรียบร้อยและไม่สู้คนก่อนหน้ากลายเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และหนักเเน่นได้เช่นนี้ ไป๋เหิงซานเอื้อมมือไปตบบ่าน้องสาวของตนก่อนเอ่ยขึ้น “ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิดที่ปกป้องเจ้า เจ้ามิจำเป็นต้องลำบากเปลี่ยนเเปลงตนเองหรอก” “ใช่ น้องน้อยของข้าโตขึ้นมาก ที่ผ่านมาก็ลำบากเจ้ามากพอแล้ว” ไป๋ซูเมิ่งส่ายหน้า บนใบหน้าฉายรอยยิ้มแสนหวาน “ไม่เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ลำบากเลย” “เหิงซาน เจ้าจัดคนฝีมือดีให้คอยดูแลเมิ่งเอ๋อเพิ่ม เวลาเจ้าจะไปไหนต้องมีพี่ชายเจ้าไปด้วยเข้าใจไหม” ไป๋หย่งคังหันไปกล่าวเสียงเข้ม ทั้งเหิงซานและลู่ซานต่างพยักหน้ารับคำ ต่างจากซูเมิ่งที่สีหน้าหมองลงในใจหดหู่ยิ่งนัก …นั่นไม่ได้หมายความว่านางถูกจำกัดอิสระภาพหรอกหรือ ใช่ว่าท่านพี่ทั้งสองจะมีเวลาว่างมากพอจะพานางไปไหนมาไหน “ไม่เอาน่า เจ้าอย่ามาทำหน้าร้องไห้ทราบซึ้งใจเลย” เป็นลู่ซานที่สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปได้คนเเรก เขาเอื้อมมือลูบหัวซูเมิ่งด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาคงที่ถูกลูบยิ่งห่อเหี่ยวใจมากกว่าเดิม …ใบหน้านางเหมือนคนทราบซึ้งใจมากนักหรือไง “และก็ส่งคนไปสืบด้วยว่าใครที่กล้าทำเช่นนี้!” “ได้ขอรับท่านพ่อ” “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมีเรื่องจะขอกล่าวเจ้าค่ะ” นางรีบเอ่ยแทรกนัยน์ตาฉายแววจริงจัง “ว่ามา” “ลูกคิดว่าการลักพาตัวครั้งนี้ดูเหมือนเตรียมการมาอย่างดีเจ้าค่ะ วันนั้นมีเหตุให้ลูกต้องขึ้นไปนั่งรถม้าคันนั้นคนเดียว และยังคนขับรถม้าคนนั้นอีก ลูกคิดว่าอาจมีเกลือเป็นหนอน” “เจ้าหมายถึงคนใกล้ตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวเจ้าอย่างนั้นรึ” ซูเมิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้ เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ไป๋หย่งคังเอ่ยน้ำเสียงแฝงความเด็ดขาด ซึ่งก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของนางมากนัก สตรีในยุคนี้หาได้มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ นางจึงได้เเต่ถอนหายใจเบา ๆ …งั้นเรื่องที่นางสงสัยว่าฝ่ายฮองเฮาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องคงต้องพับเก็บไปก่อน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจรู้อยู่แล้ว …การที่นางตัดสินใจกลับจวนคิดถูกหรือไม่นั้นนางเริ่มคิดไม่ตก เวลานางจะขยับตัวอะไรขณะนี้ช่างยากยิ่งนัก จากนั้นสี่คนพ่อลูกก็คุยอีกไม่นานซูเมิ่งก็ถูกไล่กลาย ๆว่าให้นางไปพักผ่อนที่เรือนได้แล้ว หากนางเดาไม่ผิดทั้งสามคนคงคุยกันเรื่องสาเหตุการลักพาตัวหรือไม่ก็พวกคนบงการเป็นแน่ ผู้ถูกกระทำอย่างนางสมควรรู้เช่นกันเหตุใดทำอย่างกับนางเป็นคนนอกเยี่ยงนี้ สมัยนี้เป็นสตรีช่างอยู่ยาก เหตุใดนางไม่ย้อนมาเกิดในร่างบุรุษกันนะ…#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







