แชร์

บทที่ 35

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:16:37

#####บทที่ 35

 

 

“นะ…น้ำ…”

เสียงแหบแห้งดังขึ้นพร้อมแขนเรียวเล็กภายใต้ผ้าห่มเนื้อหยาบขยับทำท่าจะยกขึ้น แต่อย่างไรก็ยกไม่พ้นแรงตึงเพียงผ้าห่มวางสักที จนกระทั่งประตูที่ทำจากวัสดุบอบบางอย่างใบไม้แห้งโครงไม้ไผ่เปิดออกทำให้แสงสว่างจากภายนอกเข้ามายังคนบนเตียง 

“ว้าย! เจ้าตื่นแล้ว พี่ ๆนังหนูนี่ตื่นแล้ว”

เสียงแหลมของหญิงสาววัยกลางคนนางหนึ่งตะโกนขึ้น นางวิ่งออกไปสักพักก็วิ่งเข้าอีกรอบพร้อมบุรุษในชุดสีซีดคนหนึ่ง รูปร่างกำยำ บนใบหน้าเขาเปรอะถ่านดำแถมกลิ่นบนเสื้อผ้ายังเป็นกลิ่นเขม่าควันไฟบอกให้รู้ได้เลยว่าก่อนหน้าคงกำลังก่อกองไฟเพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่

“นั่น! นางพูดว่าอะไรน่ะ เจ้าไปดูสิ”

สิ้นคำเจ้าของร่างอวบอิ่มทั้งเนื้อนมไข่ก็รีบเข้ามาคว้าหมับเข้าที่มือไร้เรี่ยวแรงของสตรีผู้น่าสงสารตรงหน้าพร้อมก้มตัวลงไปแนบหูใกล้กับริมฝีปากขาวซีด

“นางบอกว่าน้ำ อ้อ นางหิวน้ำ พี่ตักน้ำมาที”

พอได้ถ้วยน้ำแล้วสตรีวัยกลางคนร่างอวบก็ค่อย ๆประคองสตรีบนเตียงให้ลุกขึ้นเพื่อดื่มน้ำ พอได้ดื่มน้ำเข้าร่างกายพลันร่างกายก็สดชื่นขึ้นทันตา

“ข้า ข้าอยู่ไหน?”

ซูเมิ่งใช้สายตาจ้องมองรอคำตอบจากสองคนตรงหน้าซึ่งน่าจะเป็นผู้ช่วยชีวิตนางไว้ ก่อนหน้านางมองสำรวจรอบข้างแล้วคิดว่าตัวเองน่าจะอยู่ในบ้านของคู่ชายหญิงตรงหน้าในสถานที่ใดสักที่

“บ้านของพวกข้าเอง ว่าแต่เจ้าเถอะไยถึงมาบาดเจ็บสลบข้างลำธารเช่นนั้นได้”

พอได้ยินดังนั้นมือบางของเจ้าของร่างบอบบางก็ยกขึ้นลูบไปที่ไหล่ซ้ายที่รู้สึกปวดระบมตั้งแต่นางรู้สึกตัวได้ นอกจากนั้นยังรู้สึกปวดแสบตามตัวและปวดที่สุดก็บริเวณหน้าขาด้านขวาแต่ยังพอขยับได้ ส่วนสมองก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตนจะหมดสติ จำได้ว่าครานั้นม้าและตัวเองตกจากหน้าผาลงมาแต่ยังโชคดีที่ตกลงไปในน้ำลึกประมาณหนึ่ง แล้วตนก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามว่ายน้ำหาฝั่งขึ้นและภาพก็ตัดหายไป รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

“ข้า เอ่อ ข้ามาล่าสัตว์กับครอบครัวน่ะแล้วเกิดหลงป่าแล้วก็ตกหน้าผามา ต้องขอบพระคุณพวกท่านทั้งสองมาก”

พูดพลางก้มหัวขอบคุณสองคนตรงหน้าจากใจจริง และที่นางเลือกไม่บอกความจริงว่าตัวเองถูกนักฆ่าไล่ฆ่าก็เพราะกลัวพวกเขาตกใจและไม่อยากดึงพวกเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงเลือกแต่งเรื่องบิดเบือนขึ้นมาแทน

“อืม ทางที่ดีเจ้าต้องรีบกลับไปรักษาตัวจะดีกว่า เพราะเเผลที่ไหล่เจ้าเป็นหนักมากข้าทำอาชีพล่าสัตว์หาของป่าไม่มียาดีดีใส่แผลมาให้เจ้าหรอก”

“เอ่อ พวกท่านช่วยข้าเพียงเท่านี้ก็เป็นบุญยิ่งแล้ว ไม่ทราบว่าข้าสลบไปกี่วันแล้วหรือ?”

“นี่เข้าวันที่ห้าแล้ว เอ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ข้าลืมไปเลยกำลังก่อไฟอุ่นกับข้าวอยู่” ชายร่างกำยำพูดจบก็ส่งสายตาคาดโทษไปที่ภรรยาตน 

“เจ้าเรียกข้ามานั่นแหละ!” และก่อนร่างใหญ่จะพ้นประตูก็ตะโกนกลับมาทิ้งท้าย “เจ้าให้นางล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าวด้วยเล่า!”

สตรีร่างอวบอมยิ้มมุมปากพร้อมส่ายหน้าก่อนที่นางจะหันมามองซูเมิ่งอีกครั้ง โดยพอนางหันมาก็สบเข้ากับดวงตาดำดูลึกลับเข้าใบหน้าแม้ซีดเซียวแต่ก็ดูออกว่าแต่เดิมคงงดงามมาก

“เจ้าจะนอนพักอีกไหม กว่าเจ้านั่นจะทำกับข้าวเสร็จคงอีกนาน”

ซูเมิ่งพยักหน้าเบา ๆเป็นการรับคำ สตรีร่างอวบจึงเข้ามาช่วยพยุงให้นางนอนลงอีกครั้ง 

“หากกับข้าวพร้อมเดี๋ยวข้ามาปลุกเจ้าแล้วกัน นอนเถอะ”

พอสตรีร่างอวบออกไปและเสียงปิดประตูดังขึ้น เปลือกตาของสตรีบนเตียงไม้หนึ่งเดียวในห้องก็เปิดขึ้นทันที ที่นางตอบรับว่าจะนอนไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นจริง ๆหรอก ซูเมิ่งต้องการอยู่คิดอะไรคนเดียวต่างหาก ตั้งแต่รู้ว่าตนหลับไปสามวันตอนนั้นในใจนางตกใจมาก ไม่รู้ว่าป่านนี้คนของตระกูลจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจคิดว่านางตายไปแล้วก็เป็นได้ 

สำหรับซูเมิ่งแล้วนางคิดว่าการที่ตนอยู่ที่นี่กับสองสามีภรรยานั้นอาจไม่ปลอดภัยทั้งกับตัวเองและผู้มีพระคุณทั้งสอง เพราะมีเพียงพวกนักฆ่าเท่านั้นที่รู้ว่าซูเมิ่งตกลงมาที่หน้าผาแห่งนี้ และด้วยนิสัยของนักฆ่านั้นการที่ไม่เห็นศพจริงไม่อาจวางใจว่าเหยื่อตายแล้วได้ ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกมันอาจกำลังมาตามหาร่างของซูเมิ่งข้างล่างหน้าผาก็เป็นได้ และการที่ซูเมิ่งอยู่ที่รอดจากสายตาพวกนั้นได้มาถึงสห้าวันก็ถือได้ว่านานมากแล้ว ที่พวกมันยังตามมาไม่เจออาจเป็นเพราะการเดินทางลงภูเขามานั้นไม่ง่ายต่างกับซูเมิ่งที่ลงมาตรง ๆ และจากการลองขยับร่างกายดูนอกจากบาดแผลที่ไหล่ที่เจ็บปวดราวมดหลายล้านตัวมารุมกัดแล้ว บาดเเผลบริเวณอื่นก็ยังพอทนได้

ดังนั้นทางที่ดีซูเมิ่งควรรีบไปจากที่นี่เสียดีกว่า เพราะหากพวกมันมาเจอว่าสองสามีภรรยาเป็นคนช่วยนางไว้พวกเขาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

ยามตะวันไร้แสงบริเวณรอบบ้านที่ซูเมิ่งอยู่นั้นมืดเสียจนมองไม่เห็นอะไร ซูเมิ่งแอบหยิบแผ่นแป้งมาสองแผ่นจากในครัวหลังกินอาหารเย็นกับสองสามีภรรยาเสร็จ ก่อนนอนผู้เป็นภรรยาก็เปลี่ยนผ้าพันแผลที่ไหล่ซูเมิ่งไปแล้วและให้นางดื่มยาต้มสมุนไพรที่พวกเขาบอกว่าช่วยลดอาการปวดได้ โดยผู้เป็นสามีคุยกับซูเมิ่งไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาต้องเข้าไปตลาดข้างบนเพื่อนำเนื้อสัตว์และสมุนไพรที่หามาได้ไปขายจึงอาสาจะไปบอกแก่หัวหน้าหมู่บ้านข้างบนให้คนตระกูลซูเมิ่งมารับไป แต่ซูเมิ่งก็ตอบเลี่ยง ๆว่าไว้พรุ่งนี้ตนจะบอกรายละเอียดตระกูลอย่างดี วันนี้ขอพักผ่อนก่อนซึ่งนายพรานหนุ่มก็ไม่ได้ติดใจถามต่อ แต่คิดว่ารอพรุ่งนี้ก็ไม่ช้าอะไร แต่ใครจะรู้เล่าว่าพอพรุ่งนี้ซูเมิ่งก็จะไม่อยู่แล้ว นางตัดสินใจรีบออกมาตั้งแต่ช่วงกลางคืนช่วงที่ทั้งสองคนหลับแล้ว

ซูเมิ่งหยิบเอาของที่คิดว่าเป็นของตัวเองออกมายังดีที่ปิ่นที่นางสั่งทำยังอยู่และเข็มข้างในก็ยังใช้งานได้ทำให้พออุ่นใจได้บ้าง ท่าการเดินของซูเมิ่งไม่ได้ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเช้าวันนี้เสียทีเดียวนางกินข้าวเติมกำลังเต็มที่ จากที่ไม่มีแรงเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตอนนี้จึงค่อยมีพลังขึ้นมาบ้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงน่าจะคือแผลลึกรอยธนูปักที่ไหล่ซ้าย จากที่ซูเมิ่งดูคิดว่าลูกธนูนั้นน่าจะมีพิษด้วย แต่เป็นเพราะสมุนไพรที่บุรุษนายพรานทำมาโปาะแผลไว้จึงทำให้ระงับการเจ็บปวดและการลุกลามของพิษได้ดียิ่ง ตอนนี้สมุนไพรพึ่งเปลี่ยนมันจึงยังออกฤทธิ์ระงับความเจ็บปวดได้เต็มสภาพอยู่ ฉะนั้นซูเมิ่งต้องอาศัยคืนนี้ในการเดินทางออกจากป่าแห่งนี้ก่อนที่อาการปวดของแผลจะกำเริบ

แผนของซูเมิ่งคือนางต้องพยายามหาคนของท่านพี่ของนางที่น่าจะยังคงตามหาตนอยู่เท่านั้น หากเป็นทหารของทางวังหรือคนอื่นนางต้องพยายามหลบหลีกเท่านั้น

อากาศยามค่ำคืนช่างหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจยิ่งนัก ฤดูวสันต์ที่ใกล้ช่วงหิมะตกนั้นเป็นช่วงที่ร่างบอบบางอย่างซูเมิ่งกลัวเป็นที่สุด บริเวณรอบข้างมีเสียงสัตว์ป่าร้องเป็นครั้งคราวคลอกับเสียงแมลงป่า รอบกายเงียบเหงาจนได้ยินแม้กระทั้งเสียงลม 

…อืม เป็นคราสองแล้วที่ซูเมิ่งรู้สึกเคว้งคว้างหลังจากได้มาเกิดใหม่ พลันในหัวก็นึกถึงใบหน้าคนในครอบครัว และท้ายที่สุดก็นึกถึงเจ้าของพู่ที่นางหยิบมาด้วยจากกองเสื้อผ้าตนก่อนออกมาจากกระท่อม ทว่าตัวนกหวีดนั้นหลุดขาดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เหลือเพียงพู่ดำไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น

 

เช้าวันรุ่งขึ้นแสงเเดดยามเช้าตกกระทบหลังคาที่ทำจากใบไม้แห้งแต่ทบหนาสะท้อนเข้าตากลุ่มผู้ผ่านมาจนตกเป็นเป้าที่น่าสนใจ

“เจ้าเข้าไปถามที” 

บุรุษร่างกำยำในชุดดำทะมึนหันไปเอ่ยกับบุรุษที่เดินตามมาด้านหลัง จากนั้นก็พยักหน้าให้คนอื่นที่เหลือราวเจ็ดถึงแปดคนเพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง ทำให้พวกเขาแตกกลุ่มกระจายกำลังออกค้นหาบ้านหลังนั้นอย่างเงียบเชียบ ส่วนบุรุษที่ถูกมอบหมายก่อนหน้าก็ปลดผ้าปิดหน้าออกเดินไปหน้าประตู ลงมือเคาะสักครู่ ก็มีบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งเปิดประตู

“พะ…พวกเจ้ามาหาข้าหรือ? มีอะไรหรือไม่”

นายพรานผู้ช่วยชีวิตซูเมิ่งไว้เป็นผู้ออกมาเปิดประตูให้ คราแรกที่เห็นผู้มาเคาะประตูก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย และยิ่งพอมองไปด้านหลังไม่ไกลกระท่อมของเขาเห็นชายที่เเต่งตัวคล้ายคนตรงหน้าจำนวนไม่น้อยทำให้ตกใจเข้าไปใหญ่

“ข้ามาหาคน สามวันที่ผ่านมาเจ้าเห็นบุคคลแปลกหน้าเข้ามาแถวนี้หรือไม่?”

น้ำเสียงดุดันที่ส่งมาทำเอาอัตราการเต้นของหัวใจของนายพรานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในหัวพลันคิดถึงสตรีที่ตนช่วยไว้ก่อนหน้า

“ตอบ มีหรือไม่!”

“อะเอ่อ ไม่มีขอรับ ไม่เห็นเลย”

เสียงตะคอกนั้นทำเอานายพรานร่างกำยำเข่าเกือบทรุด และยิ่งได้มองสบกับดวงตาเหี้ยมเกรียมของคนตรงหน้ายิ่งรู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง ขาสั่นเทิ่มแต่ยังดีที่มือคว้าจับขอบประตูไว้เสียก่อนจึงทำให้ร่างไม่ล้มลงไป

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อก็มีชายชุดดำสวมผ้าปิดหน้าอีกคนวิ่งเข้ามากระซิบบอกบางอย่างก็ชายหนุ่มตรงหน้านายพรานและทำให้ความกดดันพลันลดลง สุดท้ายคนตรงหน้าก็หันมาพูดกับนายพรานหนุ่มเสียงอ่อนลงแต่ก็ยังคงติดเยือกเย็นอยู่

“ต้องขออภัยด้วยที่มารบกวนเวลา พวกข้าไปล่ะ”

นอกจากจะให้คนหนึ่งไปสอบถามพูดคุยกับเจ้าของบ้านแล้ว ระหว่างนั้นก็แบ่งคนอีกกลุ่มหนึ่งลอบไปสำรวจภายในบ้านและบริเวณรอบ ๆด้วย

“เข้าไปในบ้านแล้วพบเพียงสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งขอรับ ไม่พบนางเลย และไม่มีเสื้อผ้าหรือสิ่งของที่น่าจะเป็นของนางเช่นกันขอรับ มีเพียงแต่ผ้าพันแผลที่มีเลือดชุ่มกำลังรอทำความสะอาดอยู่ที่หลังบ้านขอรับ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นเลือดของบุรุษที่มาเปิดประตูเช่นกัน”

“อืม แล้วเจ้าล่ะ?”

ก่อนพูดเขานึกไปถึงแขนข้างขวาของบุรุษที่มาเปิดประตูมีผ้าพันแผลพันอยู่เช่นกันจึงไม่นึกติดใจอะไรกับคำที่ถูกรายงานออกมา

“ส่วนบริเวณรอบนอกก็ไม่พบนางเช่นกันขอรับ มีรอยย่ำเดินทั่วไป”

ชายชุดดำผู้เป็นหวหน้าที่ใส่ชุดไม่ต่างกับคนในกลุ่มนิ่งเงียบ ในใจรู้สึกโกรธเคืองสตรีนางนี้ยิ่งนัก เป็นเพียงสตรีร่างบอบบางเท่านั้นแต่กลับสามารถรอดเงื้อมมือของพวกเขาไปได้ถึงห้าวัน จนป่านนี้พวกเขายังไม่เจอร่องรอยของนางเลยแม้เเต่น้อย พวกเขากะว่าลงมาใต้ล่างแล้วจะเก็บศพนางไปทว่ากลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ซึ่งมีความเป็นไปได้สองทางนั่นก็คือซากศพนางถูกสัตว์ป่ากัดกินจนไม่เหลือซาก สองนางเพียงบาดเจ็บอาจถูกคนช่วยไว้หรือไม่ก็กำลังกระเสือกกระสนช่วยตัวเอง ซึ่งหากเป็นกรณีหลัง บอกได้เลยว่าคุณหนูซูเมิ่งคนนี้นั้นต้องไม่ใช่เพียงสตรีในห้องหอธรรมดาเป็นแน่

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status