แชร์

บทที่ 36 (2)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:19:30

บทที่ 36 (2)

 

“ชายหญิงไม่ควรใกล้กัน ทีนี้ปล่อยหม่อมฉันลงได้หรือยังเพคะ”

น้ำเสียงและเเววตาที่เห็นได้เลือนลางเนื่องจากแสงในห้องนี้ไม่มากนั้นฉายแววจริงจัง

…แต่นั่นไม่ทำให้ซือหมิงรู้สึกว่าทำอะไรผิดแต่อย่างใด

“ข้ากำลังช่วยเจ้าให้ได้ดื่มน้ำ ข้าผิดหรือ? เจ้ากำลังป่วยอย่าพูดให้มากความเลย”

พูดจบก็ก้าวเท้าต่อไปพาซูเมิ่งไปถึงโต้ะและรินน้ำชาให้เสร็จสรรพ ซึ่งซูเมิ่งก็รับมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ นางอยากรีบดื่ม ๆให้จบ ๆไป และพอซือหมิงเห็นว่าร่างบางดื่มน้ำจนพอใจแล้วก็โน้มตัวลงช้อนซูเมิ่งขึ้นมาอีกครั้งและพาไปที่เตียง ไม่รับรู้ท่าทีต่อต้านของคนในอ้อมอกแต่อย่างใดจนนางหยุดขัดขืนไปเอง

“จริง ๆหากพระองค์อยากช่วยให้หม่อมฉันดื่มน้ำก็พาหม่อมฉันมาทีเตียงแล้วนำน้ำมาให้หม่อมฉันก็ได้นะเพคะ ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนั้น”

ซูเมิ่งเอ่ยเสียงเรียบหลังจากที่ถูกวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ใบหน้านางแฝงความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด

“อ้อ นั่นสิ ข้าลืมคิดไป ไว้คราหลังแล้วกัน”

“อ้อ ได้เลย แล้วแต่ความต้องการพระองค์เพคะ”

…เหนื่อยกายไม่พอยังต้องมาเหนื่อยใจอีก คนป่วยอย่างซูเมิ่งที่เป็นหนี้บุญคุณคนตรงหน้าจึงได้แต่เก็บท่าทีไม่พอใจไว้ แล้วมอบรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดไปให้แทน

“หม่อมฉันต้องขอบพระทัยชินหวังที่ช่วยหม่อมฉันไว้มากเลยเพคะ เอ่อ…ไม่ทราบว่าพระองค์มาเจอหม่อมฉันได้อย่างไรหรือเพคะ?”

ซูเมิ่งเอ่ยขึ้นหลังจากที่ขยับตัวเองให้เอนหลังพิงที่หัวเตียงเรียบร้อยแล้ว สายตาจ้องมองไปยังบุรุษหน้านิ่งตรงหน้าที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“ใคร ๆก็ต่างตามหาเจ้ากันทั้งนั้น เพียงชะตาของเจ้าต้องใจข้าจึงเลือกให้ข้าเป็นผู้เจอเพียงเท่านั้น”

…เขาพูดถึงเพียงนี้แล้วนางคงรับรู้ได้นะว่านางน่ะสมควรอยู่คู่กับเขาไปจนจบชาตินี้ เพราะแม้กระทั่งโชคชะตายังเข้าข้างซือหมิงให้มาเจอนาง ร่างสูงมองสบตากลับไปยังร่างบางที่ใบหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างเตียงและนั่งยังเก้าอี้ที่ถูกวางไว้ก่อนหน้า

“อ้อ หม่อมฉันช่างโชคดีจริงเชียวเพคะ”

…ใบหน้าซีดเซียวแอบเบ้บิดปากอย่างอดไม่ได้ ซูเมิ่งบอกได้เลยว่าตั้งแต่นางเกิดมาทั้งสองชาตินี้ไม่มีใครหลงตัวเองได้หน้าตายเท่าบุรุษตรงหน้าอีกแล้ว

“แล้วคนที่ตระกูลของหม่อมฉันรู้เรื่องพระองค์เจอหม่อมฉันแล้วหรือยังเพคะ?”

“ยัง”

พอได้ยินสตรีตรงหน้าเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาก็นึกถึงเรื่องสถานการณ์ของตระกูลไป๋ที่ถงฝูมารายงานก่อนหน้า แต่ก็ต้องปัดเรื่องนี้ตกจากสมองออกไปก่อน สองคิ้วเข้มขมวดมุ่นฉงนกับสิ่งที่ซูเมิ่งบอกแทน

“หม่อมฉันอยากขอให้พระองค์อย่าเพิ่งบอกพวกเขาเพคะ ได้ไหมเพคะ? หม่อมฉันไม่อยากให้คนที่อยู่เบื้องหลังแผนการทำร้ายตระกูลหม่อมฉันไหวตัวทัน หม่อมฉันว่าพระองค์ก็คงรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลไป๋ไม่มากก็น้อยแล้ว พระองค์คงจะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ที่ตระกูลไป๋นั้นไม่สู้ดีนัก”

นัยน์ตาดำที่มักเหมือนมีหมอกคลุมพลันใสกระจ่าง เฝ้ารอผลหลังจากตนพ่นเหตุผลมากมายเพื่อเกลี้ยกล่อมให้บุคคลตรงหน้ายอมทำตามที่ตนบอก

“ท่านพี่ซือหมิง”

“เอ๋ หมายความว่าไงเพคะ?”

บุรุษในชุดสีดำรัติกาลเหมือนอย่างเคยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย

“เรียกแทนข้าว่าท่านพี่ซือหมิง”

“อ้อ ได้เพคะ แล้ว…”

…หวังว่าที่นางพูดมาทั้งหมดจะไม่เสียเปล่าหรอกกระมัง ซูเมิ่งอุตส่าห์ตั้งใจพูดเสียมากแต่เขากลับจับประเด็นได้เรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ข้ารับปากเจ้า แต่ข้าต้องบอกให้รู้ก่อนว่าตอนนี้สถานการณ์ตระกูลของเจ้าเป็นอย่างไร…”

หลังจากนั้นซือหมิงก็ร่ายยาวถึงเหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับตระกูลไป๋ทั้งเรื่องราชสำนักและเรื่องที่พี่ใหญ่ของนางกำลังเดินทางไปหมู่บ้านชายเเดนเพื่อแก้ปัญหาและหาทางล้างมลทินให้ตระกูลไป๋

“หม่อมฉันอยากไปช่วยพี่ใหญ่เพคะ”

“ไม่ได้ เจ้าต้องรอหมอพิษอยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องช่วยพี่เจ้าข้าจัดการเรียบร้อย” 

ชินหวังพูดตัดคำซูเมิ่งแทบจะทันที

“ต้องขอบพระทัยท่านพี่ซือหมิงอีกครั้งเพคะ เเต่เรื่องนี้หม่อมฉันคงไม่สามารถนิ่งเฉยแล้วให้พระองค์ลำบากแทนได้เพคะ”

…สำหรับซูเมิ่งแล้วนางไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครอยู่แล้ว และเรื่องล้างมลทินให้ตระกูลก็เป็นหน้าที่ของคนในตระกูลไป๋หาใช่เรื่องของคนนอกไม่ และอีกอย่างคือซูเมิ่งก็ไม่รู้ว่าการที่ชินหวังยื่นมือเข้ามาช่วยนั้นเป็นเพราะเหตุใด ฉะนั้นการช่วยด้วยกำลังตนเองเป็นดีสุด

“งั้นรอเจ้ากำจัดพิษในร่างกายได้ก่อน ตอนนี้ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงเทียบยาที่เจ้ากินจะต้านพิษไม่ให้กำเริบได้นานเท่าไรกัน ฉะนั้นเจ้าต้องรอหมอพิษอยู่ที่นี่ก่อน”

หมอจูที่รักษาซูเมิ่งและเป็นคนที่เขียนเทียบยาระงับอาการเจ็บปวดจากพิษแฝงนั้นเอ่ยถึงหมอพิษเลื่องชื่อคนหนึ่ง เขาคือบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รู้เรื่องพิษอันดับหนึ่ง และขึ้นชื่อว่าพบเจอได้ยากอีกด้วย ฉะนั้นตอนนี้ซือหมิงให้คนออกตามหาอยู่จึงทำได้เพียงให้ซูเมิ่งกินยาระงับอาการอยู่ โดยหมอจูบอกว่าพิษตัวนี้คือพิษที่แฝงอยู่ในร่างกายของซูเมิ่งมาตั้งนานแล้ว และที่เพิ่งมาแสดงอาการอาจเพราะถูกกระตุ้นด้วนพิษจากธนูอาบยาพิษ ต่อจากนี้หากไม่รีบกำจัดพิษนี้ออกจากร่างกายอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ซือหมิงจึงไม่อยากให้ร่างกายบอบบางของสตรีตรงหน้าออกไปลำบากข้างนอก

“ไม่ได้เพคะ กว่าจะเจอหมอพิษท่านนั้นมิรู้ว่าตระกูลของหม่อมฉันจะเป็นอย่างไรบ้าง ความจริงหม่อมฉันก็รบกวนท่านพี่ซือหมิงมามากแล้ว พรุ่งนี้หม่อมฉันจะขอออกเดินทางไปเองเพคะ”

นัยน์ตาจริงจังสบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ สายตาสองคู่โต้ตอบกันสักครู่ก็เป็นฝ่ายซือหมิงที่ยอมเสมองไปทางอื่น

“รอเจ้าแข็งแรงมากกว่านี้แล้วเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเองแล้วกัน”

พูดจบร่างสูงโปร่งก็หมุนตัวออกไป พอเห็นว่าแผ่นหลังกว้างพ้นประตูแล้วเสียงพ่นลมหายใจพรูใหญ่อย่างโล่งอกก็ดังขึ้นท่ามกลางห้องกว้าง

…ค่อยยังชั่ว นึกว่าตนต้องแบกสังขารตัวเองออกไปพรุ่งนี้จริงเสียแล้ว ยังดีที่เขายอมทำตามที่นางบอก 

 

หลังจากตกลงกับชินหวังเป็นเรียบร้อยแล้ววันหนึ่งก่อนออกเดินทางไปหมู่บ้านชายแดนตามที่ชินหวังสัญญาไว้ว่าจะพานางไปก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซูเมิ่งรู้สึกตะลึงลานเป็นอันมาก นั่นคือบุรุษหน้ากากดำที่ชื่อช่างอินหรือเจ้าของหอสรรพสิ่งคนที่ซูเมิ่งเคยเจอเมื่อสมัยตอนมาเกิดร่างนี้ใหม่ ๆนั่นคือซือหมิงนั่นเอง โดยซูเมิ่งได้เห็นกับตาและฟังจากปากว่าเขาใช้บทบาทนี้ยามออกเดินทางออกมานอกเมืองหลวง พอเห็นดังนั้นจากที่ซูเมิ่งคิดไว้ว่าตนจะใช้หน้ากากแบบเดิมปิดบังใบหน้าและใช้นามช่างหลินที่เคยใช้เมื่อยามหาทางกลับตระกูลครั้งก่อนก็เป็นอันพับเก็บแทบไม่ทัน เพราะทั้งความคิดการใส่หน้ากากและนามที่นางแต่งขึ้นตอนนั้นนางเลียนแบบคุณชายช่างอินหรือซือหมิงแทบจะทั้งหมดน่ะสิ!

…เขาใส่หน้ากากสีดำ นางก็ซื้อหน้ากากสีขาว และเขานามว่าช่างอินนางก็แต่งนามตัวเองว่าช่างหลิน! นี่ไม่เรียกว่าเลียนแบบแล้วจะเรียกว่าอะไรได้เล่า ซูเมิ่งจึงไม่คิดที่จะเผยว่าตนคือช่างอินจนกระทั่งในวันออกเดินทาง

“คุณหนูซูเมิ่งขอรับ นายท่านให้นำสิ่งนี้มาให้คุณหนูขอรับ”

ถงฝูเดินเข้ามาหาซูเมิ่งก่อนที่นางจะก้าวขึ้นรถม้า ซูเมิ่งมองห่อผ้ามันเลื่อมในมือที่รับมาจากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป การเดินทางไปหมู่บ้านชายป่าครานี้มีรถม้าทั้งหมดสามคัน คันหนึ่งสำหรับนาง ส่วนอีกสองคันไว้สำหรับบ่าวสตรีสองคนและไว้บรรทุกของ

พอรถม้าเคลื่อนตัวซูเมิ่งจึงหันมาสนใจห่อผ้าในมือที่ซือหมิงฝากมาให้นาง สองมือเเกะปมออกจนเผยสิ่งของที่อยู่ด้านใน

…หือ หน้ากากสีขาว แล้วก็กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกสอดไว้กับหน้ากาก

 

หน้ากากนี้ข้าให้เจ้าไว้ใช้ช่วงที่อยู่ที่หมู่บ้านชายแดน พอถึงที่นั่นแล้วข้าหวังว่าเจ้าจะใช้นามว่า ช่างหลินล่ะ

จาก คุณชายที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ช่างอิน

 

…โอ หวังว่าที่นางคิดไว้จะไม่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม

หลังจากอ่านจดหมายจบแล้วมือบางก็เอื้อมมือเลิกม่านขึ้น สายตาสองคู่ปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งดวงตาฉายแววกระยิ้มกระย่องแทบปิดไม่มิด ส่วนอีกฝ่ายพอเห็นว่าสบตากันก็เสมองไปทางอื่นแทบจะทันที หลบเลี่ยงพยายามไม่สบตากับบุรุษที่ควบม้าอยู่ข้างรถม้า

 

ผลจากที่ท่านแม่ทัพไป๋ใช้ยศแลกมาซึ่งโอกาสการแก้ตัวนี้แล้ว เขา คุณชายใหญ่ไป๋เหิงซานก็รีบเก็บของและเตรียมการเดินทางไปยังหมู่บ้านชายแดนวันรุ่งขึ้นทันที ข้าวของที่เตรียมมาไม่มากโดยฝ่าบาทให้ตัวแทนตระกูลไป๋เดินทางไปกับขบวนขนเสบียงครั้งใหม่ที่จะทำไปช่วยชาวบ้านที่หมู่บ้านที่เกิดเรื่องขึ้นนั่นเอง ระหว่างทางนั้นขบวนขนเสบียงแวะจอดที่หมู่บ้านใดหัวหน้าหมู่บ้านหรือนายอำเภอก็จะออกมาต้อนรับอย่างดีเสียทุกเเห่ง ซึ่งเหิงซานก็พลอยได้รับโอกาสนั้นด้วย ถึงแม้ว่าผู้เป็นบิดาจะถูกถอดยศแม่ทัพใหญ่และถูกริบกำลังแล้ว แต่เขาซึ่งดำรงตำเเหน่งรองแม่ทัพหาได้ถูกถอดยศด้วยไม่ ฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ของเขาหากเทียบตามยศแล้วเหิงซานคือผู้ที่มีตำเเหน่งหน้าที่การงานใหญ่ที่สุดแล้ว

เดินทางราวสองวันขบวนรถขนเสบียงจากราชสำนักก็มาถึงจุดหมาย เหิงซานและข้าราชการในขบวนได้รับการต้อนรับจากนายอำเภออย่างดี เขาถูกพาไปพักยังเรือนรับรองของที่จวนนายอำเภอ

“หากจะไปยังหมู่บ้านเทียนหลิวข้าต้องไปอย่างไรหรือ?”

ก่อนที่นายอำเภอสกุลถางจะเดินออกจากห้องพักของเหิงซานก็ถูกเจ้าของห้องทำให้หยุดชะงักเท้าเสียก่อน บุรุษร่างเล็กความสูงพ้นบ่าของเหิงซานไม่มากหันกลับมาฉีกยิ้มกว้างก่อนตอบ

“เรียนใต้เท้าขอรับ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปขอรับ ข้าน้อยจะเป็นผู้นำท่านไปยังหมู่บ้านนั้นเอง แต่วันนี้ข้าน้อยว่าใต้เท้าพักก่อนเถอะขอรับ ท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย"

เหิงซานพยักหน้าเบา ๆ เขามองตามนายอำเภอถางจนลับสายตา จากนั้นก็เก็บของตนเเม้ในใจตนจะร้อนรุ่มอยากไปหาสาเหตุเรื่องโรคที่หมู่บ้านนั้นกำลังเผชิญแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็ต้องอดไว้เขาคิดว่าสิ่งที่ต้องเจออาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิดไว้แน่นอน

เช้ารุ่งขึ้นเหิงซานในชุดสีกรมดูภูมิฐานและฉืออีที่ติดตามมาด้วยก็ขี่ม้าตามการนำของนายอำเภอถางมายังหมู่บ้านชายแดนที่เกิดเรื่องนามเทียนหลิว ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอและที่พักของเหิงซานประมาณนึง ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม ยิ่งใกล้ตัวหมู่บ้านทางเข้าที่ตรงมายังหมู่บ้านยิ่งแคบลง และจากที่มีบ้านเรือนเรียงติดกันอย่างในตัวอำเภอกลับกลายเป็นท้องทุ่งและบ้านหลังเล็กแทน

“ตรงหน้าก็เป็นทางเข้าหมู่บ้านแล้วขอรับใต้เท้า”

ข้าราชการนายหนึ่งนามกว่างอานเอ่ยบอก เขาคือคนที่นายอำเภอถางส่งมาอำนวยความสะดวกให้เหิงซานตลอดที่เขาอยู่ที่นี่ ซึ่งพอมาถึงแล้วนายอำเภอและข้าราชการที่มาด้วยก็ลงจากรถม้า เดินมารวมกันเป็นกลุ่มจากนั้นกว่างอานก็หยิบถุงผ้าใบหนึ่งขึ้นมาข้างในบรรจุของบางอย่าง

“รับไปคนละผืนขอรับ” 

กว่างอานเดินแจกจ่ายผ้าผืนสีขาวที่มีเชือกร้อยยามออกมาที่ขอบด้านหนึ่ง

“สิ่งนี้คือ?”

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status