กว่าจะรู้ตัวอีกที สองมือแกร่งก็ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ากอดแนบอก ก่อนเสียหลักล้มลงนอนหงาย กลายเป็นเบาะให้เธอ
“คุณ...” หญิงสาวอ่อนเยาว์เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าตกใจที่เห็นหน้าเขาหรือตกใจเพราะพลัดตกลงมา
เธอแข็งขืนเหมือนพยายามจะดันตัวลุกขึ้น
แต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขายังกอดร่างเธอไว้แน่น การกระทำนั้น เลยกลายเป็นการขยับตัวให้เส้นผมกรุ่นกลิ่นกุหลาบจางๆ คล้อยลงไล้แก้มเขาอย่างไม่ตั้งใจ
ความอ่อนนุ่มที่ขยุกขยิกอยู่บนตัวเขา...กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน...ดวงตาตื่นๆ คู่ที่เคยตรึงสายตาและเชิญชวนให้เขาทำเรื่องผิดบาป สามอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปในวินาทีนั้น
เธออยู่ตรงนี้ อยู่บนตัวเขา อย่างแนบชิด
ไซรัสระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการประคองร่างบอบบางในอ้อมแขนลุกขึ้นยืน แล้วสอบถามอย่างมีอารยะ
“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่...ไม่ค่ะ” ทั้งๆ ที่เธอตอบแบบนั้น แต่เขากลับสังเกตเห็นรอยบาดที่ฝ่ามือ
มันอาจจะเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบาดแผลส่วนใหญ่ที่เขาพบเห็นมาในชีวิต แต่รอยแผลนั่น ก็ดูน่ากลัวเมื่อเกิดขึ้นบนฝ่ามือขาวๆ ที่ดูบอบบางกว่าใคร
ไซรัสเหลียวมองไปด้านบน นอกจากผ้าคลุมไหล่ผืนสวยที่เขาจำได้แม่นว่าเป็นผลงานปักจากร้านเขา บนนั้นมีกิ่งไม้หักอยู่หนึ่งกิ่ง พอเดาได้ว่าคงเป็นกิ่งเดียวกันกับที่เรียกเลือดสีแดงฉานให้ไหลอาบฝ่ามือเธออย่างรวดเร็ว
“อันตรายนะครับ” เขาตำหนิสั้นๆ ก่อนเหยียบลายแกะสลักหยักลึกบนเสาหิน ส่งตัวเองขึ้นไปบนระเบียง
จากบนนี้ พ่อค้าหนุ่มสามารถยื่นมือไปเก็บผ้าผืนที่เล่นงานจนคุณหนูคนเล็กของคฤหาสน์พลัดตกระเบียง ได้อย่างสบายๆ
เขาลอบยิ้มทันทีที่คว้าผ้าเจ้าปัญหาไว้ในมือ
อันที่จริงผ้าผืนนี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากระเบียงสักเท่าไหร่ อัยน์นาจะเลือกเก็บผ้าคลุมไหล่ด้วยวิธีอื่นไม่ต้องฝืนทำขนาดนั้นก็ยังได้ และจากตรงนี้ ต่อให้พลัดตกลงไป ถ้าคนที่ตกลงไปรู้วิธีปกป้องตัวเองบ้างสักเล็กน้อย แข้งขาก็คงไม่หัก ไม่เสียโฉม ไม่มีอันตรายมากกว่าการได้บาดแผลยิบย่อย
...ที่ท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายผู้เลื่องชื่อเลือกทำแบบนี้ อาจเพราะต้องการให้ภาพลักษณ์พี่สาวต่างมารดายิ่งเลวร้ายในขณะที่ตัวเองยิ่งดูน่าสงสาร...
ทั้งๆ ที่รู้ว่าแม่กุหลาบแรกแย้มดอกนี้หนามแหลมคมนัก แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอยากเอาชนะมากกว่าจะหยามหมิ่น
อัยน์นา ไร้สกุล ‘โฉมงาม’ นางนี้...ช่างไม่ธรรมดาเลย
“ของดิฉันเองค่ะ” เสียงเกือบจะตะโกนจากพริสซิลล่า ดึงให้ไซรัสหลุดจากห้วงคิด
เจ้าหล่อนรีบปราดเข้ามาแสดงตัว ทำเหมือนกลัวเขาหนีหน้าหรือส่งผ้าในมือให้คนอื่นด้วยความเข้าใจผิดอย่างไรอย่างนั้น
พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองลงไปด้านล่าง...ตอนนี้หญิงสาวที่เขาช่วยไว้เดินจากไปแล้ว เธอเดินออกไปทางอาคารหลังเล็กด้านซ้ายโดยมีสาวใช้สองนางช่วยประคอง ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนสงสาร
ด้านซ้ายมือเธอยังมีสาวใช้สองสามรายลอบปาดน้ำตาด้วยซ้ำ
น่าสงสารหรือ...บางทีตอนนี้ท่านหญิงทั้งสองกับมารดา อาจจะน่าสงสารยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
“ท่านหญิงพริสซิลล่า” ไซรัสหันกลับมามองสบตาหญิงสาวผมทองหยักสวยตรงหน้าด้วยความเวทนา
ดูเผินๆ สตรีนางนี้อาจจะดูเหมือนเสือ ในขณะที่อัยน์นาไม่ต่างอะไรไปจากลูกแกะน้อย แต่ความจริงแล้ว ท่านหญิงผู้นี้ก็แค่แมว ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นหมาป่าที่ถลกหนังแกะมาสวมไว้
“หากนี่เป็นการเสียมารยาท ผมต้องขออภัย แต่ผมจะไม่อ้อมค้อม...”
พริสซิลล่าพยักหน้าน้อยๆ อย่างสุภาพสตรีชั้นสูงแทนการอนุญาตให้เขาพูดต่อ
แก้มเจ้าหล่อนขึ้นสีชมพูระเรื่อ สายตาคาดหวัง ทำท่าราวกับกำลังรอคอยคนรักคุกเข่าขอแต่งงาน
ไซรัสไม่ได้สนใจท่าทางนั้น ทำเพียงพูดเรื่องที่คิดว่าควรเตือนก่อนที่คุณหนูรายนี้จะคิดเลยเถิดไปไกล
“ผมไม่ทราบว่าเรื่องจริงเป็นแบบไหน แต่ก็เชื่อว่าผู้หญิงบอบบางงดงามอย่างท่านหญิงไม่ใช่คนร้ายกาจอย่างเรื่องเล่า” เขาจ้องลึกลงในดวงตาสีเขียวดั่งมรกต เพื่อแสดงความจริงใจ “เห็นแก่มรกตงดงามในตาคุณ ถ้าอย่างไร นับจากนี้ลองละวางเรื่องอัยน์นาบ้างดีไหม ปล่อยเธอไว้อย่างนั้น อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอมากนัก”
“พูดอะไรกันคะ คุณพี่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” แอนนาเบลรีบเถียงแทนพี่สาว “คุณพี่แค่ให้เก็บผ้า แต่แม่นั่นดันเซ่อซ่าจนตกลงไป มันทำตัวเองต่างหาก!”
‘ปาก สะ หว่าง’
ท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์ลอบขยับริมฝีปากตำหนิน้องสาว แต่ไซรัสก็ตาไวพอจะทันเห็น
“ไม่ว่าเรื่องจะเป็นมายังไง แต่คนอื่นก็มองไม่ดีนะครับ” เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เลือกเตือนสั้นๆ
ไม่กล่าวโทษใคร ไม่ตัดสิน
“คุณ...” เธอพยายามคุมน้ำเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลเหมือนปกติ ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนขัดคอเพราะประโยคนั้น “หลงทางเหรอคะ”“ไซรัสครับ”“ค่ะ...ใครใครก็เรียกคุณว่าไซรัส ดิฉันจำได้” ปากตอบด้วยท่าทีสงบ แต่สายตาอยู่ไม่สุขกลับเผลอจ้องริมฝีปากเขาแล้วนึกถึงเรื่องในสระน้ำขึ้นมา “มาธากับเพื่อนๆ บอกว่าคุณอาจจะมาตรวจสอบความพึงพอใจลูกค้าด้วยตัวเอง...แล้วคุณก็มาจริงๆ”“ครับ” เขารับคำสั้นๆ พลางเดินตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ ยากจะคาดเดา “แผลนั่นดูดีขึ้นมากเลยนะครับ โชคดีจริงๆ ที่กิ่งไม้ไม่บาดลึกกว่านี้”เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน อัยน์นาจึงเลือกคลี่ยิ้มน้อยๆ แทนการตอบ“พบคุณก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่พอดี” แขกของคฤหาสน์สบตาเธอด้วยแววตาเปี่ยมประกายเอาจริงเอาจังเจิดจ้าทว่ามีสัดส่วนของความยวนเย้าอย่างเปลวไฟ อัยน์นาจึงเลือกตอบกลับปฏิกิริยานั้นด้วยการจ้องลึกลงในตาเขาด้วยแววตาบริสุทธิ์เหมือนน้ำใสสะท้อนแสงดาวสุกสกาวก็เอาสิ ถ้าผู้ชายคนนี้อยากเล่นเกมจ้องตากับเธอ วันน
“แหม แขนคุณถลอกนี่คะ” พริสซิลล่าเปลี่ยนเรื่องคุยทั้งอย่างนั้น เจ้าหล่อนขยับเข้าจับแขนเขา พลิกดู แล้วสั่งน้องสาวด้วยท่าทีสุภาพใจเย็นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แอนนาเบลจ๊ะ ไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมาให้พี่ที สาวใช้พวกนี้ใช้การไม่ได้ แค่ตกใจเข้าหน่อยก็หนีหายออกไปมุงดูกันหมด”แอนนาเบลจะเดินผละออกไป แต่ไซรัสรีบชิงปฎิเสธ“อย่าลำบากเลยครับ แค่รอยถลอกเท่านี้”“ทำไมคะ หรือกลัวอยู่ในห้องด้วยกันสองคนนานๆ แล้วผู้คนจะนินทา”ไซรัสเลือกจะไม่ต่อปากต่อคำ เพียงคุยด้วยไม่เท่าไหร่ เขาก็เดาออกแล้ว ว่าพริสซิลล่าดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหนพอเห็นเขาไม่ตอบอะไร เจ้าหล่อนก็อ้าปากพูดเพิ่ม“หรืออยากรีบไปดูใจอัยน์นาเหมือนสาวใช้สองคนล่าสุดที่เข้ามาในห้องนี้” คุณหนูคนโตช้อนตา มองค้อน แล้วเบือนหน้าหนี วางท่าเหมือนตั้งใจงอนให้ง้อตอนนั้นเอง แอนนาเบลก็ชิงเดินหลบออกจากห้องไปเงียบๆ ทั้งห้องจึงเหลือพ่อค้าหนุ่มกับท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์เพียงสองคนเท่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง&ldquo
กว่าจะรู้ตัวอีกที สองมือแกร่งก็ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ากอดแนบอก ก่อนเสียหลักล้มลงนอนหงาย กลายเป็นเบาะให้เธอ“คุณ...” หญิงสาวอ่อนเยาว์เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าตกใจที่เห็นหน้าเขาหรือตกใจเพราะพลัดตกลงมาเธอแข็งขืนเหมือนพยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขายังกอดร่างเธอไว้แน่น การกระทำนั้น เลยกลายเป็นการขยับตัวให้เส้นผมกรุ่นกลิ่นกุหลาบจางๆ คล้อยลงไล้แก้มเขาอย่างไม่ตั้งใจความอ่อนนุ่มที่ขยุกขยิกอยู่บนตัวเขา...กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน...ดวงตาตื่นๆ คู่ที่เคยตรึงสายตาและเชิญชวนให้เขาทำเรื่องผิดบาป สามอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปในวินาทีนั้นเธออยู่ตรงนี้ อยู่บนตัวเขา อย่างแนบชิดไซรัสระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการประคองร่างบอบบางในอ้อมแขนลุกขึ้นยืน แล้วสอบถามอย่างมีอารยะ“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”“ไม่...ไม่ค่ะ” ทั้งๆ ที่เธอตอบแบบนั้น แต่เขากลับสังเกตเห็นรอยบาดที่ฝ่ามือมันอาจจะเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบาดแผลส่วนใหญ่ที่เขาพบเห็นมาใน
นับตั้งแต่นาทีแรกที่รถม้าเคลื่อนผ่านประตูรั้วกว้างขวาง ไซรัสก็รู้สึกถึงความเงียบสงบอันหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงคฤหาสน์แกรนเทรนท์ที่ปรากฏแก่สายตาเขาในยามนี้ ไม่ใช่คฤหาสน์หลังโต รูปทรงโก้หรู เหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ ในเมืองหลวงแห่งนี้โดยรวมแล้ว อาจจะพูดได้ว่า คฤหาสน์แกรนเทรนท์เป็นคฤหาสน์เก่าคร่ำคร่า รูปทรงโดยรวมดูเรียบเกินกว่าจะบอกว่าสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมของยุคสมัย ตัวสิ่งปลูกสร้างรายรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ประเมินจากรูปทรงภายนอกตัวอาคารแล้ว พอเดาได้ว่ามีชั้นปกติสามชั้น และมีชั้นซึ่งเป็นห้องใต้หลังคาอีกหนึ่งชั้น รวมทั้งหมดเป็นสี่ชั้น ตัวตึกไม่ได้สร้างและตกแต่งด้วยอิฐสีหรือหินอ่อนเหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ แต่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยหินตัดและปูน ดูแล้วชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่โบราณพวกอนุรักษ์นิยม...หรือไม่ก็พวกประหยัดมัธยัสถ์...ไซรัสประเมินตัวตนเจ้าบ้านจากสภาพคฤหาสน์ยังหรอก...ยังต้องดูให้ถี่ถ้วนกว่านี้ เขาเตือนตัวเองจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มามนุษย์บางคน ก็เก็บซ่อนตัวตนมิดชิด ทำตัวเหมือนน้ำนิ่ง มองภายนอกดูเหมือน
“ต้องแบบนี้สิ” พริสซิลล่าดีดตัวลุกจากที่นั่ง “เห็นนั่นไหมจ๊ะ” เจ้าหล่อนกรีดนิ้วชี้ไปที่ผ้าผืนสวยบนปลายกิ่งต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ ระเบียง“ต้นไม้เหรอคะ” อัยน์นาแกล้งถามพาซื่อ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลยคงเพราะสีหน้าเธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเกินไป คนที่จับข้อมือเธอไว้อย่างแอนนาเบลก็เลยหมั่นไส้จนถึงขั้นออกปากด่า“ฉลาดน้อย!”ท่านหญิงคนรองของคฤหาสน์รีบบุ้ยใบ้ไปยังผ้าคลุมไหล่โปร่งบางปักดิ้นเงินดิ้นทองที่พาดอยู่บนกิ่งไม้“นั่นย่ะ ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่คุณพ่อสั่งทำให้คุณพี่พริสซิลล่าต่างหาก”“ทำไมผ้าคลุมไหล่ถึงไปอยู่บนนั้นได้ล่ะคะ” คนโดนจิกแขนยังคงวางสีหน้าซื่อใส เหมือนไม่เข้าใจอะไรสักนิด“ลมพัดไปน่ะ” พริสซิลล่าตอบพลางชี้นิ้วสั่งให้สาวใช้ยกแก้วชาส่งให้ เจ้าหล่อนสูดกลิ่นหอมจากชา ก่อนถาม “ไหนไหนเราก็เป็นพี่น้องกันนี่เนอะ ถือว่าช่วยพี่สาวอีกสักครั้ง ช่วยปีนขึ้นไปเก็บมาให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”“ปีนเหรอคะ” อัยน์นาถาม สีหน
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” ความคาใจ ขับให้อัยน์นาออกปากถามอย่างตรงไปตรงมา“เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าเรื่องนี้จริงเท็จสักแค่ไหน บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความหวาดระแวงของพวกมนุษย์ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่โบราณมา ดินแดนหลังแนวภูเขาถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าป่าดึกดำบรรพ์ที่คั่นระหว่างดินแดนเร้นลับที่ว่านี้กับอาณาจักรอัสกันด์เสียอีก คนโบราณเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา การที่ความเชื่อเก่าแก่ถูกแทนที่ด้วยเรื่องพรรค์นี้รวดเร็วชนิดไฟลามทุ่งแบบนี้...มันออกจะผิดปกติ”“คุณพ่อหมายถึงการสร้างกระแสความหวาดกลัวเพื่อให้ทุกคนคล้อยตามโดยไม่ปริปากถาม กับการสร้างความชอบธรรมที่จะทำสงครามกับพวกอสุรกายพวกปีศาจน่ะเหรอคะ...แต่ถ้าเรื่องมันไม่ร้ายแรงอะไร พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรเราจะอยากเอาอาณาจักรตัวเองไปเสี่ยงทำไม?”ท่านเจ้ากรมการเมืองจ้องลึกลงในตาลูกสาวคนสุดท้อง คล้ายจะอ่านความคิดบางอย่างชายสูงวัยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถาม“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ”“เป็นไปไม่ไ