อีกแล้ว...
สตรีเลือดผสมทำให้เขาไขว้เขวอีกแล้ว
เธอทำให้เขาไขว้เขวจากทุกสิ่งทุกอย่างจนเผลอเดินตรงมาหาทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องคุย แล้วก็ทำให้เขาที่ผ่านโลกมาไม่น้อยเกิดนึกอะไรไม่ออกจนต้องยกเรื่องท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์มาพูด จากนั้นก็ดึงให้เธออยู่ใกล้ๆ ด้วยการขอร้องแกมบังคับให้ช่วยนำทางแบบนี้
ไร้สาระสิ้นดี ไซรัสถอนหายใจอย่างหนักหน่วง อดตำหนิตัวเองไม่ได้ ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรเสียเวลาสนใจเรื่องนอกเหนือเป้าหมาย และรู้ทั้งรู้ว่าควรจะวางตัวเป็นมิตรกับเธอกว่านี้ ควรจะปฏิบัติตัวดีต่อเธอเหมือนที่ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ เพื่อให้ทำงานของตัวเองได้อย่างราบรื่น แต่เขากลับโดนประกายชวนฝันซ่อนร้ายในตาเธอปลุกความรู้สึกอยากเอาชนะจนเผลอเข้าใกล้ด้วยท่าทีชวนหาเรื่อง
ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็น
น่าขันสิ้นดี ชีวิตเขาเจอผู้หญิงมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ อย่างท่านหญิงกุหลาบทะเลทรายวัยแรกแย้มดอกนี้น่ะ ก็แค่จัดว่างดงามทรงเสน่ห์ ในสังคมเวเนเซียท่านหญิงรายนี้อาจจะเป็นหญิงสาวเต็มตัว อยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสมจะออกเรือน สัดส่วนอุปนิสัยเองก็ดูเป็นผู้ใหญ่เสียยิ่งกว่าคนอายุมากกว่าหลายๆ คน แต่เทียบกับเขาแล้ว เธอยังอ่อนเยาว์มากนัก
พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองอัยน์นาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองเผลอถอนหายใจเสียดัง เขาไม่ประหลาดใจนักที่หญิงสาววัยแรกแย้มผู้เดินนำหน้าเขายังคงวางตัวนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รู้ตั้งแต่วันแรกที่พบเธอแล้ว ว่าเธอคนนี้ช่างวางตัวได้สุภาพเรียบร้อยและสง่างามสมเป็นท่านหญิงเสียยิ่งกว่าท่านหญิงตัวจริงเสียอีก
“หลังจากคืนนั้น...ได้ข่าวว่าคุณล้มป่วย” ไซรัสเลือกทำลายความเงียบอย่างระมัดระวัง
เขาไม่อยากให้หญิงสาวอ่อนวัยรายนี้ตั้งแง่ใส่...อย่างน้อยๆ ก็เฉพาะตอนนี้ ตอนที่เขาอาจต้องใช้ ‘เจ้ากรมการเมือง’ ต่างบันไดทอดยาวไปหาเป้าหมาย
“ค่ะ” เธอตอบด้วยท่าทีสำรวม ดูระมัดระวังเสียยิ่งกว่า
“ท่านเจ้ากรมการเมืองทราบเรื่องที่คุณโดนปองร้ายแล้วหรือยัง” พอพูดเรื่องนี้ พ่อค้าอัญมณีก็นึกถึงคืนค่ำย่ำน้ำค้างแสนวาบหวามขึ้นมา
คืนนั้น เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวผุดผาด...เหมือนวันนี้
“...ยังค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนวลจากปากเธอ ดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ดิฉันไม่อยากให้คุณพ่อท่านทราบ คุณก็รู้...ถ้าคุณพ่อรู้เข้า เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่” คุณหนูคนใหม่เม้มริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มแต่ดูอิ่มสวยก่อนเอ่ยประโยคถัดไป “เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว...ช่วยลืมมันไปได้ไหมคะ”
“เอาเป็นว่า ผมสัญญาว่าจะไม่บอกท่านเจ้ากรมการเมือง” เขาเลือกที่จะประนีประนอมในข้อนี้
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณพอจะนึกออกบ้างไหม ว่าใครทำเรื่องแบบนี้”
เจ้าหล่อนก้าวพลาดในวินาทีนั้น
จะด้วยเพราะตั้งใจด้วยหวังผลบางอย่าง เพราะรู้สึกอับอาย เพราะเกิดขุ่นเคือง เพราะกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ในใจ หรือเพราะเหตุสุดวิสัยก็ไม่ทราบ หลังโดนถามแบบนั้น เจ้าของร่างอ้อนแอ้นในชุดสีขาวก็ก้าวพลาด เผลอทำตัวเองสะดุดก้อนอิฐชำรุด จนเสียหลักล้มไปข้างหน้า
เขายื่นมือเข้าฉวยเอวเธอทันที แล้วสุภาพสตรีที่เกือบล้มหน้าคว่ำก็กลับหลังหันมามองเขาสีหน้าตกใจ ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในสภาพใกล้ชิดเกินงามเป็นครั้งที่สองของวัน
ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือจงใจ แต่ครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่ไซรัสรู้สึกถึงกลิ่นกุหลาบหอมชวนฝัน
หนก่อนหน้านี้เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยเขาถึงต้องวางตัวให้เหมาะสม แต่ตอนนี้...นอกจากแม่สาวสายเลือดซาเมียร์จอมพยศแววตาซ่อนร้ายคนนี้กับเขา...ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้น
“เอ่อ...” หญิงสาวชื่อแปลกหูดันตัวเขาเบาๆ เหมือนต้องการผละจากไป เธอคงคาดหวังให้เขาปล่อยแล้วกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพ เขาเองก็คาดหวังว่าตัวเองจะปล่อย แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำแบบนั้น
“ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราคุยเรื่องนึงค้างเอาไว้” ไซรัสเอ่ยอย่างแผ่วเบาหลังจากที่นิ่งอยู่นาน ความปรารถนาอยากเอาชนะและอารมณ์เริ่มต่อยตีกับเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล
“ร...เรื่องอะไรกันคะ”
น้ำเสียงสั่นๆ กับท่าทีหวาดๆ ที่เธอแสร้งทำ ทำให้ความปรารถนาและอารมณ์เป็นฝ่ายชนะ
“เรื่องดอกไม้ในทุ่งหญ้า” เขาบอกเรียบๆ ทว่าความแข็งแกร่งของชายชาตรีกลับอัดแน่นในน้ำเสียง “คุณรู้ดี ว่าผมหมายถึงอะไร”
“คุณพูดอะไร” เธอมองเขาตาโต
“เรื่องที่คุณรู้อยู่แก่ใจ”
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” คนร่างเล็กกว่าพยายามดันร่างเขาออกไป แต่นั่นกลับช่วยให้พ่อค้าหนุ่มกอดกระชับเจ้าหล่อนได้แนบแน่นยิ่งขึ้น
เนื้อนุ่มนิ่มที่บดเบียดเข้ากับแผงอกแกร่ง...
ริมฝีปากเล็กๆ แต่อิ่มสวยกับแววตาที่ไหวระริก...
กลิ่นกุหลาบรัญจวนใจที่เลื้อยรัดรอบกายเขา...
ทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งสัมผัสแผ่วเบาจากเส้นผมเธอ ไม่ต่างอะไรไปจากน้ำมันชั้นดีที่ราดรดให้เพลิงในใจเขายิ่งลุกโชน
“ปล่อยหรือ” เขาถาม นัยน์ตาวาบวับ “รู้อะไรไหม ถ้าคุณอยากให้ผมปล่อย ก็ควรแสดงตัวตนที่แท้จริง ใช้น้ำเสียงที่แท้จริง จากใจ ไม่ใช่ใช้ท่าทีกับน้ำเสียงที่ชวนให้อยากกอดแบบนี้”
“ดิฉันไม่ได้...”
“ไม่ได้แกล้งทำหรือ” เขาจ้องลึกลงในตาเธอเพื่อควานหาร่องรอยความพยศที่เคยเห็น แต่กลับไม่พบสิ่งนั้น
บางทีเธออาจจะไม่ได้เสแสร้งตั้งแต่ต้น...
หรือไม่ บางทีตอนนี้การกระทำของเขาอาจทำให้เธอกังวลขึ้นมาจริงๆ เธอถึงได้จ้องลึกลงในตาเขาเหมือนพยายามจะค้นหาความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ให้รู้ชัดว่าเขากำลังเย้าแหย่หรือเอาจริง
คิดในแง่ที่ร้ายที่สุด เธออาจจะอยากเชือดคอเขาอยู่ก็ได้... แต่เพราะไม่อยากจะเผยตัวจริงโดยไม่จำเป็น เจ้าของร่างหอมกรุ่นเนื้อนวลนิ่มเลยได้แต่ระงับสติอารมณ์ ฝืนทนอยู่ในสภาพติดหล่มแบบนี้
ในช่วงที่ความคิดมากมายแล่นพล่านแต่ไร้แก่นสารอย่างที่ไม่ควรเป็น จู่ๆ สาวใช้นางหนึ่งก็เดินผ่านมา
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้นในวินาทีนั้น ดูเหมือนทันทีที่เห็นเขากับเธอเต็มสองตา เจ้าหล่อนจะตกใจถึงขั้นทำถาดที่ถือมาอย่างยากลำบากหลุดมือ ข้าวของตกแตก กระจัดกระจาย
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”