จินเฟยคล้ายจับความนัยของคำพูดหลานสาวได้ เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อได้ทันทีจนกลายเป็นการใส่ไคล้จินฉานโดยใช่เหตุ จึงได้แต่เอ่ยถามเสียงเรียบ “ฉานเอ๋อร์ เจ้ากล่าวล้อเล่นอันใด”“น้องสาวคนดี ที่หลานสาวเจ้าพูดนั้นมิผิด” จินเช่อยิ้มเอ่ย ก่อนที่ประโยคถัดมาจะเอ่ยเป็นภาษาถิ่นเกิด //ผู้ใดจะทำให้ป๋ายอี้หลุดพ้นจากความอัปยศที่กำลังเผชิญอยู่ได้ เท่ากับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มีสายเลือดป๋ายอี้ไหลเวียนอยู่ในกาย////พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กล่าวล้อเล่น ท่านย่อมรู้ดีว่าต้าเจวียนนั้นไม่เคยมีฮ่องเต้ที่มีสายเลือดต่างเผ่ามาก่อน ถึงแม้ว่าจะทำได้จริง แต่เหล่าขุนนางต้องไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งให้องค์ชายห้าเป็นรัชทายาทแน่//จินฉานมองออกไปด้านนอก //อาหญิงบอกกับข้าเอง ว่าองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่สิ้นบุญไปตั้งแต่ยังหนุ่ม องค์ชายรองสุภาพอ่อนโยนไม่เหมาะเป็นนายคน องค์ชายสามต้องโทษจนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย องค์ชายที่เกิดจากเซวียนชูเฟยเองก็ออกมาเป็นคนก็มิใช่ปิศาจก็มิเชิงตกตายไปพร้อมกับมารดาผู้ให้กำเนิดไป กระนั้นแล้ว จะมีโอรสของฝ่าบาทองค์ไหนที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทไปมากกว่าองค์ชายห้าอีกเล่า//สีหน้าของจินเฟยแปรเปลี่ยนเป็นขรึมเครี
จินเฟยพยักหน้า ก่อนมองไปรอบๆ ตัว “งามมาก ทว่าตอนนี้มีแต่ดอกไป่เหอทั่วตำหนัก กลิ่นมันออกจะ...แรงไปสักหน่อยกระมัง” ว่าจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาอังที่จมูกเล็กน้อย แม้ดอกไป่เหอจะมีกลิ่นหอมหวานเย้ายวนชวนให้ผู้คนหลงใหลเพียงใด แต่ถ้ามีมากไปก็ทำนางฉุนจนแทบสำลักได้เช่นกัน“หลานเองก็ไม่ได้ต้องการให้อาหญิงระคายจมูก เพียงแต่ว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ จะเป็นตัวอาหญิงที่ทนไม่ไหวเสียเอง” จินฉานอมยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นนำแจกันใบนั้นมาไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่าง ยามสายลมเอื่อยพัดผ่านเข้ามาจึงช่วยม้วนกลิ่นหอมของไป่เหอให้โอบล้อมตัวจินฉานอย่างอ่อนโยนจินเฟยย่นคิ้วงุนงง ทว่าเมื่อเห็นหลานสาวไม่ยอมเฉลยก็คร้านที่จะคาดคั้นเอาคำตอบ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างอื่นแทน ซึ่งจินฉานนั้นก็ทำเพียงรับฟังและโต้ตอบเท่าที่จะตอบได้ ทว่าขณะที่กำลังสนทนาอย่างออกรส ขันทีจากตำหนักใหญ่ผู้หนึ่งได้มายังตำหนักผิงอันก่อนเอ่ย “กระหม่อมนำสารของอ๋องป๋ายอี้มาถวายแด่พระสนมจินเฟยพ่ะย่ะค่ะ”หญิงสาวพยักหน้า ก่อนรับสารนั้นออกมาแกะออกอ่าน นางรอให้ขันทีผู้นั้นกลับไปแล้วจึงเอ่ยกับหลานสาว “เดือนหน้านี้พี่ใหญ่ของข้า...บิดาของเจ้าจะมายังต้าเ
ถึงแม้ว่าการที่เซวียนเฟยจะสิ้นชีพพร้อมกับชายอื่นในตำหนักที่ถูกปิดตายจนกลายเป็นตำหนักเย็นนั้นเป็นที่ฉาวโฉ่ในราชสำนักเพียงใด แต่ฮ่องเต้ก็ยังประกาศสาเหตุการตายว่าเป็นเพราะให้กำเนิดโอรสอย่างยากลำบากจนเกิดเหตุตกโลหิตจนสิ้นชีวิตพร้อมทารกในครรภ์ จากนั้นจึงให้ฮองเฮากับจินเฟยรับหน้าที่จัดงานศพให้เซวียนเฟยอย่างสมเกียรติตำแหน่งพระมเหสีชั้นเฟย และเป็นผู้เพิ่มเติมอักษร ชู (淑) อันแปลว่า งามบริสุทธิ์ หลังสมัญญานามของเซวียนเฟยด้วยตนเอง เพราะเมื่อยามมีชีวิตอยู่ นางเป็นที่ประจักษ์ต่อเหล่าขุนนางและปวงชนว่าเป็นสตรีที่มีคุณธรรมจรรยา รักษากิริยามารยาทอย่างงามพร้อมมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อสกุลเวินที่ได้รับทราบถึงพระกรุณาของฮ่องเต้ในครานี้ถึงกับโขกศีรษะขอบพระทัยไม่หยุด แต่ที่สกุลเวินแปลกใจนั้นมีอีกอย่างคือ มีพระราชโองการลงมาว่า นับจากนี้สกุลเวิน ไม่ว่าสายหลักหรือรอง ไม่อนุญาตให้ส่งหญิงสาวเข้าวังโดยเด็ดขาด เมื่อเวินเยว่ฉางผู้เป็นบิดาของเซวียนเฟยนั้นแสดงท่าทีคลางแคลงใจผ่านทางสีหน้าอย่างมิอาจเก็บอาการได้อยู่ ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นพลันหลั่งอสุชลออกมาหนึ่งสายแล้วเอ่ย “เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเซวียนเฟยก่อนที่นางจะสิ้นช
…เมื่อยามรัตติกาลมาถึง จินฉานเพียงทำสมาธิอยู่ในห้องพระเพียงลำพังโดยไม่ยอมให้ชุนเยี่ยนอยู่ปรนนิบัติ ทั้งยังสั่งให้ดับโคมและเทียนที่มีอยู่ในห้องให้หมด เหลือเพียงแสงจากเดือนเพ็ญส่องสว่างนวลสาดลอดผ่านช่องหน้าต่างที่ฉลุลายอย่างวิจิตรตระการ อาบไล้ใบหน้านวลผ่องของสตรีผู้ที่กำลังจะกลายเป็นแม่คนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าให้ดูเปล่งปลั่งงดงามระคนน่าพรั่นพรึงอีกเท่าตัว นางนั่งนิ่งต่อหน้าองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ข้างๆ ที่กระถางกำยานที่ยังมีควันลอยเอื่อยส่งกลิ่นหอมละมุน นางยกมือแตะที่ฝากระถางกำยานเบาๆ ปล่อยให้แหวนทองคลายตัวออกจากนิ้วช้าๆ แล้วปล่อยให้เลื้อยหายลับเข้าไปในช่องปล่อยควันกำยาน สิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนทอประกายหม่นขดตัวนอนนิ่งอยู่ในนั้นไม่ขยับตัว กระทั่งจินฉานหยิบบางอย่างออกมาจากตะกร้าสานพลางเอ่ย “ที่จริง ทุกคืนสิบห้าค่ำ หนอนไหมทองอย่างเจ้าจำเป็นต้องดื่มกินเลือดเนื้อจากศพเพื่อเสริมอำนาจ แต่ที่ต้าเจวียนแห่งนี้สงบสุขเกินไป ไม่เหมือนอดีตแดนมิคสัญญีอย่างป๋ายอี้ที่มีศพกองเป็นภูเขาให้เจ้าได้สูบกินเลือดเนื้ออย่างสุขสำราญ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจึงได้ให้แต่กินซากสัตว์เท่าที่จะหาได้ แต่วันนี้เป็นโอกาส
...เมื่อจินฉานกลับมาจากอารามหลวง ก็พบว่าจินเฟยรอนางอยู่ในตำหนักผิงอันก่อนแล้ว เมื่อพบหน้า ยังไม่ทันที่จินฉานจะแสดงความเคารพ จินเฟยก็เปิดประเด็นทันที “เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ มีผู้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ใช้พระนามฮองเฮานำสุรากำมะถันแดงมาให้เจ้าดื่มในเทศกาลตวนอู่”จินฉานร้อง อ้อ ออกมาคำหนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยถาม “เป็นผู้ใดกัน”“เป็นนางกำนัลของหลิวกุ้ยเฟยชื่อ เสี่ยวถง” นางเอ่ยเรียบๆ“แล้วตอนนี้นางกำนัลนางนั้นอยู่ที่ใดแล้ว”“อยู่ที่สำนักราชทัณฑ์ หลังจากทรมานอยู่นานจึงยอมรับสารภาพ”จินฉานปรายตามองผู้เป็นอา ยกยิ้มบางเบา “นางยังมิตายใช่หรือไม่”“ยังไม่ตาย แต่ก็สภาพร่อแร่เต็มที”เด็กสาวมองแหวนทองที่มีลักษณะเป็นข้อคล้ายข้อปล้องของสัตว์เลื้อยคลานที่สวมใส่ติดนิ้วอยู่เสมอ ก่อนส่งยิ้มให้กับมันราวกับเป็นสหายรู้ใจ “เช่นนั้นก็ดี หลานฝากอาหญิงช่วยทำอีกเรื่องหนึ่ง”“ว่ามาสิ”“ท่านช่วยส่งหมอไปดูแลนางกำนัลคนนั้นให้ข้าที”จินเฟยได้ยินพลันขมวดคิ้วฉับทันที “ทุกทีลงมือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ปราศจากความเห็นใจมาโดยตลอด ไฉนวันนี้จึงเกิดจิตคิดเมตตาอยากรักษาศัตรูขึ้นมา”จินฉานกลับไม่ตอบคำถามทันที ก่อนเอ่ยเรียบๆ “อาหญ
“ช่างเถิด” เซวียนเฟยมองอีกฝ่ายที่ถูกตบด้วยสีหน้าเฉยเมย “มาช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ข้าไม่ต้องการไปยังอารามหลวงสาย”“เพคะ” หยวนจิ่นรับคำจากนั้นจึงช่วยเซวียนเฟยเกล้าผมอย่างงดงามประณีตที่สุด ใจหนึ่งก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เจ้านายของตนจะกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง ทุกวันขึ้นสิบห้าค่ำ นางมักใช้เหตุไปกราบไหว้พระขอพรให้บุตรในครรภ์แข็งแรง คลอดอย่างราบรื่นที่อารามหลวงเพื่อหาโอกาสพบต้าซืออู่คง ทว่าไปกี่ครั้งต้าซือล้วนติดธุระมิออกมาต้อนรับ ทว่าก่อนที่เซวียนเฟยจะกลับ ต้าซือจะให้ลูกศิษย์มอบส้มน้ำตาลกรวดที่ใช้เป็นของสำหรับไหว้พระในอารามให้นางนำกลับไปรับประทานเพื่อเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังช่วยให้สตรีที่ยังคงแพ้ท้องอย่างเซวียนเฟยหายคลื่นไส้และเจริญอาหาร นางจำได้ถึงสีหน้าปีติยินดีของเซวียนเฟย จดจำมือขาวเนียนดั่งหยกที่บรรจงปอกส้มอย่างละเมียดละไม ละเลียดชิมรสชาติหวานปานน้ำตาลกรวดสมชื่อของมันทีละกลีบอยู่นานกว่าจะหมด ทั้งยังรอยยิ้มเคลิบเคลิ้มหลงใหล ดวงตาสองข้างที่มีน้ำตารื้นคลอหน่วย ในขณะที่กล่าวกับนางว่า ‘หยวนจิ่น เจ้าดูเถิด แม้เขาจะไม่สะดวกมาพบข้า แต่เขาก็ไม่เคยลืมตัวข้ากับลูกเลย’ซ
“อย่างนั้นหรือ อี๋เหม่ยเหรินก็ตั้งครรภ์เช่นกัน” เซวียนเฟยเอ่ยเรียบๆ เมื่อหยวนจิ่นนางกำนัลคนสนิทมารายงานความเคลื่อนไหวที่ตำหนักผิงอัน ขณะที่นางกำลังประทินโฉมอย่างพิถีพิถัน สีไต้ในมือที่กำลังวาดคิ้วใบหลิวเรียวงามสั่นน้อยๆ ก่อนตัดสินใจวางสีไต้เขียนคิ้วบนโต๊ะประทินโฉม แล้วใช้มือลูบท้องตนเองเบาๆ “สามเดือน...เท่ากับตัวข้าใช่หรือไม่”“เพคะ เห็นว่าวันเวลาตรงตามที่บันทึกแดงของวังหลวงได้บันทึกเอาไว้ทุกประการ” หยวนจิ่นพยักหน้าช้าๆ “อี๋เหม่ยเหรินตั้งครรภ์ไล่เลี่ยนายหญิงเช่นนี้ ถ้าเกิดว่านายหญิงคลอดก่อนขึ้นมา...”ยังไม่ทันที่หยวนจิ่นจะกล่าวจบ ฝ่ามือของเซวียนเฟยพลันตบเข้าที่แก้มของนางกำนัลคนสนิทจนหน้าหัน ดวงตางดงามจ้องเขม็ง ก่อนเอ่ย “เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด อะไรคือข้าต้องคลอดก่อนกำหนด ในเมื่อข้าตั้งครรภ์ในระยะเวลาไล่เลี่ยกับอี๋เหม่ยเหริน ย่อมต้องคลอดในเวลาใกล้กับนางถึงจะถูกต้อง”หยวนจิ่นยกมือแตะแก้มที่เริ่มขึ้นรอยแดงเห่อ น้ำตาผุดรื้นขึ้นมาพร้อมกล่าวประทานอภัยด้วยเสียงแผ่วหวิว นับตั้งแต่เซวียนเฟยได้รับฉากกั้นลายกิ่งทับทิมเคียงนกกาเหว่าจากฮองเฮาในวันนั้น หยวนจิ่นและคนในตำหนักปิงตี้เหลียนก็ไม่ได้อยู่อย่
จินฉานกล่าวไม่ออก เพียงแค่พยักหน้ารับอย่างเสียกิริยา ท่าทางน่าสงสารอักโข จินเฟยที่ครุ่นคิดมาจนถึงเมื่อครู่จึงเอ่ย “แปลกยิ่ง เมื่อครู่ชุนเยี่ยนบอกว่าฮองเฮาส่งสุรากำมะถันแดงไปให้ตำหนักผิงอัน ทว่าเท่าที่หม่อมฉันทราบ ในงานเทศกาลตวนอู่ทุกปี สุรากำมะถันแดงจะรับประทานร่วมกันในงานเลี้ยงแข่งเรือมังกร พระนางเป็นผู้รู้ธรรมเนียมปฏิบัติดี ย่อมไม่มีทางทำอะไรออกนอกลู่นอกทางแน่ เกรงว่าจะมีจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ใช้พระนามของฮองเฮา หาข้ออ้างกลั่นแกล้งอี๋เหม่ยเหรินเพคะ”“จินเฟยพูดมามีเหตุผล” ฮ่องเต้เอ่ยเรียบๆ “เช่นนั้นเรายกหน้าที่สืบสวนหาข้อเท็จจริงแก่เจ้า มีความคืบหน้าเมื่อใด ก็ให้จัดการตามความเหมาะสม มิต้องรายงานเรา”“หม่อมฉันรับบัญชา” จินเฟยค้อมศีรษะรับคำสั่ง ฮ่องเต้เพียงบีบมือจินฉานอีกสองสามครั้ง จากนั้นจึงเดินทางกลับ โดยให้เหตุผลว่ายังมีฎีกาที่สะสางไม่เสร็จเมื่อความสงบคืนสู่ตำหนักผิงอันอีกครั้ง สองอาหลานเพียงสบตากัน แย้มยิ้มสนทนา“หลานนึกไม่ถึงว่าอาหญิงจะเหี้ยมโหด สตรีผู้นั้นวิปลาสไปแล้วท่านก็ยังมิละเว้นนาง”“แต่ก็ยังมิเท่าหลานรักเช่นเจ้าที่เป็นผู้เปิดประเด็น ข้าเพียงแค่เติมเชื้อไฟลงไปเล็กน้อยเท่
...ฮ่องเต้ก้าวเท้าเร็วๆ อย่างลืมสำรวมกิริยาเข้ามาถึงในห้องบรรทมของจินฉาน จินเฟยเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นถวายบังคม โอรสสวรรค์เพียงพยักหน้ารับ แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่จินเฟยเคยนั่ง คว้ามือของจินฉานไปกุมไว้ ท่าทีตื่นเต้นระคนยินดี “หมอหลวงที่ตรวจเจ้ามารายงานกับเรา เจ้าตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว”จินเฟยได้ยินเช่นนั้นพลันลอบเบิกตามอง ที่หลานสาวของนางบอกว่าตำหนักผิงอันของนางมีเกลือเป็นหนอนคือเช่นนี้ทว่า...คือใครกันเล่า? แน่นอนว่าเว้นชุนเยี่ยนที่เป็นข้ารับใช้ดั้งเดิมจากป๋ายอี้ ที่เหลือนั้นก็มีเพียงข้ารับใช้จากต้าเจวียนคือ เฉิงฮวาน ปี้อัน เสี่ยวกุ้ยจื่อและเสี่ยวอันจื่อ ในสี่คนนี้คือผู้ใดกันจินฉาน เพียงหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อ ท่าทีขวยเขินอย่างที่สุด “ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงทราบแล้ว”“เด็กโง่ ชุนเยี่ยนบอกว่าหลายวันมานี้เจ้าไม่ค่อยสบาย ซ้ำยังอาเจียนช่วงเช้าบ่อยครั้ง ไฉนจึงไม่ตามหมอหลวงมาตรวจอาการ ปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอจนหมดสติเช่นนี้ เกิดลูกของเราเป็นอันใดไปจะให้ทำเช่นไรเล่า” สุรเสียงที่ฮ่องเต้เอื้อนเอ่ยนั้น ดูอบอุ่นอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความห่วงใยยิ่งนัก“ตอนนั้นหม่อมฉันเองยังไม่แน่ใจ ถ้าเร่งร้อนตาม