รินยืนอยู่ตรงทางเข้าสวนรัตติกาล ดวงตาจับจ้องไปยังสวนที่เปล่งประกายใต้แสงจันทร์ หัวใจของเขาเต้นระรัว ความหวังผสมปนเปกับความกลัว มือกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ราวกับลังเลที่จะเข้าไป
“นายจะทำอะไร? ไปบอกเขาว่านายไม่มีที่ไป? นายอาจถูกปฏิเสธก็ได้ เขาแทบไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว
“แต่เขาก็เคยชวนมาสวนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาดูเป็นคนที่พึ่งพาได้ นายรู้สึกได้ว่าที่นี่ปลอดภัย” อีกเสียงหนึ่งที่ฟังนุ่มนวลกว่าเถียงกลับ แต่ก็เจือไปด้วยความกังวล
“ถ้าผิดล่ะ? ถ้าเขาไม่ยอมให้อยู่ นายจะทำยังไง? แต่...ที่นี่...มันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าสถานที่ไหนที่นายเคยไปมา” รินหลับตาลง พยายามหาคำตอบ
เสียงหนึ่งในหัวหัวเราะหยัน “นั่นแหละคือปัญหา นายกำลังเชื่อในความรู้สึกโง่ ๆ ที่นายไม่สามารถอธิบายได้ นายเพิ่งเจอเขาแค่ครั้งเดียวเอง!”
รินสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความวุ่นวายในจิตใจ “มันอาจจะเป็นเรื่องโง่จริง ๆ แต่...มันคือโอกาสสุดท้ายของฉัน ฉันไม่มีที่อื่นจะไปแล้ว”
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววแน่วแน่ ทว่าก็ยังแฝงด้วยความลังเลอยู่ลึก ๆ เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปในสวน
เคล ธอร์น กำลังก้มตัวดูแลแปลงดอกชมจันทร์ ความเงียบสงบของสวนช่วยทำให้เขาผ่อนคลาย แต่เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้ต้องเงยหน้ามอง
เมื่อเห็นรินยืนอยู่ที่ปลายทางเดิน สายตาของเคลเปลี่ยนเป็นระแวงเล็กน้อย ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจ
“เขามาทำอะไรที่นี่? เขาอาจต้องการบางอย่าง...หรือเขามีปัญหา” เคลขยับตัวให้ตรง ยืนรอจนรินเดินเข้ามาใกล้
“ริน?” เคลเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะไว้ใจรินหรือไม่ “เขาดูเหมือนคนที่ต้องการที่พึ่ง แต่…เราแทบไม่รู้จักกันเลย มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ”
รินหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเคล ดวงตาของเขาฉายซึ่งความหวังปนกับความกลัว
“เคล…ผมขออยู่ที่นี่ได้ไหม?” น้ำเสียงของเขาเบาหวิว แต่ความหมายที่อยู่ในคำพูดนั้นหนักอึ้ง “ผมไม่มีที่ไปแล้ว และที่นี่…มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนบ้าน และคุณ…ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย”
คำพูดนั้นทำให้เคลชะงักค้าง ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ สายตามองรินอย่างพิจารณา ความรู้สึกขัดแย้งพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ
“เขาพูดว่า 'บ้าน'... ทั้งที่เราพบกันแค่ครั้งเดียว? บ้านงั้นเหรอ?”
“แต่ดูเขาสิ...เขาดูสิ้นหวังจริง ๆ และที่สำคัญ เขาไม่มีที่ไป” เขาลอบถอนหายใจ ทว่าเสียงในหัวอีกด้านแย้งกลับ
“แต่นายรู้จักเขาดีพอหรือยังล่ะ? เขาอาจจะมีจุดประสงค์บางอย่าง หรืออาจจะนำปัญหามาให้สวนนี้ก็ได้”
เคลเหลือบมองรินอีกครั้ง เห็นเขายืนนิ่งเหมือนคนที่เตรียมใจจะถูกปฏิเสธ “แต่เขาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย...อีกอย่าง ดูจากหน้าตาน่ารักแบบนี้ เขาจะเป็นอันตรายได้ยังไง?”
เขาเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยกับความคิดในหัวตัวเอง “โอเค เคล ทำตามสัญชาตญาณก็แล้วกัน ลองดูว่าอะไรจะเกิดก็เกิด สวนนี้อาจต้อนรับเขาเองก็ได้”
เคลมองรินอีกครั้ง และเมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของอีกฝ่าย เขาก็ตัดสินใจใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด
“คุณอยากอยู่ที่นี่เหรอ?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จงใจผ่อนคลาย “คุณรู้ไหม ผมไม่ใช่คนที่จะให้ใครก็ได้มานอนในสวนมหัศจรรย์นี้ง่าย ๆ นะ ที่นี่มีขั้นตอนการสมัครที่เข้มงวดสุด ๆ”
“ขั้นตอนการสมัคร?” รินเลิกคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยและความตกใจฉายชัดบนใบหน้า
“ใช่ คุณต้องตอบคำถามสำคัญนี้ก่อน” เคลแสร้งทำสีหน้าจริงจัง “คุณชงกาแฟได้ดีแค่ไหน?”
รินกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “ผม…คิดว่าทำได้นะ?”
เคลหัวเราะตาม เสียงหัวเราะนั้นฟังดูสบายใจขึ้น “ดีมาก! ยินดีต้อนรับ ริน ห้องของคุณจะอยู่ตรงนั้น ถัดจากแปลงดอกชมจันทร์”
รินมองหน้าเคลด้วยความไม่แน่ใจ “คุณ…ไม่จริงจังใช่ไหม?”
เคลยิ้มกว้างกว่าเดิม ความอ่อนโยนแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา “แน่นอนว่าผมล้อเล่น แต่เอาจริง ๆ คุณอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการเลย”
วันเวลาผ่านไป ทั้งสองคนเริ่มสร้างกิจวัตรประจำวันในสวนรัตติกาลร่วมกัน รินช่วยดูแลพืชพันธุ์ในตอนกลางวัน มือที่ชำนาญของเขานำชีวิตใหม่มาสู่ต้นไม้ที่เคยร่วงโรย เคลสังเกตว่าพืชในสวนตอบสนองต่อสัมผัสของรินอย่างผิดสังเกต ดอกไม้ที่รินแตะต้องดูเหมือนจะบานเร็วกว่าปกติ ใบไม้ดูเขียวสดขึ้น และพืชบางชนิดที่เคลพยายามปลูกมาหลายเดือนกลับเติบโตได้ดีเมื่อรินเข้ามาดูแล
เอร่า เพื่อนสนิทผู้ขี้เล่นของเคลมาเยี่ยมบ่อยๆ นำเสียงหัวเราะและช่วงเวลาที่สบายใจมาให้เสมอ จินเจอร์ แมวขี้เล่นก็ไม่พลาดที่จะเป็นจุดสนใจในทุกเหตุการณ์
เย็นวันหนึ่ง เอร่ามาถึงขณะที่รินกำลังวาดภาพเสร็จพอดี
“เฮ้ เคล” เขาเรียกพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น “เห็นนายยังดูแลเด็กน้อยอยู่เลย ศิลปินน้อยของเราเป็นยังไงบ้าง?”
เคลกลอกตาอย่างขบขัน “เขาก็โอเคดี เอร่า แล้วนี่ก็ไม่ใช่การดูแลเด็กนะ เรียกว่าการเป็นมนุษย์ที่ดีต่างหาก”
เอร่าก้มลงอุ้มจินเจอร์ ทันทีที่ได้อุ้มก็เริ่มครางเบา ๆ ในลำคอ “อย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนจินเจอร์จะเห็นด้วยนะ ใช่ไหมเจ้าหนู?”
จินเจอร์ตอบกลับด้วยคำว่าเมี้ยวเสียงดัง ทำให้ทุกคนหัวเราะ ช่วงเวลาแบบนี้เป็นการบรรเทาความเงียบสงัดที่ดูเหมือนจะติดตามรินไปตลอด
อาราเลียมีด้านมืดของมัน แต่ไม่มีด้านไหนที่ลึกและมืดเท่าซินดิเคท ภายใต้การนำที่ไร้ความปรานีของวิกเตอร์ พ่อของมาร์คัส ซินดิเคทเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจและความกลัว วิกเตอร์มีรูปร่างสูงใหญ่และมีดวงตาที่คำนวณทุกอย่างไร้ความปรานี ปกครองผู้คนด้วยไม้แข็ง ใช้การข่มขู่และความรุนแรงทำให้พวกเขาภักดี ความทะเยอทะยานของวิกเตอร์ไม่มีขอบเขต เขาปรารถนาที่จะควบคุมสวนรัตติกาลด้วยในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหานครอาราเลีย แสงไฟสลัวจากโคมระย้าห้อยต่ำ สะท้อนผิวโลหะของโต๊ะยาว ตัวห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจและความกลัวที่จับต้องได้ บนผนังมีแผนที่ของเมืองอาราเลียถูกปักหมุดไว้ หลายพื้นที่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงการยึดครองของซินดิเคทวิกเตอร์ยืนตระหง่านตรงหัวโต๊ะ ดวงตาของเขาเป็นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ลุกโชนด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยม ใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนถูกแกะสลักจากหินเย็นยะเยือก แต่กลับแฝงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวประตูห้องประชุมเปิดออก ชายคนหนึ่งถูกลูกน้องสองคนของวิกเตอร์ลากเข้ามา เขาคือหนึ่งในสมาชิกร
แม้จะมีคนอยู่เป็นเพื่อน แต่เมื่อรินเข้านอนก็มักจะฝันร้ายอยู่เสมอ เขาได้ยินชื่อผู้หญิง ‘โรซาลี’ ในความฝันและตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ภาพเหล่านั้นคือความทรงจำในวัยเด็ก คืนที่เขาต้องวิ่งหนีสุดชีวิตท่ามกลางสายฝนกระหน่ำคืนนั้นเคลเองก็ถูกกวนใจด้วยความฝันเช่นกัน ภาพพ่อของเขาพยายามพูดบางอย่าง ในขณะที่ชี้ไปยังต้นไม้ลับในสวน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะค้นหาความจริง เคลเริ่มทำการสืบสวนคืนหนึ่งขณะที่สวนรัตติกาลเงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์ เคลและรินนั่งอยู่ข้างสระน้ำ ไหล่ของพวกเขาสัมผัสกัน อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่บานในตอนกลางคืน สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เคลมองไปที่ริน สังเกตเห็นว่าแสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายนุ่มนวลขึ้น“ริน” เคลพูดเบาๆ “ผมดีใจจริงๆ ที่คุณอยู่ที่นี่ คุณนำสิ่งพิเศษมาสู่ที่นี่”รินหันมาหาเคล ดวงตาของเขาเปล่งประกาย “ผมก็รู้สึกเหมือนกัน เคล สวนนี้…และคุณ…มันเหมือนผมได้พบชิ้นส่วนของตัวเองที่ไม่รู้ว่าขาดหายไป”หัวใจของเคลเต้นแรงเมื่ออีกฝ่ายเอนเข้ามาใกล้ ใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่กี่นิ้ว ชั่วขณะหนึ่งโลกดูเหมือนจะหยุดหายใจ พวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นคล้ายมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเส
รินยืนอยู่ตรงทางเข้าสวนรัตติกาล ดวงตาจับจ้องไปยังสวนที่เปล่งประกายใต้แสงจันทร์ หัวใจของเขาเต้นระรัว ความหวังผสมปนเปกับความกลัว มือกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ราวกับลังเลที่จะเข้าไป“นายจะทำอะไร? ไปบอกเขาว่านายไม่มีที่ไป? นายอาจถูกปฏิเสธก็ได้ เขาแทบไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว“แต่เขาก็เคยชวนมาสวนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาดูเป็นคนที่พึ่งพาได้ นายรู้สึกได้ว่าที่นี่ปลอดภัย” อีกเสียงหนึ่งที่ฟังนุ่มนวลกว่าเถียงกลับ แต่ก็เจือไปด้วยความกังวล“ถ้าผิดล่ะ? ถ้าเขาไม่ยอมให้อยู่ นายจะทำยังไง? แต่...ที่นี่...มันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าสถานที่ไหนที่นายเคยไปมา” รินหลับตาลง พยายามหาคำตอบเสียงหนึ่งในหัวหัวเราะหยัน “นั่นแหละคือปัญหา นายกำลังเชื่อในความรู้สึกโง่ ๆ ที่นายไม่สามารถอธิบายได้ นายเพิ่งเจอเขาแค่ครั้งเดียวเอง!”รินสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความวุ่นวายในจิตใจ “มันอาจจะเป็นเรื่องโง่จริง ๆ แต่...มันคือโอกาสสุดท้ายของฉัน ฉันไม่มีที่อื่นจะไปแล้ว”เขาลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววแน่วแน่ ทว่าก็ยังแฝงด้วยความลังเลอยู่ลึก ๆ เขาตัดสินใจก้าวเข้าไป
พวกเขามาถึงประตูที่ซ่อนอยู่หลังกลุ่มไม้เลื้อย เคลเปิดมันออก เผยให้เห็นสวนรัตติกาลภายใต้แสงจันทร์ สวนดูเหมือนจะมีแสงส่องประกาย ดอกไม้หลากหลายชนิดที่บานเฉพาะตอนกลางคืนแย้มรับแสงจันทร์ พืชพรรณแปลกใหม่ที่มีใบเรืองแสงดูเหมือนจะเต้นรำตามสายลมอ่อน ๆ อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิและดอกไผ่กลางคืน สวนนี้เป็นซิมโฟนีของสีสันและกลิ่นหอม เป็นโอเอซิสที่มีเวทมนตร์กลางใจเมืองสวนรัตติกาลไม่ใช่แค่สถานที่ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพลังงาน สวนนี้มีเวทมนตร์ที่ช่วยปกป้องเมืองจากพลังมืดและสร้างความสมดุลในอาราเลีย กล่าวกันว่ารากของสวนแผ่ลึกลงไปในดิน เชื่อมโยงกับหัวใจของอาราเลีย และพลังงานของมันไหลผ่านเมืองเหมือนเส้นชีพจรรินก้าวเข้ามาในสวนด้วยความประหลาดใจ สวนดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่อรินปรากฏตัว ดอกไม้บานอย่างมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของดอกไม้ชัดเจนขึ้น และบรรยากาศที่ดูเหมือนจะรายล้อมไปด้วยพลังงาน ราวกับว่าสวนสื่อสารกับรินได้และกำลังต้อนรับเขากลับบ้าน“ว้าว” รินพูดเบา ๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มหัศจรรย์จริงๆ”เคลยิ้ม แม้จะมีความสงสัยอยู่ในใจ “นี่คือที่พักพิงของผม ผมมาที่นี่เพ
อาราเลีย เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งความทันสมัยและประวัติศาสตร์ที่ถักทอเป็นหนึ่งเดียวกัน เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซราฟีน แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านกลางเมือง แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง เชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่มีทั้งความเก่าแก่และความทันสมัย คล้ายกับผสานอดีตและปัจจุบันไว้ด้วยกันย่านใจกลางเมืองเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงตระหง่าน ท้องฟ้าที่สะท้อนกับกระจกของอาคารทำให้ดูเหมือนว่าตึกเหล่านี้กลืนรวมกับท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตึกทั้งหลายเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ ศูนย์การค้า และโรงแรมหรู ถนนในย่านนี้ปูด้วยแผ่นหินเรียบเนียน มีทางเดินเท้ากว้างขวาง ต้นไม้ที่เรียงรายตามทางเดินและสวนสาธารณะพร้อมน้ำพุให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เสียงน้ำกระเซ็นจากน้ำพุและเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนที่เดินผ่านไปมาสร้างบรรยากาศที่คึกคักแต่สงบสุขแต่เมื่อเข้าสู่ย่านเมืองเก่า ถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหินโบราณและอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐแดงและหินสีอ่อนนำพาความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป อาคารเหล่านี้ทรุดโทรมตามกาลเวลา บ้างมีเถาไม้เลื้อยเกาะเต็มกำแพง บ่งบอกถึงความเก่าแก่และเรื่องราวที่ถูกลืม ถนนในย่านนี้คดเคี้ยวและซับซ้อน ทำให