เหลียงเฟิงไม่มีทางเลือก จำใจเรียกมู่หลางตามคำร้องขอ แทนที่นางจะขอความช่วยเหลือจากเขากลับเป็นคนสนิทที่นางร้องขอแทน แม้จะไม่พอใจอยู่มาก ทว่าอ๋องหนุ่มก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปที่ใด ยังคงยืนเฝ้ามองหนิงเซียนอยู่ห่าง ๆ
“ยาขอรับอนุหนิง” มู่หลางที่รู้หน้าที่ตนเองดี รีบหยิบเอายาดมและบ๊วยแห้งออกมาทันที
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หนิงเซียนที่อาเจียนออกมาแทบจะหมดแรง เมื่อได้ของสองสิ่งนี้ก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น นอกจากหน้ากากอนามัยแล้วหรือนางควรจะทำที่อุดหูดีหรือไม่ หากให้แก้ที่ท่านอ๋องคงจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากวันนั้นเหลียงเฟิงไม่สามารถเข้าใกล้หนิงเซียนได้เลยตลอดห้าวันเต็ม เพียงแค่เขาเปิดปากพูดเจ้าหล่อนก็วิ่งโก่งคออาเจียนทันที ทำให้เขาได้แต่มองดูอยู่ห่าง ๆ ยาที่ได้จากต้วนชิงเจาก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ติดตามทั้งหลายต่างก็เข้าหน้าผู้เป็นนายไม่ติด ยามนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี พระองค์จะน่ากลัวมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว
หนิงเซียนที่เริ่มจะกระวนกระวายใจ เพราะอีกเพียงแค่ห้าวันก็จะต้องเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนจากไปนางก็อยากจะไปดูบ่อน้ำวิเศษอีกสักครั้ง อีกทั้งการกลับเมืองหลวงคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหมู่บ้านหนานชุนอีกเมื่อไร หรือว่านางจะแอบไปดีหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถรอดสายตาคนของท่านอ๋องไปได้อยู่ดี
“หรือว่าข้าจะลองไปขอท่านอ๋องด้วยตัวเองดีไหมนะ” ถ้าหากนางขอดี ๆ ก็ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะอนุญาตให้ไปแต่โดยดีก็ได้
ไวเท่าความคิด หญิงสาวรีบหยิบเอาหน้ากากอนามัยขึ้นมาสวมถึงสองชั้น พร้อมกับสะพายกระเป๋าผ้าใบเล็กไปด้วย จากนั้นจึงค่อย ๆ แง้มประตูห้องนอนเปิดออก แล้วมองหาพ่อสกังก์ของนางทันที
หากให้เดาก็คงจะนอนอ่านตำราอยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ไม่มีทางจะหนีหายไปที่ใดอย่างแน่นอน และสิ่งที่นางคาดเดาก็ไม่ผิดไปมากนัก เพราะเจ้าตัวนั่งอ่านตำราอยู่จริง แต่ว่าเขากลับย้ายเตียงตั่งไปอยู่หน้าประตูทางออกแทนที่จะเป็นข้างหน้าต่างเช่นเดิม
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด”
“อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว หม่อมฉันมีที่ที่อยากจะไปก่อนกลับเมืองหลวงเพคะ” มือบางกำสายกระเป๋าไว้แน่น ใบหน้าอันแสนบูดบึ้งทำให้นางรู้ได้ในทันที เขาคงจะไม่อนุญาตให้ไปง่าย ๆ เป็นแน่
“ไปที่ใด แล้วเจ้าจะไปกับใคร” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจเมื่อคิดว่าคนที่นางจะเลือก มิใช่ตนเอง
“ถ้าท่านอ๋องอนุญาต หม่อมฉันก็อยากให้ท่านอ๋องเป็นคนพาหม่อมฉันไปเพคะ” ในที่นี้จะมีผู้ใดเหมาะสมที่สุด นอกจากท่านอ๋องเล่าเพคะ ในเมื่อน้ำเสียงและคำถามของพระองค์มันคือคำตอบอยู่แล้ว
“เจ้าไม่เหม็นข้าแล้วหรือ” แม้น้ำเสียงจะยังแง่งอนอยู่บ้าง ทว่าเจ้าตัวกลับรีบโยนตำราในมือทิ้งไปทันที พร้อมกับหันมาให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง
“จะอดทนเพคะ” หญิงสาวส่ายหน้าพัลวัน ในยามปกติก็พอจะทนได้ แต่ถ้าหากเมื่อใดที่อีกฝ่ายทำให้รู้สึกไม่ชอบใจและหวั่นกลัว อาการแพ้ท้องก็จะกำเริบหนักเป็นเท่าตัว
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด” ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเข้าใกล้ไม่ได้เลย
“บนเขาท้ายหมู่บ้านเพคะ ในถ้ำที่พระองค์เคยไปรับหม่อมฉันเมื่อคราวก่อน” ยิ่งพูดก็ยิ่งอับอายเมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา ถึงจะเคยอุ่นเตียงก็เถอะ แต่ตอนนั้นนางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้จำคืนแรกไม่ค่อยได้
“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดถึงหน้าแดงเช่นนั้น เอาไว้วันหลังค่อยไปไม่ดีกว่าหรือ” กายหนาปราดเข้าหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว ต้วนชิงเจาเคยบอกสตรีมีครรภ์มักจะมีไข้อ่อน ๆ ได้ง่ายกว่าคนปกติ ให้เขาหมั่นสังเกตตรงส่วนนี้เป็นพิเศษ เพื่อจะได้ดูแลรักษาได้ทันท่วงที
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ แค่รู้สึกร้อนไปหน่อย เรารีบไปกันเถอะเพคะ” หนิงเซียนเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าอีกฝ่ายออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความอาย
เหลียงเฟิงเดินตามออกไป พร้อมกับสั่งให้คนของตนเองเตรียมม้า แต่ที่ทำให้หนิงเซียนตกใจยิ่งกว่าก็คือการที่นางถูกพ่อสกังก์อุ้มขึ้นนั่งม้าตัวเดียวกัน ยังดีที่ลูกน้อยไม่แผลงฤทธิ์ อย่างน้อยหน้ากากอนามัยนี้ก็ยังช่วยให้ไม่ได้กลิ่นเขาไปสักระยะ ภาวนาอย่าให้ท่านอ๋องปากเสียในตอนนี้เลย
ผ่านไปสองเค่อ (30 นาที)
“ท่านอ๋องเพคะ ให้ม้าเดินเร็วกว่านี้ได้หรือไม่” เดินช้ายิ่งกว่าลาลากเกวียนเสียอีก คืนนี้ก็คงจะไม่ถึงตีนเขากระมัง
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน